Skip to content

Swallowed Star 6

ตอนที่ 6

เข้าสอบ

เหลืออีกหนึ่งเดือนก่อนจะถึงวันสอบ หลัวเฟิงพุ่งสมาธิทั้งหมด ไปเพื่อการทบทวนตำราเรียน ขณะที่เขาฝึกทำข้อสอบ ความ มั่นใจของเขาก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

“มีโอกาสถึง 90 % แล้วที่เราจะสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร เจียงหนานที่หนึ่งได้”

นี่คือสิ่งที่หลัวเฟิงคิด

………………

วันที่ 7 มิถุนายน เป็นวันเริ่มการสอบ การสอบของประเทศจีน จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 7 ถึงวันที่ 9 มิถุนายน ซึ่งยังคงเหมือนกับวันสอบ ของช่วงก่อนยุคมหานิพพาน

ณ โรงเรียนมัธยมที่ 1 เขตอี๋อัน

ตามกฎแล้ว การสอบทั้งหมดจะถูกสอบภายในโรงเรียนแห่งนี้ “โชคดีนะคนเก่ง”

“ไม่ต้องห่วงค่ะพ่อ”

“ทูนหัวของพ่อไม่ต้องกดดันมากนะลูก”

………………

ที่ด้านนอกของประตูทางเข้าโรงเรียนมีฝูงชนขนาดใหญ่ หนาแน่นไปด้วยทั้งเด็กนักเรียนและพ่อแม่ผู้ปกครอง ตำรวจยืน เรียงแถวประจำการอยู่พร้อมอาวุธครบมือ

“เสี่ยวเฟิง ตอนสอบทำใจให้สบายๆ นะ ถึงจะสอบเข้าโรงเรียมเตรียมทหารที่หนึ่งไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ที่สองก็ได้อยู่ ผ่อนคลายลูก!” หลัวหงกั๋วมองดูลูกชายของเขาพลางหัวเราะ

“ครับพ่อ” หลัวเฟิงยิ้มและพยักหน้าให้พ่อ

“ปี๊น… ปี๊น…” ตามมาด้วยเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่ม รถยนต์สี ดำสนิทเปล่งประกายความหรูหราคันนั้น คือ ‘เบนซ์ s600’ รุ่นใหม่ล่าสุด มาพร้อมกับขบวนรถตำรวจคุ้มกันอีกหลายคัน ขณะที่มาถึงประตูทางเข้า ผู้คนตรงบริเวณนั้นต่างก็ขยับหลีกทางให้ และทุกคน ต่างอดชำเลืองมองไม่ได้

เจ้า ‘เบนซ์ s600’ ตัวนี้ เร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง ได้ภายใน 6 วินาทีเท่านั้น ความเร็วสูงสุดของมันอยู่ที่ 500 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แน่นอน มันไม่ใช่แค่นี้ เจ้า ‘เบนซ์ s600’ เป็นแบรนด์ดังจากยุคมหานิพพานซะด้วย หรือพูดง่ายๆ คือ มันขายรสนิยมนั่นเอง

มีคนเพียงสามคนที่ก้าวออกมาจากรถคันนั้น และพวกเขาก็ คุยกันอย่างออกรสขณะเดินมาที่ประตูทางเข้า

“คนหัวล้านทางซ้ายมือคือผู้กำกับการตำรวจในเขตอี๋อันนี่แหละ”

“ส่วนคนที่อยู่ทางขวาก็คือประธานคณะกรรมการการศึกษาหลิว”

“และคนที่อยู่ตรงกลางจะต้องเป็น ‘นักสู้’ ที่รับผิดชอบเรื่อง ความปลอดภัยของพื้นที่ในการทดสอบครั้งนี้นั่นเอง” ในบรรดา ผู้คนที่กำลังจับตามอง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนส่วนใหญ่จะมองไปที่ ชายผู้เดินอยู่ตรงกลางผู้นั้น ทุกคนต่างก็มองด้วยความเลื่อมใส ตื่นเต้น ระคนความอยากรู้อยากเห็นด้วย

ณ ปัจจุบันนี้ การต่อสู้ระหว่างคนกับสัตว์ประหลาดยังคงกำลัง ดำเนินต่อไป

โดยปกติคนธรรมดาสามัญจะถูกห้ามไม่ให้ออกนอกเขตตัวเมือง จะมีก็แต่เหล่านักสู้เท่านั้นที่สามารถออกไปยืนหยัดต่อสู้กับ สัตว์ประหลาดแบบตัวต่อตัวได้ สังคมจึงให้เกียรติพวกเขา รู้สึกขอบคุณพวกเขาที่ฝึกฝนอย่างหนักและสร้างคุณูปการให้กับมนุษย์ชาติ จึงเป็นธรรมดาที่ผู้คนส่วนใหญ่จะยกย่องชื่นชมพวกเขา

เหล่านักสู้ก็คือกลุ่มยอดมนุษย์แห่งมวลมนุษย์ชาตินั่นเอง

“นั่นสินะนักสู้” หลัวหงกั๋วกำลังมองไปที่ชายผู้นั้นเช่นกัน “ทุก ครั้งที่มีการสอบ ความรับผิดชอบต่อความปลอดภัยของพื้นที่เกือบ ทุกครั้งต้องตกเป็นหน้าที่ของนักสู้อยู่เสมอๆ”

“นักสู้”

หลัวเฟิงมองดู นักสู้มีความรู้สึกที่ทำให้หัวใจเต้นระส่ำได้ แวว ตาของเขาดูราวกับอสรพิษแห่งดงพญาเย็น เขาไม่ยิ้มเลยแม้แต่ น้อยขณะที่เดินอยู่ เขาเพียงพยักหน้าเบาๆ เป็นบางครั้งให้กับผู้ กำกับการตำรวจและประธานหลิว เห็นได้ชัดเลยว่าเขาไม่สนใจที่จะ ยุ่มย่ามกับคนเหล่านั้น

“อนาคตอยู่อีกไม่ไกลแล้ว เราจะต้องสำเร็จขั้น ‘นักสู้’ ให้ได้!” หลัวเฟิงคิดในใจ

เอี๊ยด….เอี๊ยด…

ประตูใหญ่ของโรงเรียนมัธยมเปิดออกอย่างช้าๆ

ทันทีนั้นก็มีเสียงดังป่าวร้องก้องขึ้น “ได้เวลาแล้ว”

“เสี่ยวเพิง ได้เวลาแล้วลูก เข้าไปเร็ว” หลัวหงกั๋วโพล่งขึ้น แล้ว กงซินหลานก็สำทับมาอีก “เข้าไปเร็วลูก แม่จะกลับบ้านไปทำอาหารอร่อยๆ ไว้รอ ให้พ่อกับน้องรออยู่ที่นี่จนกว่าลูกจะสอบเสร็จแล้วกัน”

“ครับแม่”

หลัวเฟิงยิ้มบางๆ แล้วพยักหน้าให้

“พี่ครับ” หลัวฮว๋านั่งอยู่บนวีลแชร์และชูกำปั้นขึ้น “ต้องสู้ๆ นะ ครับ!” หลัวฮว๋าพูดยิ้มๆ

“สู้ๆ!” หลัวเฟิงชูกำปั้นขึ้นเหมือนกัน

เมื่อหลัวเฟิงหันกลับมา ก็ปรากฎว่าทุกคนก็กำลังมุ่งหน้าไปสู่ ประตูทางเข้าและกำลังผ่านระบบตรวจสอบทีละคน

………….

ภายในห้องทำการทดสอบ บัตรผู้เข้าสอบและบัตรประจำตัว จะต้องถูกวางไว้บนโต๊ะเพื่อให้ผู้คุมสอบตรวจสอบ หลังจากนั้น ข้อสอบถึงจะถูกแจกจ่ายให้

“ปี 2056 โรงเรียนมัธยมนครเจียงหนาน ข้อสอบหมวดวิชา วิทยาศาสตร์ชุด A” ข้อความปรากฎชัดเจนบนหัวกระดาษ

“รอบแรกคือหมวดวิชาวิทยาศาสตร์!”

หลัวเฟิงอ่านข้อสอบด้านหน้าเขาอย่างคร่าวๆ และอ่านสอง สามหัวข้อใหญ่ในตอนท้ายข้อสอบ ดูเหมือนเขาจะเคยอ่านผ่านมาบ้างแล้ว หลัวเฟิงคิดในใจ “โจทย์ครั้งนี้ไม่ยากเท่าไหร่ ถ้าไม่ยาก มากแบบนี้ความต่างของคะแนนวิชานี้ก็คงจะไม่ขาดกันนัก เห็นที เราจะต้องเน้นความถูกต้องชัดเจนในแต่ละข้อให้ไม่มีจุดผิดพลาด น่าจะดีที่สุด”

หลัวเฟิงคิดได้ก็เริ่มเขียนคำตอบทันที

…………..

มีข้อสอบอยู่ 3 หมวดวิชาในการสอบของโรงเรียนมัธยม คือ หมวดวิชาวิทยาศาสตร์ ศิลปะศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ซึ่งแต่ละ หมวดวิชามีคะแนน 250 คะแนน คะแนนรวมสูงสุดก็คือ 750 คะแนน

หมวดวิชาวิทยาศาสตร์ประกอบไปด้วย วิชาฟิสิกส์ เคมี และชีววิทยา

หมวดวิชาศิลปศาสตร์ประกอบไปด้วย วิชาภาษาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ การเมืองการปกครอง และภูมิศาสตร์

หมวดวิชาคณิตศาสตร์ย่อมประกอบไปด้วย วิชาคณิตศาสตร์วิชาเดียว

มนุษย์ชาติหลังจากยุคมหานิพพาน โดยเฉพาะช่วงที่ต้องต่อสู้ กับพวกสัตว์ประหลาด มีความพยายามอย่างหนักที่จะพัฒนา ศักยภาพทางด้านเทคโนโลยีและทักษะศิลปะการต่อสู้ ด้วยเหตุนี้ ทุกคนจึงเห็นความสำคัญของ ‘วิชาคณิตศาสตร์, ใครก็ตามที่จะ ประสบผลสำเร็จในวิชาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ชีววิทยา และ ฟิสิกส์ ก็จำเป็นจะต้องมีพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ที่ดีมากทีเดียว

ดังนั้น…

วิชาคณิตศาสตร์จึงกลายเป็นสิ่งสำคัญมากในการศึกษา หลัวเฟิงค่อนข้างอ่อนในหมวดวิชาศิลปศาสตร์’ แต่เขาก็เก่งวิชาคณิตศาสตร์มากทีเดียว

…………

วันที่ 7 มิถุนายน สอบหมวดวิชาวิทยาศาสตร์

วันที่ 8 มิถุนายน สอบหมวดวิชาศิลปะศาสตร์

ในชั่วพริบตา ก็มาถึงวันที่ 9 มิถุนายนแล้ว

…………..

ภายในห้องสอบ ข้อสอบวิชาคณิตสาสตรเพิ่งจะถูกแจกจ่ายมา

“ถึงช่วงสอบวิชาคณิตศาสตร์แล้ว” หลัวเฟิงสูดหายใจเข้าลึกเต็มปอด “ข้อสอบในหมวดวิทยาศาสตร์ไม่ได้ยากมากนัก เพราะ งั้นเราเลยทำได้ค่อนข้างดี ส่วนหมวดวิชาศิลปศาสตร์เราทำได้ดีพอตัว ก็คือในสองหมวดวิชานั้นคะแนนของเราน่าจะอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่ควรจะเป็น ขอแค่เราไม่พลาดในข้อสอบหมวดวิชา คณิตศาสตร์ เราก็น่าจะสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารเจียงหนานที่หนึ่งได้แน่ๆ

“พยายามเข้า!”

หลังจากปลุกใจตัวเองแล้ว หลัวเฟิงก้มหน้าก้มตาเริ่มทำข้อสอบทันที

ความเงียบแผ่ขยายตัวเข้าครอบงำทั่วทั้งห้องสอบ นักเรียน จำนวนมากย่นคิ้วนิ่วหน้าไปตามๆ กัน แสดงให้เห็นว่าโจทย์ของ วิชานี้ค่อนข้างยากมากทีเดียว โจทย์วิชาคณิตศาสตร์ของ ระดับชั้นมัธยมไม่เคยมีปีไหนที่ง่ายเลย ก็เพราะว่าข้อสอบวิชานี้จะ เป็นตัวคัดแยกกลุ่มคนที่มีศักยภาพที่จะเข้าพัฒนาเทคโนโลยีของ มนุษยชาติต่อไป

“ยากสุดๆ เลย” แม้แต่หลัวเฟิงเองก็ยังรู้สึกว่ามันยาก “น่าจะ ยากกว่าของปีที่แล้วด้วยซ้ำ! เอาเถอะ…ยิ่งยากก็ยิ่งดี!”

หากข้อสอบออกง่าย พวกที่ไม่เก่งวิชาคณิตศาสตร์เท่าหลัวเฟิงก็อาจจะทำได้ประมาณ 220 คะแนน ส่วนหลัวเฟิงก็อาจจะทำได้ราวๆ 230 คะแนนเท่านั้น ฟังความแตกต่างตรงนี้มันก็ดูไม่ค่อยห่างกันสักเท่าไหร่

แต่ว่า..ถ้าข้อสอบออกยากแบบนี้

หลัวเฟิงจะอาจจะสามารถทำคะแนนอยู่ราวๆ 210 คะแนน ในขณะที่พวกไม่ค่อยเก่งวิชาคณิตศาสตร์ก็อาจทำคะแนนได้แค่ประมาณ 150 คะแนนเท่านั้น ซึ่งในกรณีนี้ คะแนนของหลัวเฟิงก็จะ แตกต่างออกมาอย่างเห็นได้ชัด

“เป๊าะ..!” เสียงเหมือนมีอะไรหักดังขึ้น

ผู้คุมสอบหันขวับไปยังที่มาของเสียงนั้นทันที ปรากฎว่ามี นักเรียนคนหนึ่งหักปากกาที่อยู่ในมือของเขา นักเรียนคนนั้นทำคิ้ว ขมวดและขบกรามแน่นจนเป็นสันนูน ขณะที่ตาก็จ้องข้อสอบเขม็งอยู่ เห็นได้ชัดว่าข้อสอบนี้ยากเอาเสียจริงๆ หสังจากนั้น เขาก็ขว้าง ปากกาด้ามนั้นทิ้งไปและหยิบอันใหม่ออกมา แล้วก้มหน้าทำข้อสอบต่อไป

“ดูจากสีหน้าของนักเรียน บอกได้เลยว่าข้อสอบวิชา คณิตศาสตร์ปีนี้มันหินจริงๆ” ผู้คุมสอบคิดในใจ

เอาเข้าจริงๆ แต่ละคนในห้องต่างก็คิ้วขมวดและตกอยู่ในห้วง ลึกของความคิด นักเรียนหลายคนที่กดดันมากก็มีน้ำตาซึมออกมาให้เห็นบ้างแล้ว

นักเรียนที่ไม่เก่งวิชาคณิตศาสตร์ต่างก็พากันคิดอยู่ในหัวว่า ….ข้อนี้ก็ทำไม่ได้ ข้อนั้นก็ทำไม่ได้ ข้อนั้นก็ยิ่งแล้วใหญ่…นักเรียน เหล่านั้นเริ่มจะหัวเสียกับข้อสอบไปตามๆ กัน

……………

1 ชั่วโมงผ่านไป ภายในห้องสอบ

เวลาของการสอบวิชาคณิตศาสตร์คือ 2 ชั่วโมงครึ่ง

ถึงตอนนี้ หลัวเฟิงทำโจทย์ ‘ปรนัย’ และ ‘เติมคำตอบในช่องว่าง’ เรียบร้อยแล้ว ส่วนที่เหลือคือโจทย์ ‘การคำนวณ’ ในข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ ข้อปรนับและเติมคำตอบในช่องว่างมีคะแนนเพียง 90 คะแนนเท่านั้น ส่วนโจทย์การคำนวณซึ่งมี 5 ข้อใหญ่มีคะแนนถึง 160 คะแนน ซึ่งมีแต่โจทย์แบบนี้เท่านั้นที่จะ สามารคคัดแยกทักษะทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนแต่ละคนได้อย่างชัดเจน

“จะยากอะไรขนาดนี้…แม้แต่เราก็ยังเติมช่องว่างไม่ได้ตั้งสองข้อ” หลัวเฟิงสูดลมหายใจลึก “ข้างล่างก็เป็นข้อที่จะต้องแสดงวิธีทำ คะแนนจะอยู่ตรงนี้มากหน่อย ทำได้ข้อหนึ่งอาจจะได้คะแนนถึง 30-40 คะแนนเลย!”

ในบรรดาโจทย์คำนวณ 5 ข้อนี้ 4 ข้อแรกมี 30 คะแนน และ ข้อสุดท้ายมีคะแนนถึง 40 คะแนน

“หึม..?” หลัวเฟิงพบกับความท้าทายขณะที่มองดูโจทย์ คำนวณในข้อแรก

หลัวเฟิงค่อยๆ คิดและคำนวณตัวเลขในกระดาษทด

“ใช่…เปลี่ยนตรงนี้สักหน่อย คิดย้อนกลับ น่าจะปรับมันให้เข้า วิธีคำนวณได้แล้วล่ะมั้ง?” แววตาของหลัวเฟิงเปล่งประกายวาบ เขียน! เขียน! เขียน! ขอแค่คิดดีๆ โจทย์ข้อนี้ก็จะตอบได้ไม่ยาก หลัวเฟิงทำข้อสอบข้อแรกไปได้อย่างง่ายดายโดยใช้เวลาเพียงอึด ใจเดียวและหลังจากทำเสร็จเขาก็ตรวจทานดูอีกรอบอย่างละเอียด

“อืม…ข้อแรกเสร็จแล้ว” หลัวเฟิงมองดูนาฬิกาที่ข้อมือซ้ายแล้ว ก็หัวใจเต้นแรง “โจทย์ข้อแรกก็ปาเข้าไป 20 นาทีแล้วเหรอเนี่ย? คงต้องเร่งมือหน่อยแล้วล่ะ”

หลัวเฟิงก้มหน้าก้มตาแล้วรีบทำข้อที่สองต่อ

หลังจากพิจารณาดูเล็กน้อย หลัวเฟิงก็รู้สึกว่ามันไม่ยากนัก เขาจึงเริ่มคำนวณในกระดาษทดทันที

“ฮึม..ไม่ถูกแฮะ”

หลัวเฟิงรู้สึกเหมือนเขาจะคิดผิดจนต้องขมวดคิ้วขึ้นมา เวลาผ่านไปเรื่อยๆ หลัวเฟิงยังคงแก้โจทย์ข้อนี้อยู่ “เอาล่ะ น่าจะเป็นแบบนี้ แต่จะแสดงวิธีทำยังไงล่ะเนี่ย?” สมองของหลัวเฟิงทำงานอย่างรวดเร็ว

“เร็วเข้าๆๆ เราจะมัวเสียเวลากับโจทย์ข้อนี้ไม่ได้อีกแล้ว ให้ ตายสิจะแสดงวิธีทำยังไงดี?” หลัวเฟิงชักเริ่มหัวเสีย

และตอนนั้นเอง…..

บนหน้าปัดนาฬิกาของหลัวเฟิง ตัวเลขอัตรา ‘ชีพจร’ เริ่ม เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

  1. 120. 125. 130. 140. 150.

“เกือบเสร็จแล้ว แค่แสดงวิธีทำเสร็จเราก็จะได้ 30 คะแนน จะ ทำยังไงดีนะ?” หลัวเฟิงเริ่มจะเครียดขึ้นเรื่อยๆ…การทำข้อสอบนั้น จะต้องบริหารเวลาให้ดีที่สุด เพราะว่าข้อสอบการคำนวณนี้แต่ละ ข้อมีคะแนนค่อนข้างมาก นักเรียนมัธยมทุกคนที่ต้องการทำคะแนนมากๆ จะทำผิดข้อใดข้อหนึ่งไม่ได้เลย

และตอนนี้ หลัวเฟิงก็มุ่งความสนใจไปที่ข้อสอบมากกว่าจนไม่ ทันสังเกตอัตราชีพจร

160….170….180

หลัวเฟิงรู้สึกได้ว่าชีพจรเต้นเร็วขึ้น แต่เขาคิดว่ามันคงเกิด เพราะความเครียด จึงไม่ได้หันไปสนใจ

“ตุบๆๆ” หลัวเฟิงรู้สึกเหมือนกับมีใครมาซัดหมัดเข้าไปที่หัวใจ ของเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว ทัศนวิสัยของเขาเริ่มมืดมัวลง และใน ที่สุดเขาก็รู้ตัว “เราเป็นอะไรไปเนี่ย? ทำไมเจ็บที่หัวใจอย่างนี้” หลัวเฟิงก้มลงดูอัตราการเต้นของชีพจรที่แสดงบนหน้าปัดนาฬิกา…

230!

ตัวเลขนี้เปลี่ยนสีหน้าของหลัวเฟิงไปในทันที ตั้งแต่ที่เขาเข้า ขั้นโคม่าตอนอายุ 12 แล้วซื้อนาฬิกาเรือนนี้มาใช้ เขาไม่เคยเห็น อัตราการเต้นของหัวใจเกิน 180 มาก่อนเลย

“รับไม่ไหวแล้ว” หลัวเฟิงรู้สึกเหมือนหัวใจของเขาจะพุ่งทะลุ ออกมาจากหน้าอก เลือดในกายวิ่งพล่านไปทั่วร่างขณะที่อัตรา การเต้นของหัวใจก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีพลังงานมหาศาลสุดจะ พรรณนาไหลเข้าสู่สมองของเขา และแล้วความเจ็บปวดแสนสาหัส ก็พุ่งทะลักทลายออกมาจากสมองของเขา…

“อ๊าก…อ๊าก….” หลัวเฟิงไม่อาจอดกลั้นไว้ได้อีกต่อไปแล้ว

“นักเรียน เป็นอะไรไป?” ผู้คุมสอบวิ่งตรงมายังหลัวเฟิงและ มองดูเขาอย่างตื่นตกใจ

หลัวเฟิงในตอนนี้ราวกับเลือดในกายจะทะลักออกมา เส้น เลือดทั้งตรงหน้าผากและตรงแขนของเขาปูดโปนเหมือนจะระเบิด ในทุกจังหวะการเต้นของหัวใจ ร่างกายของเขาตอนนี้ดูน่า สยดสยองเป็นอย่างยิ่ง

“ไม่…ไม่…ไม่เอา ช้าลง…ช้าลง!” หลัวเฟิงรู้สึกแย่มากกับสิ่งที่ตามมา และเขาต้องกรีดร้องอยู่ในหัวเมื่อมองดูที่นาฬิกาของเขา

“236. 242.. 251….!”

“ตุบๆๆๆ”

หัวใจของเขาเต้นราวกับกลองใหญ่ เสียงดังสะท้านสะเทือน เลือดในกายก็ยังวิ่งพล่านไม่ยอมหยุด

ในทัศนวิสัยที่มืดมัวนั้น หลัวเฟิงยังพอมองเห็นตัวเลข ‘268’ และแล้วความเจ็บปวดในหัวของเขาก็ทำให้เขาล้มพับลง ขณะที่ กำลังหมดสติ เขาก็ได้ยินเสียงแว่วๆ…

“นักเรียนๆ..ตื่นๆ..ตื่นสิ! เร็วเข้า เรียกรถพยาบาลเร็ว!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!