Skip to content

Swallowed Star 665

ตอนที่ 665 เหมือนกับเทพ

พื้นหญ้าตรงนั้นสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงในตอนที่อสูรเขาทองหล่นลง

มา เกล็ดของมันมีเลือดสีทองไหลออกมาด้วยและยังมีบางส่วนของ

เกล็ดที่ได้รับความเสียหายพร้อมกับที่เลือดสีทองได้ไหลออกมาจากตาและจมูกของมัน

ทันใดนั้นพลังงานโลกได้เข้าห่อหุ้มตัวของมันทันทีและเริ่มที่จะฟื้นฟู

อาการบาดเจ็บของมัน

ในโลกด้านนอกที่หุบเขาเทพอสูร

หลัวเฟิงนั้นกำลังนั่งขัดสมาธิเหมือนกับนักรบเป็นล้านๆ คน ตอนนั้นเองเขาก็ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด มือทั้งสองข้างของเขากำไปที่หินที่พื้นอย่างแรงจนบดขยี้มันเป็นฝุ่น

“ฝ่าบาท?”

“ฝ่าบาท หลัวเฟิงท่านเป็นไรหรือไม่?”

ดิลลัน และ ผู้อาวุโสชิฟานจี ที่ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ตกใจเมื่อเห็นว่า หลัวเฟิงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

หลัวเฟิงไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เขากำไปที่พื้นอย่างแรงพร้อมกับเส้นเลือดตรงหน้าผากผุดขึ้นมา

“ฟู่” เขาหายใจออกมาพร้อมกับเปิดตา เห็นได้ชัดว่าเขาเหนื่อยล้า เขามองไปที่ ดิลลัน และ ผู้อาวุโสชิฟานจี “ไม่มีอะไร ไม่ต้องกังวล”

ทั้งสองคนนั้นมองหน้ากัน

ไม่มีอะไร?

มันคงแปลกถ้าไม่มีอะไร เขาแค่นั่งอยู่ตรงนั้นภายใต้การปกป้องของผู้

อมตะสองคน แน่นอนว่าเขาต้องไม่โดนโจมตีแต่เขากลับร้องออกมา

ด้วยความเจ็บปวด มันแปลกเกินไป หลัวเฟิงนั้นเป็นนักรบจักรวาล เขาคงไม่เจ็บปวดแบบไม่มีเหตุผล มันเป็นไปไม่ได้

“ดูเหมือนว่า ฝ่าบาท จะมีความลับ” ดิลลัน คิด

“ฝ่าบาท หลัวเฟิง คงมีความลับที่ไม่อยากบอกกับเรา” ผู้อาวุโสชิฟานจีคิดเช่นกัน

หลัวเฟิงเงยหน้าขึ้นมามองไปยังรูปปั้นที่หลับใหลพร้อมกับตกใจ

“ทำไมกัน”

“ฉันแค่แกะสลักเกล็ดของรูปปั้นเทพอสูรตัวเล็ก แต่ฉันกลับโดนความ

กดดันนั้นโจมตี ไม่ใช่แค่ฉันเท่านั้นแต่อสูรเขาทองเองก็ยังโดนโจมตี

วิญญาณของมันด้วย แม้แต่วิญญาณมนุษย์ของฉันและโมชาน ก็ยัง

ได้รับผลกระทบไปด้วย มันเป็นไปได้ยังไง?” หลัวเฟิง ยากที่จะเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น

เขาแกะสลักรูปปั้นที่หลับใหลนั้นเสร็จแล้วแต่ทำไมถึงได้มีปัญหาใน

การแกะสลักตัวเล็กขึ้นมา!

และอสูรเขาทองก็อยู่โลกภายในของเขานั้นซึ่งเป็นอาณาเขตของมันเองด้วย ดังนั้นมันจึงไม่เคยโดนนักรบคนใดโจมตี ที่ยิ่งกว่านั้น ดิลลัน

และ ผู้อาวุโสชิฟานจี ก็ยังอยู่ข้างๆ เขา…

“ถ้าฉันไม่โดนนักรบคนอื่นโจม แล้วสิ่งใดกัน?”

“ถ้าฉันไม่ได้โดนโจมตี มันก็ไม่มีทางที่ฉันจะบาดเจ็บหนักเช่นนี้”

หลัวเฟิงคิ้วขมวดพร้อมกับขบคิด

“อสูรเขาทองในโลกภายในนั้นมันยังได้รับบาดเจ็บหนัก ความกดดัน

นั้นส่งผลทั้งร่างกายและวิญญาณของมันซึ่งมันน่ากลัวอย่างมาก”

หลัวเฟิงจำได้ความรู้สึกก่อนหน้านี้ได้และอดไม่ได้ที่จะตื่นกลัว มันเป็นความรู้สึกที่เขาไม่อาจต้านทานได้

“มีคำอธิบายแค่เพียงสองอย่าง!”

“อย่างแรกนั้นคือมันเกินกว่าจินตนาการของฉัน ฉันแกะสลักรูปปั้น

ตัวเล็กขึ้นมา ดังนั้นฉันจึงโดนลงโทษ” หลัวเฟิง คิด “อย่างที่สองคือถ้าไม่ใช่นักรบที่ทำการหยุด งั้นบางทีอาจจะเป็นกฎจักรวาลที่กดดันตัวฉันเอง”

จักรวาลนั้นกำลังทำการกดดัน หลัวเฟิง

ถูกต้อง

ตามที่เขาเข้าใจ จักรวาลนั้นมีกฎเกณฑ์ มันเหมือนกับมีรอยแยกอวกาศ และเป็นธรรมดาที่มันจะซ่อมแซมตัวเอง ในตอนที่คนเราเพิ่มความเร็วจนเทียบเท่าแสง มันจะเดินทางเข้าสู่หลุมดำ!

นั่นคือเรื่องกายภาพของกฎจักรวาลและถ้าการกระทำ ของเขาก่อนหน้านี้ได้ขัดกับกฎ มันคงได้รับการลงโทษ

ภายในจักรวาลแล้วทุกคนต้องทำตามกฎเหล่านั้น

“จักรวาลนั้นมีกฎพิเศษ สิ่งใดก็ตามที่ต่อต้านจะได้รับการลงโทษ”

หลัวเฟิง คิด “ฉันเคยเห็นสิ่งที่ต่อต้านมันมาก่อน เหมือนกับคู่มือไร้ชื่อที่อยู่บนโลก ชัดเจนแล้วว่ามันมีความสามารถที่จะต่อต้านกฎแห่งการ

ก่อตั้งได้”

สิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่นั้นสามารถสร้างทักษะที่ต่อต้านกฎจักรวาลได้

แต่ หลัวเฟิง…

ชัดเจนแล้วว่าการขัดกฎจักรวาลนั้น เขาเข้าใจมันเพียงแค่เศษ

เสี้ยว ดังนั้นเขาจึงหลบเลี่ยงการโดนลงโทษไม่ได้

“มีความเป็นไปได้อยู่สองอย่าง”

“ทางไหนคือทางที่ยากกว่ากัน?” หลัวเฟิง คิด “นักรบผู้แข็งแกร่งเป็นคนโจมตี? โอกาสแบบนั้นเกิดขึ้นต่ำมาก เพราะเขาต้องผ่าน ผู้อาวุโสชิฟานจี ให้ได้และต้องเจอกับอสูรเขาทองในโลภภายในของฉัน การจะทำแบบนั้นมันคงเหนือกว่าจินตนาการของฉัน และระดับของสิ่งมีชีวิตนั้น…มันจำเป็นจริงๆ เหรอที่เขาจะต้องมาสังเกตฉัน?”

แม้ว่า หลัวเฟิงจะมั่นใจในตัวเองแต่เขาไม่ได้เย่อหยิ่ง

เขาไม่ได้อยู่ในระดับที่ตัวตนที่สูงส่งแบบนั้นจะต้องมาสนใจ

“และฉันโดนโจมตีในตอนที่แกะสลักรูปปั้นของเทพอสูรตัวเล็กขึ้นมา” หลัวเฟิงคิด

เขาได้ข้อสรุปขึ้นมา

มีโอกาส 90% ที่กฎนั้นจะทำการลงโทษเขา!

“ฟู่!”

หลังจากที่ได้ข้อสรุปแล้ว เขาได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

จักรวาลนั้นกว้างใหญ่มีเป็นล้านๆ เผ่าพันธุ์ซึ่งเผ่าที่แข็งแกร่งเองก็มีนับไม่ถ้วนแต่กฎนั้นก็ยังคงยุติธรรมไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ แม้ว่าความจำ ที่สืบทอดมาของอสูรเขาทองนั้นจะบอกถึงเรื่องการมีอยู่ของกฎจักรวาลแต่ชัดเจนแล้วว่ากฎเหล่านั้น…มีไว้เพื่อรักษาการคงอยู่ของจักรวาลทั้งหมด

มันไม่ได้คร่าชีวิตใครทันที

อย่างน้อยในความจำที่เขาได้มานั้นก็ไม่เคยมีบอกว่ากฎจักรวาลได้ทำการฆ่าใคร

“การกระทำ ของฉันก่อนหน้านี้ขัดกับกฎงั้นรึ?” หลัวเฟิง เงยหน้าขึ้นไปมองรูปปั้นที่อยู่ตรงหน้า

ข้อพื้นฐานของกฎ มันหมายถึงสิ่งใดกันแน่?

มันหมายความว่าความลับของรูปปั้นเทพอสูรนั้นมีความลับสุดยอดที่ซึ่งเป็นการแทรกแซงกฎจักวาล

“ถ้าฉันสามารถเข้าใจความลับนี้ได้ มันก็จะเหมือนกับที่ ฉิงหลูเต๋า ได้

พูดเอาไว้ ฉันจะกลายเป็นตัวตนที่แข็งแกร่ง” หลัวเฟิง คิด “ไม่แปลก

ใจเลยว่าแม้ผ่านมาหลายปี แต่ไม่มีใครที่จะเข้าใจเทพอสูรที่หลับใหลนี้ได้ ยังไงซะรูปปั้นที่หลับไหลนี่…มันก็ไม่เหมือนกับสิ่งมีชีวิตเล็กๆ”

“ความลับสูงสุดของจักรวาล”

หลัวเฟิงเริ่มตื่นเต้นขึ้นมา

เพราะเขาได้รู้สึกว่า…เขานั้นจะเจอกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่!

รูปปั้นเทพอสูรนี้ อาจจะเป็นตัวชี้นำทางให้เขากลายเป็นตัวตนที่

แข็งแกร่งของจักรวาล!

แม้ว่ามีคนมั่นใจเหมือนกับ หลัวเฟิงแต่เขาก็รู้ว่ามันยากแค่ไหนที่จะไปถึงระดับนั้นได้ มนุษย์ เผ่าเขาทอง และเผ่าอื่นๆ นั้น ได้ใช้ชีวิตในจักรวาลนี้มานานแต่จำนวนของอัศวินอวกาศนั้นยังคงมีเพียงน้อยนิด

งั้นสิ่งมีชิวิตอย่าง ฉิงหลูเต๋า ที่สามารถนำพาทั้งเผ่าพันธุ์แล้วนั้น มันจะยากแค่ไหนที่จะเป็นแบบเขาได้

อย่างน้อยประวัติศาสตร์ของเผ่าเขาทองแล้วก็ไม่มีสักคน

“รูปปั้นเทพอสูรของฉัน ชัดเจนแล้วว่ามีค่ามากกว่าตัวใหญ่นี้” หลัวเฟิงคิด “ฉันไม่ได้มีปัญหาในการแกะสลักตัวใหญ่ขึ้นมาแต่ฉันกลับได้รับการลงโทษจากกฎจักรวาลเมื่อแกะสลักตัวเล็กขึ้นมา อีกอย่าง…รูปปั้นอันเล็กนั้นชัดแล้วว่ามีเสน่ห์ที่เป็นตัวของตัวเอง ซึ่งเหมือนกับเทพอสูรมากกว่าและฉันได้รูปปั้นนี้มาจากที่ที่เคยมันอาศัยอยู่ รูปปั้นตัวใหญ่นี่นั้นอาจถูกตัวตนที่แข็งแกร่งนั้นแกะสลักขึ้นมาก็เป็นได้”

หลังจากตระหนักได้ว่ารูปปั้นนั้นแสดงความหมายอะไร หลัวเฟิงก็รู้อย่างชัดเจนว่าเขาต้องคว้าโอกาสนี้ไว้!

“รูปปั้นเทพอสูรนี้เป็นรูปปั้นระดับต่ำ”

“รูปปั้นตัวเล็กนั้นน่าจะเป็นของระดับสูง” หลัวเฟิงเดาในใจ “การ

แกะสลักตัวใหญ่นั้นง่ายดายและแม้ว่ามันจะมีออร่าที่แข็งแกร่งแต่ไม่ได้มีเสน่ห์แต่อย่างใด”

“งั้น!”

“ฉันจะลองใช้เวลาสักพัก ในการศึกษาเส้นเลือดในเกล็ดของมัน ใน

ตอนที่ฉันแข็งแกร่งพอ ฉันจะศึกษารูปปั้นตัวเล็ก” หลัวเฟิงคิด “รูปปั้น

ตัวเล็กนั้นถูกทิ้งไว้โดยตัวตนที่ยิ่งใหญ่ เป็นธรรมดาที่ใครที่สามารถ

สลักมันขึ้นมาได้และทิ้งมันไว้ คงมีทางเป็นไปได้ที่จะทนต่อกฎของ

จักรวาล”

หลัวเฟิงรู้ว่าเขาเป็นเพียงแค่มนุษย์ แต่มนุษย์นั้นคือเผ่าพันธุ์สูงสุดของเผ่านับล้านๆ ในจักรวาล

เทียบกับกฎจักรวาลแล้วเขานั้นยังคงเป็นตัวตนอันเล็กน้อย

“เริ่มกันเลย”

เขามองไปยังรูปปั้นที่อยู่ตรงหน้าแล้วปลดปล่อยพลังวิญญาณออกมาให้เข้าไปรู้สึกถึงเส้นเลือดในเกล็ดของมัน แม้ว่าเขาจะแกะสลักมันได้

สำเร็จ แต่มันไม่ได้มีออร่าเลยสักนิด หลัวเฟิง ต้องรู้ให้ได้ว่าทำไม

“หืม?”

“ระลอกงั้นรึ?”

ในตอนที่เขาใช้พลังวิญญาณตรวจดูเส้นเลือดอย่างละเอียด เขาก็รู้สึกได้ถึงเส้นเลือดแต่ละเส้น

หลัวเฟิงรู้สึกได้ถึงกฎของจักรวาลในเส้นเลือดเหล่านั้น มันไม่ใช่ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน ลม สายฟ้า แสง เวลา หรืออวกาศ แต่เป็นคลื่นที่ทำให้คนสั่นกลัว

ความกดดันอันไม่มีรูปร่างได้สร้างระลอกนี้ขึ้นมา

“งั้นนี่แหละคือจุดที่น่าสงสัย!”

“เส้นเลือดนี้สร้างระลอกขึ้นมาได้ยังไง หืม เส้นเลือดพวกนี้ดูเหมือน

จะไปต่อ…” หลัวเฟิงเริ่มเห็นบางอย่าง

จริงๆ แล้วสิ่งที่เขาเพิ่งเห็นนั้นมีนักรบของเผ่าเขาทองและมนุษย์ได้เห็นมานานแล้ว

ไม่อย่างนั้นแล้วคงไม่มีใครมารวมตัวกันเพื่อศึกษามันแน่

ภายในโลกภายในของเขา

ในตอนที่ร่างในโลกจริงทำการวิเคราะห์รูปปั้นตัวใหญ่อยู่ ในทุ่งหญ้าที่

อยู่ภายใน อสูรเขาทองได้แกะสลักเทพอสูรที่หลับใหลขึ้นมาอีกครั้ง

“ก่อนหน้านี้ ฉันคิดผิดไป”

“การแกะสลักนั้นควรจะเสร็จในการลงมือครั้งเดียวอย่างต่อเนื่อง เกล็ดกว่า 9 หมื่นนั้นน่าจะสลักออกมาในการสะบัดครั้งเดียวก่อตัวเป็นพลังกฎต้นกำเนิด ที่ปล่อยพลังงานของทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน ลม สายฟ้า แสง อวกาศ และเวลา” โมชาน หลัวเฟิงมองไปยังอสูรเขาทองที่ซึ่งกำลังแกะสลักรูปปั้นขึ้นมา

ร่างในโลกนั้นกำลังศึกษาร่างเทพอสูรที่หลับใหล บางครั้ง โมชาน หลัวเฟิงก็ศึกษารูปปั้นอสูรตัวเล็กและรู้สึกได้ถึงเสน่ห์ของมันแล้วปล่อยให้อีกสองร่างนั้นรู้สึกได้ถึงการคงอยู่ของมันด้วย

การศึกษามันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้เขารู้สึกมันซ้ำเรื่อยๆ

นี่คือวิธีเก่าที่ใช้ในการศึกษากฎการกำเนิดซึ่งจะแสดงให้เห็นถึงทักษะ

ของนักรบที่แข็งแกร่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตามวิธีที่เขาปลดปล่อยมัน

ออกมา เมื่อผ่านไปหนึ่งครั้ง…หมื่นครั้ง…ล้านๆ ครั้ง…เป็นธรรมดาที่เมื่อเวลาผ่านไปคนๆ นั้นจะรู้สึกได้ถึงระลอกของพลังกฎ

นี่วิธีโง่ๆ

การไม่ศึกษาความน่าแปลกใจของกฎไม่ใช่วิธีเดียวที่จะปลดปล่อยมัน

ออกมา วิธีนี้คือวิธีที่คนจะไม่มีทางใจได้ถึงกฎเลย

แต่ หลัวเฟิง เข้าใจความลับของรูปปั้นนี้ว่าบางทีอาจจะเข้าใจยากยิ่งกว่ากฎของเวลา หรืออวกาศ บางทีอาจจะยากยิ่งกว่าการเป็นอัศวินอวกาศเลยด้วยซ้ำ

เพื่อเข้าใจความลับนี้มีแต่ต้องเดินหน้าต่อ

เมื่อมันเป็นแบบนั้นเขาก็จะใช้วิธีโง่ๆ 1 ครั้ง…หมื่นครั้ง…ล้านๆ ครั้งๆ ซ้ำไปเรื่อยๆ

“การแสดงทักษะนั้นไม่ได้ผลกับคนอื่น เพราะรูปปั้นที่หลับใหลนี้

ไม่ได้มีภาพหรือเสน่ห์ของเทพอสูรจริงๆ” หลัวเฟิงมองไปยังอสูรเขาทองที่ทำการแกะสลักอยู่ “แต่ฉันนั้นมีสิ่งที่ไว้ใช้เปรียบเทียบ”

โมชาน หลัวเฟิงมองลงไปยังรูปปั้นเล็กๆ ในมือ

มันง่ายดาย

ในตอนที่แกะสลักนั้นเขาจะปล่อยให้ความรู้สึกของรูปปั้นตัวเล็กนั้นแผ่ออกมาให้ตัวตนข้างในได้รู้สึกและปล่อยให้อสูรเขาทองลงมือแกะสลัก

นี่จะทำให้มันสร้างการคงอยู่ของรูปปั้นขึ้นมาได้

แม้ว่าจะมีทางนี้ทางเดียวที่จะทำมันสำเร็จ แต่นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไม

หลัวเฟิง เชื่อว่าการใช้วิธีโง่ๆ ในการศึกษารูปปั้นนี้นั้น คือวิธีที่มี

ประสิทธิภาพมากที่สุดที่จะช่วยให้เขาพัฒนาระดับความแข็งแกร่งของตัวเอง

“ผมไม่ห่างจากเป้าหมาย เพื่อทำความเข้าใจ เกี่ยวกับความน่าสงสัยของมัน แม้ว่าผมจะเข้าใจแค่เพียงเล็กน้อย แต่นั่นก็พอใจแล้ว ในตอนที่ผมแข็งแกร่งพอ ผมจะทำการศึกษาอีก” หลัวเฟิง คิดแบบนั้นเพราะเขารู้ว่าตัวเองนั้นฉลาดสุดๆ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!