Skip to content

Swallowed Star 128

ตอนที่ 128 หมายเรียกตัว

ในเช้าวันสุดท้ายของเดือนเมษายน วันนี้มีฝนตกปรอยๆ และอากาศหนาวเย็นเล็กน้อย

ณ นครหงหนิง ในหอแนวย้อนยุคอันเงียบสงบของค่ายฝึกหัวกะทิ

เจียงฟางผู้อยู่ในชุดสีขาวกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องฝึก เธอหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ และลึกยาว ในกระบวนการนี้ เจียงฟางเริ่มมีเหงื่อไหลออกมาจากทุกส่วนของร่างกายและผิวของเธอก็เริ่มเป็นสีแดงเรื่อๆ ทันใดนั้น เสียงขลุ่ยแผ่วยาวก็ดังแว่วขึ้นเป็นเหตุให้เธอต้องลืมตาขึ้น

“ใครโทรมาตอนนี้นะ?” เจียงฟางลุกขึ้นอย่างสงสัยและเดินเท้าเปล่าข้ามห้องฝึกไปยังมือถือของเธอที่วางอยู่ตรงมุมห้อง

เธอมองดูชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอมือถือ

สีหน้าของเจียงฟางเปลี่ยนไป ท่าทางก็เคร่งขรึมมากขึ้นทันที

“ผู้ตรวจการหวัง!”

“เจียงฟาง ไปแจ้งนักเรียนแล้วพามาพบผมด้วย” เสียงแหบๆ ดังออกมาจากมือถือของเธอ

“รับทราบค่ะ” เจียงฟางตอบ

หลังจากวางสายเจียงฟางก็ยิ้มออกมา “อย่างที่คิดไว้เลย เบื้องบนกำลังตามหาตัวหลัวเฟิงจริงๆ ใช่ซินะ เราไม่ได้เห็นนักเรียนที่สามารถติดท็อป 100 ได้ภายในเดือนแรกมาแล้วถึง 8 ปี และหลัวเฟิงก็อยู่ถึงอันดับที่ 68 ทีเดียว”

หมายเรียกตัวจากเบื้องบนคือสิ่งที่เธอคาดการณ์ไว้แล้ว หลังจากนั้น เจียงฟางก็กดเบอร์โทรหาหลัวเฟิงทันที

“ตู๊ด…ตู๊ด…ตู๊ด…”

ปลายสายยังไม่รับ

“หือ? ทำไมถึงไม่รับสาย” เจียงฟางขมวดคิ้วและวางมือถือลง เธอเปลี่ยนชุดก่อนจะเดินไปยังที่พักของหลัวเฟิง

………..

หอเจียงหนาน ในห้องฝึกใต้ดินของหลัวเฟิง

หลัวเฟิงไม่ได้ใส่เสื่อและเท้าเปล่า เขาสวมเฉพาะกางเกงขายาวตัวเดียวเท่านั้น ในตอนนี้ เนื้อตัวของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อและศีรษะของเขาก็เปียกโชค

“ฉับ!” ภายในห้องฝึกขนาด 5X5 เมตรนี้ เท่าของหลัวเฟิงเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า ในขณะเดียวกัน เขาก็ใช้มือเปล่าด้านขวาฟันฉับลงบนอากาศอย่างรวดเร็ว “พรึ่บ!”

เสียงอากาศแหวกตัวราวกับเสียงกระดาษขาดซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาโซนิคบูม หลังจากที่ฟันมือเช่นนั้นแล้ว หลัวเฟิงก็โยกตัวก้าวถอยหลังมา 1 ก้าว

พลังจิตของหลัวเฟิงรับรู้ได้ถึงสันมือของเขาที่ฟันแหวกอากาศลงไปราวกับฟันลงผิวน้ำ ซึ่งนั้นเป็นสาเหตุให้เกิดโซนิคบูม

สันมือของเขาร้ายกาจราวดาบคม ดาบและการฟันมือแต่ละครั้งของเขาก็มีความเร็วเหนือเสียงทุกครั้ง

ภายในห้องฝึกอันเป็นโลหะนี้ ร่างของหลัวเฟิงบางครั้งก็ดูเลือนราง บางครั้งก็ดูชัดเจน แต่ละก้าวของเขารวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์และการสับมือของเขาแต่ละครั้งก็ร้ายกาจราวกับดาบจริงๆ การโจมตีแต่ละครั้งของเขาจะระเบิดพลัง 2.8 เท่าออกมา

หลังจากที่ชกพันครั้ง เทคนิคก็จะเป็นธรรมชาติ

นี่คือคำพูดที่เจียงฟางเคยพูดเอาไว้ เธอกล่าวว่า ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคดาบ หรือเทคนิคอื่น มีทางเดียวที่จะพัฒนามันได้คือการฝึกแล้วก็ฝึกเท่านั้น ถ้าเอาแต่นั่งคิด ก็จะไม่พัฒนา ไม่ว่าคิดมากซักแค่ไหนก็ตาม

อยากจะพัฒนาเทคนิคเฉพาะตัว?

ฝึกซิ!

อยากจะพัฒนาเทคนิคดาบ?

ฝึกซิ!

อยากจะพัฒนาพลังหมัด?

ฝึกซิ!

ใช้สมองขณะที่ฝึกซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นระยะเวลานา การทำแบบนี้เท่านั้นที่จะทำให้พัฒนา!

…………

เจียงฟางในชุดฝึกสีดำโคร่งซึ่งทำจากผ้าไหม เธอถือร่มเดินมาถึงหอเจียงหนาน

“หลัวเฟิง!” เจียงฟางตะโกนขึ้นทันทีที่เธอมาถึงลานหน้าหอ

เด็กสาวพร้อมร่วมในมือกระโดดลงมาจากชั้นที่ 2 ของหอหลังใกล้ๆ กัน เธอคือจ้าวรั่วนั่นเอง จ้าวรั่วหัวเราะคิกคัก “ครูเจียงฟาง ถ้าครูหารุ่นน้องหลัวเฟิงโทรมาก็พอแล้วนี่คะ ต้องมาด้วยตัวเองเลยเหรอ”

วูบ!

ในหอของหลัวเฟิง เงาๆ หนึ่งปรากฏขึ้นบนชั้นแรกและทะยานขึ้นไปบนบันได “ครูครับ เดี๋ยวผมลงไปนะครับ”

จ้าวรั่วกับเจียงฟางตะลึงงัน

ทั้งคู่ต่างมีสายตาที่ดีมาก แน่นอนพวกเธอเห็นหลัวเฟิงในสภาพเท้าเปล่านุ่งกางเกงขายาวตัวเดียว

“เขาฝึกหนักจริงๆ เนื้อตัวของเขาชุ่มเหงื่อหมดเลย” จ้าวรั่วกล่าวชม “รูปร่างของเขาก็ดูดีทีเทียว ว่าไหมคะครู?”

“แม่สาวน้อย…” เจียงฟางหัวเราะ

จ้าวรั่วเย้าเธอซะแล้ว

จ้าวรั่วทำหน้าตลกแล้วก็หัวเราะชอบใจ

“ฉื่อเจียงอยู่ไหน เขาไม่อยู่ที่นี่เหรอ?” เจียงฟางถาม

“รุ่นพี่ฉื่อเจียงไปที่ตึกมหานพตั้งแต่เข้าแล้วค่ะ ไม่เหมือนพวกหนูนี่คะ เขามีเวลาเยอะเลยที่จะฝึกฝนในห้องฝึกและห้องแรงโน้มถ่วงแบบนั้น” จ้าวรั่วส่ายศีรษะพลางถอนหายใจ “น่าเศร้ามากเลย ในอีกปีหรือสองปี หลัวเฟิงก็คงจะขึ้นไปติดท็อป 10 แล้ว เมื่อเปรียบกับพวกเขาแล้วหนูมันน่าสมเพชที่สุดเลย!”

เจียงฟางหัวเราะ “ถ้าเธออยากพัฒนา เธอก็ต้องเริ่มคิดให้ดีกว่านี้”

ในขณะนั้นเอง หลัวเฟิงในชุดลำลองพุ่งลงบันไดมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับร่มในมือ “มาแล้วครับครู”

“มากับฉัน” เจียงฟางกล่าว

หลัวเฟิงเดินออกจากหอเจียงหนานตามเจียงฟางไปอย่างว่าง่าย

การเดินในสายหมอกภายในค่ายให้ความรู้สึกที่ต่างออกไปเหมือนกัน

เจียงฟางชำเลืองดูหลัวเฟิงแล้วยิ้มให้ “หลัวเฟิง ผู้ตรวจการหวังอยากพบนาย”

“ผู้ตรวจการหวัง?” หลัวเฟิงอึ้ง

ผู้ตรวจการ…นั่นคือตำแหน่งของระดับสุดยอดของสำนักขีดสุดแน่ๆ ได้ยินมาว่าเจ้าสำนักกับผู้ตรวจการทั้ง 5 เป็นผู้ตัดสินใจทุกอย่างในสำนักขีดสุด! ซึ่งในฐานะนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกแล้วเจ้าสำนักไม่อาจเข้าร่วมตัดสินใจได้ในทุกๆ เรื่อง จึงต้องมีผู้ตรวจการเอาไว้ช่วยตัดสินใจ

“ฉันบอกแล้วว่าเดี๋ยวเบื้องบนก็จะเรียกพบนาย เห็นไหมล่ะ?” เจียงฟางหัวเราะ

“ครูครับ ผมควรทำตัวยังไงครับเมื่อพบกับท่านผู้ตรวจการ?” หลัวเฟิงเริ่มกังวลเล็กน้อย

เขาคือผู้ตรวจการ

สิ่งมีชีวิตที่ยืนอยู่จุดสูงสุดของมวลมนุษยชาติด้วยความแข็งแกร่งอันเหนือธรรมดา หลัวเฟิงแค่เคยชำเลืองมอง ‘จู่สี่’ จากระยะไกลเมื่อครั้งที่ไปร่วมงานศพเทพสงครามลิ่วกังในตอนนั้น เหล่าบรรดาพวกระดับสูงจากรัฐบาลต่างให้ความเคารพเขาอย่างมาก

“ไม่ต้องกังวลหรอก นายไม่ได้กำลังจะไปขออะไรกับเขา และทางสำนักก็เป็นหนี่งในองค์กรที่อยากจะรับสมัครนายเท่านั้น” เจียงฟางอธิบายเล็กน้อย “ฉะนั้น ไม่ต้องกังวลอะไร ฉันเชื่อว่าเมื่อเขาพบนาย ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ยิ้ม แต่เขาก็คงจะไม่ทำท่าขึงขังเหมือนตอนที่เขาปฏิบัติงานหรอก”

“โอ้” หลัวเฟิงพยักหน้า

ระหว่างที่เขาเดินตามเจียงฟาง เขาก็มาถึงเขตอยู่อาศัยของครูฝึกระดับเทพสงครามอย่างรวดเร็ว ขณะที่อยู่บริเวณนั้น เขาก็พบกับสิ่งที่ดูเหมือนจะคุ้นเคยเป็นอย่างดี คฤหาสน์อันเงียบสงบหลังหนึ่ง คฤหาสน์หลังนี้เป็นแนวย้อนยุคแบบสมัยราชวงศ์ถัง มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่ดูแตกต่างจากคฤหาสน์ของเทพสงครามคนอื่นๆ ก็คือพื้นที่ของคฤหาสน์หลังนี้จะมีพื้นที่มากกว่าอยู่พอสมควร

“ครูเจียงฟางครับ ท่านผู้ตรวจการกำลังรอคุณและนักเรียนของคุณอยู่ครับ” ที่ประตูทางเข้าคฤหาสน์ หัวหน้าพ่อบ้านวัยชรายิ้มพลางกล่าวเชื้อเชิญ

หลังจากเข้าไปด้านใน

หลัวเฟิงก็สังเกตเห็นผู้หญิง 3 คนกำลังสนทนากันอยู่ในห้องรับแขกของคฤหาสน์นั้น

“เฮ่ เสี่ยวเจียงนี่นา” ผู้หญิงรูปร่างผิวพรรณดีหนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นยิ้มๆ เปล่งรัศมีผู้ดีอย่างเห็นได้แต่ไกล “สหายหวังกำลังรอบนห้องรับรองด้านบน เขาบอกว่า…ให้หลัวเฟิงขึ้นไปคนเดียวก็พอแล้วเสี่ยวเจียง เธอมาคุยกับพวกเราแล้วเดี๋ยวเล่นไพ่นกกระจอกกันดีไหม?”

“ใช่ๆ เสี่ยวเจียง อย่าเพิ่งเคร่งเครียดเกินไปหน่อยเลยน่า” ผู้หญิงอีกคนเอ่ยขึ้นเช่นกัน

ผู้หญิงเหล่านี้ล้วนเป็นครอบครัวของครูฝึกเทพสงครามทั้งนั้น

“นายขึ้นไปก่อนนะ” เจียงฟางกล่าว

“ครับครู”

หลัวเฟิงเดินขึ้นไปบนบันไดเพียงคนเดียว เมื่อเขามาถึงชั้นที่ 2 เขาก็ได้กลิ่นบางอย่างโชยมา มันผ่อนคลาย…กลิ่นน้ำชา ตามกลิ่นนั้นไปเขาก็ไปถึงห้องรับรองนั้นได้โดยง่าย

ประตูถูกเปิดออก

“เข้ามาซิ” เสียงแหบๆ ดังขึ้น

หลัวเฟิงเดินเข้าไปด้านในห้องรับรองแล้วก็เห็นบุคคลแค่เพียงคนเดียวนั่งอยู่ในนั้น…ชายร่างผอมซึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ เขามีหนวดและดูลักษณะอายุราวๆ 40 ปี จากการมองดูเผินๆ สามารถบอกได้เลยว่าเขาต้องเป็นคนรูปหล่อคนหนึ่งเมื่อครั้งยังเป็นหนุ่ม ในขณะนี้ ชายร่างผอมยังคงหลับตาและมีลูกประคำอยู่ในมือ

ถ้วยชาถูกวางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าเขา

“ท่านผู้ตรวจการ” หลัวเฟิงโค้งคำนับ

ชายร่างผอมค่อยๆ ลืมตาขึ้น ขณะที่หลัวเฟิงถูกจ้องมองมาเขารู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายของเขาหลุดออกจากโลกนี้ไป ห้องรับแขกนี้เป็นห้องเรียบๆ และชายร่างผอมก็เป็นเหมือนกับ ‘จิตวิญญาณ’ ของห้องนี้ ความกดดันนี้ทำให้หลัวเฟิงแทบจะหายใจไม่ออก

“นั่งซิ!” ชายร่างผอมชี้นิ้วไปที่โต๊ะตรงหน้าเขา

ไม่มีเก้าอี้ซักตัวในห้องนี้ แล้วเขาจะนั่งยังไงล่ะ?

หลัวเฟิงทำได้อย่างเดียวก็คือการนั่งขัดสมาธิบนพื้นแบบท่านผู้ตรวจการหวังนั่นเอง

“ค่อยๆ อ่านสัญญาตรงหน้านายให้ดี ถ้าไม่มีข้อคัดค้านอะไรก็ค่อยเซ็น” ผู้ตรวจการหวังกล่าวเรียบๆ แล้วจากนั้นเขาก็หลับตาลงแล้วนับประคำอีกครั้ง

บนโต๊ะมีสัญญาอยู่จำนวน 3 แผ่น

หลัวเฟิงหยิบมาแล้วค่อยๆ พิจารณาดู

ไม่เหมือนกับสัญญาทั่วๆ ไป นี่คือสัญญาที่รับสมัครอย่างเป็นทางการของสำนักขีดสุด ยกตัวอย่างเช่น เมื่อนักสู้ธรรมดาเข้าร่วมกับทางสำนักขีดสุด พวกเขาจะไม่ได้รับเงินเดิน นั่นก็เหมือนกับหลัวเฟิงในอดีต! ถึงแม้ว่าพวกเจาจะไม่มีเงินเดือน แต่ทางสำนักขีดสุดก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรจากพวกเขามากนัก

แต่สัญญาฉบับนี้มันต่างออกไป!

มีทั้งอำนาจและเงิน! แต่ก็มีความรับผิดชอบมากเช่นกัน!

“5 พันล้านหยวนต่อปี?” หลัวเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ตัวเงินนี้ไม่สูง กระทั่งพูดได้ว่าต่ำมาก

เทพสงครามขั้นต้นสามารถทำเงินขนาดนี้ได้ใน 1 ปีอยู่แล้ว

และหลัวเฟิงก็ถูกเลี้ยงดูดีกว่าเทพสงครามขั้นสูงเสียอีกในปัจจุบันนี้ ไม่มีองค์กรไหนเลยที่ยื่นข้อเสนอให้กับเขาต่ำกว่า 1 หมื่นล้านหยวนต่อปี

“หือ…”

“ตามสัญญานี้ มีคนน้อยมากๆ ในสำนักขีดสุดที่จะได้เงินเดือนเท่านี้?” ในสัญญา มีข้อมูลมากมายเกี่ยวกับเงินเดือน แม้แต่ตำแหน่งสูงสุด ‘ผู้ตรวจการ’ ก็ยังได้รับเพียงแค่ 1 หมื่นล้านต่อปี

สำนักขีดสุดจ่ายเงินเดือนไม่สูงเลย

ทว่าคนทั่วไปไม่ได้เข้าร่วมกับสำนักขีดสุดด้วยเรื่องของเงิน!

“หือ?”

หลัวเฟิงตาเป็นประกายเมื่อพลิกไปหน้าที่ 3

“ถ้าความสามารถในการต่อสู้บรรลุถึงระดับ 12 ภายในวันที่ 1 สิงหาคม 2057 จะได้รับชุดต่อสู้กับอาวุธครบเซ็ตชุด 9 และคู่มือวิชาใดก็ได้แบบสมบูรณ์ 1 วิชา พร้อมทั้งเลือดมังกรซึ่งมีมูลค่า 8 หมื่นล้านอีกด้วย”

“ถ้าความสามารถในการต่อสู้บรรลุถึงระดับ 12 ภายในวันที่ 1 สิงหาคม 2057 – วันที่ 1 มกราคม 2058 จะได้รับชุดต่อสู้กับอาวุธครบเซ็ตชุด 9 และหยกมูลค่า 8 หมื่นล้าน”

“ถ้าความสามารถในการต่อสู้บรรลุถึงระดับ 16 ภายในวันที่ 1 มกราคม 2060 จะได้รับชุดต่อสู้กับอาวุธครบเซ็ตระดับ SS คู่มือวิชาใดก็ได้แบบสมบูรณ์ 3 วิชา เลือดมังกรมูลค่า 8 หมื่นล้าน และยังได้ ‘เทพมหากาฬ’ จากซากโบราณคดี 1 ชุด”

“ถ้า……..”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!