ตอนที่ 1216 เดียร์บาสและหลัวเฟิง
เรือสีดำ ขนาดใหญ่กำลังขึ้นมาจากบึงสีดำ เรื่อยๆ มันได้สร้างการสั่นสะเทือนไปทั่ว
เมื่อเทียบขนาดของเรือกับหลัวเฟิงและคนอื่นๆ ก็ดูเล็กไปเลย
เจ้าแห่งจักรวาลทุกคนที่ไม่มีสมบัติของตัวเองถ้าตกลงไปในสีดำนี้ก็อาจถึงคราวเคราะห์แน่นอน แล้วการโจมตีเต็มพลังไม่สามารถที่จะสร้างการสั่นให้กับบึงสีดำนี้แม้แต่เล็กน้อย
“ต้องจัดการกับสมบัตินี้ยังไง แล้วข้าไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับมันเลย”
หลัวเฟิงมีความคิดอยู่หลายอย่าง มีตำนานมากมายของเรือสุสาน แต่ไม่มีมนุษย์คนใดเลยที่เคยครอบครองมันมาก่อน จากกลุ่มอำนาจนับร้อยในจักรวาลเพียงหนึ่งคนเท่านั้นที่เคยรับเรือสุสานมาก่อน จึงไม่มีใครรู้วิธีการครอบครองสมบัตินี้
ต้องใช้การประทับชีวิตหรือไม่ แต่ถ้าหากต้องการประทับชีวิต คนอื่นๆ คงจะไม่อยู่เฉยแบบนี้
“เจ้าแห่งจักรวาลเดียร์บาส” หลัวเฟิงส่งข้อความถึงเจ้าแห่งจักรวาลเดียร์บาสเพียงคนเดียวโดยไม่ให้คนอื่นรู้
“ผู้นำทางช้างเผือก!” เจ้าแห่งจักรวาลเดียร์บาสตอบกลับ
“ข้ามีประสบการณ์และความรู้น้อย จึงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรือสุสาน แม้ว่าข้าจะเคยได้ยินตำนานของมัน ข้านั้นไม่มีความรู้เกี่ยวกับมันเลยจริงๆ เจ้าสามารถแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ไหม”
“ฮ่า ฮ่า…ทำไมข้าต้องบอก” เจ้าแห่งจักรวาลเดียร์บาสถามกลับ
หลัวเฟิงเพียงแค่ยิ้มและตอบกลับ “มันไม่เป็นไรที่เจ้าไม่บอกอะไร ข้าจะตามเจ้าไปเมื่อทั้งสามคนลงมือ”
“เจ้าอยากรู้จริงๆ ใช่ไหม” เจ้าแห่งจักรวาลเดียร์บาสถาม
“แน่นอน” หลัวเฟิงตอบกลับ
“มันไม่มีปัญหาอะไรที่ข้าจะบอกเจ้า แต่ข้ามีหนึ่งเงื่อนไข” เจ้าแห่งจักรวาลเดียร์บาสกล่าว
“ข้าคิดว่าคงไม่มีเพื่อนจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์จันทร์ม่วงในเขตไฟน้ำแข็งเร็วๆ นี้ เรือสุสานคงจะออกมาโดยสมบูรณ์ การจะเรียกพวกเขามาก็ไม่ทันเวลา”
“ข้าอาจมีพลังแต่ก็กลัวจะตกเป็นเป้าของการโจมตี เจ้าเต็มใจที่จะให้การช่วยเหลือข้าตอนที่เรียกไหม ถ้าเห็นด้วยข้าจะบอกรายละเอียด ถ้าไม่ก็ลืมมันไปเถอะ”
“ตกลง” หลัวเฟิงพูดออกมาโดยไม่ลังเล
“ข้าจะทำตามเจ้าต่อหน้าสมบัตินี้ และคนกลุ่มนี้ แล้วอย่าโทษว่าข้าจะเป็นอื่น”
“แน่นอนว่าตอนนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถของเรา” เจ้าแห่งจักรวาลเดียร์บาสตอบ
“ตกลง” หลัวเฟิงตอบ
เขารู้ดีว่าเจ้าแห่งจักรวาลเดียร์บาสจำเป็นต้องกลัวกลุ่มของผู้มีพลัง เขามีเพียงเกราะสมบัติแท้จริงชั้นยอด มันแข็งแกร่งในการป้องกัน แต่การต่อสู้เผชิญหน้านั้นไม่ได้เปรียบอะไรมากนัก หากเป็นการต่อสู้เกราะนั้นทำให้ผู้ที่อยู่ในระดับต่ำกว่าเสียเปรียบเท่านั้น การฆ่านั้นเป็นไปไม่ได้ ยกเว้นจะเหนือว่าอย่างท่วมท้น
“เมื่อเจ้าตกลง ข้าจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรือสุสาน เรือสุสานเป็นสิ่งที่ถูกใช้งานของกลุ่มสิ่งมีชีวิตในเรือจักรวาล อารยธรรมโบราณนั้นทรงพลังมาก เขาสร้างเสาหินลายดำ และเรือจักรวาล ทั้งสองสิ่งนี้ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดในมหาสมุทรจักรวาลจนถึงปัจจุบันนี้สามารถขยับได้แม้แต่น้อย”
หลัวเฟิงนั้นเห็นด้วยว่าอารยธรรมโบราณนั้นทรงพลังอย่างมาก มีทั้งร่องรอยเบาะแสต่างๆ รวมถึงสมบัติแท้จริงมากมายและสมบัติแท้จริงชั้นยอดก็เป็นมรดกจากอารยธรรมโบราณ หากดูที่ผลงานที่อยู่บนสมบัติแท้จริงชั้นยอด มันเหมือนกับแผนภาพที่อารยธรรมโบราณใช้
“มีวัตถุพิเศษจำนวนมากอยู่ในเรือจักรวาล การประทับชีวิตนั้นไม่ได้ทำให้เป็นเจ้าของมัน มันเป็นเหมือนกับวัตถุเช่นเสาหินลายดำ เรือสุสานนั้นก็เป็นเหมือนเครื่องมือไม่ใช่สมบัติของจริง”
“เช่นการโจมตีจากภายนอกอาจได้รับการตอบโต้ระดับหนึ่ง แต่มันยังเป็นการโจมตีที่รุนแรง มันจะไม่ส่งผลเหมือนกับสมบัติประเภทวัง แต่มันก็ยังมีความสามารถปิดกั้นการโจมตีวิญญาณตามธรรมชาติ วัสดุที่พิเศษจำลองพลังงานอมตะ ทำให้เจาะทะลุการป้องกันไปไม่ได้ การป้องกันของมันมาจากเพียงวัสดุพิเศษ การจะให้มันยอมรับเป็นเจ้านาย เราจะต้องเข้าไปยังเรือสุสานและค้นหาตัวควบคุมหลัก”
“ทั้งเรือจักรวาลเต็มไปด้วยเรือสุสาน แต่มันใช้เวลานานที่จะเกิดขึ้นมา ทุกลำมีการควบคุมหลักที่แตกต่างกัน อย่ามาหาข้อมูลตัวควบคุมหลักจากข้า เพราะว่าข้าก็ไม่รู้เช่นกัน”
หลัวเฟิงรู้ดีว่าเจ้าแห่งจักรวาลเดียร์บาสมีข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับตัวควบคุมหลัก แล้วทำไมเขาจำเป็นจะต้องบอกหลัวเฟิงง่ายๆ
“ถ้าเจ้าต้องการจะเข้าไปในเรือสุสาน จะไม่มีทางอื่นเลยนอกจากให้มันเปิดประตูขึ้นมาเอง เจ้าไม่มีทางที่จะบังคับมันให้เปิดขึ้นมาได้เลย”
หลัวเฟิงถามยืนยัน “ต้องรอนานแค่ไหน”
“เร็วๆ นี้ ทันที่ที่มันโผล่ขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ ประตูก็จะเปิดขึ้นมาเอง แต่อาจจะมีความล่าช้าเกิดขึ้นได้”
“จากบันทึกดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของข้า ยังมีเรือสุสานที่ไม่ยอมเปิดประตูหลังจากมันออกมาแล้ว หลังจากผ่านไป 300 ยุค สิ่งมีชีวิตชั้นยอดที่มีทักษะปรับแต่งและสร้างสมบัติแท้จริง เขามีเทคนิคพิเศษกระตุ้นให้ประตูเรือสุสานเปิด”
“ผู้สร้างสมบัติแท้จริงเรอะ” หลัวเฟิงเหมือนมีอะไรมากระแทกใจ
“ผู้ปรับแต่งต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับอารยธรรมโบราณนี้อย่างลึกซึ้ง สิ่งมีชีวิตยิ่งใหญ่ไม่สามารถเข้าใจอารยธรรมโบราณที่เหลือไว้สุ่มๆ เมื่อศึกษาความลับของสมบัติแท้จริงอย่างละเอียด เขาก็สามารถที่จะเผยความลับของสมบัติลึกลับเหล่านี้ได้”
“มีข้อมูลอีกชิ้นสำหรับเรือสุสาน เจ้าคงเคยได้ยินมาว่าเรือสุสานหนึ่งลำสามารถรับ 36 สิ่งมีชีวิตยิ่งใหญ่เข้าไปยังหลุมฝังศพ”
หลัวเฟิงรู้เพียงแค่ว่าเรือสุสานสามารถนำสิ่งมีชีวิตยิ่งใหญ่เข้าไปในหลุมฝังศพ
“มีเพียงโอกาสเดียวเท่านั้นที่จะควบคุมและขับเคลื่อนเรือสุสาน…หากแต่เข้าไปยังหลุมฝังศพ เรือสุสานจะออกไปและควบคุมไม่ได้อีก แม้ว่าเจ้าจะได้ครอบครองเรือสุสาน เจ้าต้องคิดให้ดีว่าจะเข้าไปยังหลุมฝังศพหรือไม่”
“เมื่อเข้าไปหลุมฝังศพแล้ว เจ้าก็จะเสียเรือสุสานไป”
———-
เรือสุสานค่อยๆ ขึ้นมาจากบึงสีดำอย่างช้าๆ ความเร็วของมันช้าแต่มั่นคงและต่อเนื่อง
วังบินเข้ามาด้วยความเร็วสูง
เสียงเถื่อนๆ ดังขึ้น “ฮ่า ฮ่า นั่นเจ้าแห่งจักรวาลธุลีดิน เจ้าแห่งจักรวาลเทพดำ เจ้าแห่งจักรวาลเดียร์บาส เจ้าแห่งจักรวาลหลิวลี่ ผู้นำทางช้างเผือกจากเผ่ามนุษย์”
“นี่คงเป็น เรือสุสาน”
แสงสีขาวซีดได้ตรงเข้าหาเรือสุสาน
กลุ่มของหลัวเฟิงนั้นมองดูพวกเขา บางคนก็หัวเราะ พวกเขาเฝ้ามองแสงสีขาวซีดเข้าหาเรือสุสานที่กำลังค้นหาจุดสีดำ เขาพยายามที่จะทำการผนึกชีวิตกับเรือสุสาน แต่ก็เห็นกันอยู่แล้วว่ามันไม่มีทางสำเร็จ
“พวกเผ่ากระดูกโง่” เสียงหัวเราะที่เย็นชาดังไปทั่ว
“เราทุกคนนั้นมองดูจากระยะไกลไม่มีใครพยายามให้เรือสุสานจดจำเป็นเจ้านาย เห็นได้ชัดว่าเรือสุสานไม่ยอมรับเจ้า แต่ก็ยังคงพยายาม นี่เป็นเรื่องน่าขำจริงๆ”
“เผ่าดวงตาศักดิ์สิทธิ์ปัญญานิ่ม” เสียงร้องจากความไม่พอใจดังขึ้น
“คนอื่นไม่ได้พูดอะไรเลย แต่เจ้ากับพ่นเรื่องไร้สาระ ข้ารู้อยู่แล้วว่าเรือสุสานไม่สามารถทำให้เป็นเจ้านายได้ ใครจะรู้ว่าเรือสุสานนี้อาจจะแตกต่างจากลำอื่น และเผ่าดวงตาศักดิ์สิทธิ์อาจจะพยายามให้มันจดจำเป็นเจ้านายก่อนหน้าข้า”
เขาพูดถูกแล้วเพราะเผ่าดวงตาศักดิ์สิทธิ์เป็นพวกแรกที่มาถึง เขาอาจทำการตรวจสอบก่อนแล้ว เกี่ยวกับข้อมูลของเรือสุสาน เผ่าดวงตาศักดิ์สิทธิ์ที่มาจากยุคจักรวาลที่หนึ่งอาจมีข้อมูลเทียบเท่ากับสองดินแดนศักดิ์สิทธิ์
“เจ้าเผ่าโครงกระดูกโง่หยุดหาข้อแก้ตัวได้แล้ว” เสียงเย็นชา
“หยุดความเห็นแก่ตัวของเจ้าได้แล้ว เผ่าดวงตาศักดิ์สิทธิ์” เสียงแหลมสูง
กลุ่มอำนาจอื่นไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น มีเพียงสองเผ่าที่ทำการส่งเสียงดังไปมา เผ่าพันธุ์โครงกระดูกนั้นอ่อนแอกว่าเผ่าดวงตาศักดิ์สิทธิ์เล็กน้อย ทั้งคู่มักจะมีปากเสียงกันประจำ แต่ช่วงยุคจักรวาลที่สามใกล้เข้ามา ทั้งสองเผ่าก็ยังไม่หยุดที่จะสู้กัน การที่รักษาพลังของกลุ่มอำนาจตัวเองไว้ภายใต้แรงกดดันของเผ่าดวงตาศักดิ์สิทธิ์ ทำให้เห็นถึงพลังอำนาจของเผ่าโครงกระดูก
เวลาได้ผ่านไปครึ่งเดือนโดยยังไม่มีกลุ่มอำนาจอื่นเข้ามา
ทุกคนล้วนอยู่ในวังสมบัติแท้จริงของตัวเอง แล้วมีสิ่งมีชีวิตยิ่งใหญ่อีกมากแค่ไหนที่อยู่ในวังเหล่านั้น บางทีอาจมีมากกว่าสองในแต่ละวัง ก่อนที่จะเกิดการต่อสู้ขึ้นมันก็ยากที่จะบอกได้
เรือสุสานได้ปรากฎขึ้นมาสมบูรณ์ในที่สุด ฐานของเรือได้ออกมาจากบึงสีดำทั้งหมด จนสามารถเห็นได้ว่ามันกำลังลอยอยู่เหนือน้ำ ไม่นานหลังจากนั้นได้เกิดการสั่นสะเทือนที่ตัวเรือ ประตูก็เปิดขึ้นมา
“ประตูเรือเปิดแล้ว”
“ไปกันเถอะทางช้างเผือก” เจ้าแห่งจักรวาลเดียร์บาสส่งคำสั่งให้กับหลัวเฟิง
หลัวเฟิงในหอคอยสีแดงเข้มตามหลังพีรามิดของเจ้าแห่งจักรวาลเดียร์บาส พวกเขาได้บินไปใกล้เรือสุสานอันใหญ่โต
“เร็วเข้า”
“จับตาดูเจ้าแห่งจักรวาลเดียร์บาสให้ดี เขามีข้อมูลมากที่สุด”
“ตามไป”
กลุ่มอำนาจอื่นๆ จับตามองเจ้าแห่งจักรวาลเดียร์บาสและหลัวเฟิง พวกเขาใช้พลังงานอมตะเพื่อเคลื่อนไหววังสมบัติของพวกเขาให้ดีที่สุด ในการเคลื่อนที่เข้าหาเรือสุสาน