Skip to content

Swallowed Star 8

ตอนที่ 8 สองนักสู้

“557 คะแนน? เส้นแบ่งระดับชั้นคือ 561 คะแนน?” หลัวเฟิง สูดหายใจลึก

แค่ 4 คะแนน! เพราะว่าเหลือแค่ 4 คะแนนนี้เท่านั้น ตนถึง พลาดโอกาสที่จะเข้าเรียนโรงเรียนเตรียมทหาร

ไม่อยากเชื่อเลยว่า 12 ปีแห่งการเล่าเรียนจะต้องมาเจอแบบนี้

“ถ้าเราสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไม่ใช่ เรื่องใหญ่นักหรอก” หลัวเฟิงจ้องเขม็งไปด้านหน้า แบฝ่ามือแบน ราบราวกับใบมีดโกน แล้วเขาก็ฟันฉับไปในอากาศด้านหน้า ด้วยความเร็วของฝ่ามือ อากาศข้างหน้าเขาเกิดแรงเสียดสีอย่างรุนแรง และเกิดแรงสั่นสะเทือน “ขอบคุณอาการโคม่า ทำให้พลังของเรา เพิ่มขึ้นมหาศาลเลยทีเดียว!

บางทีสมรรถภาพร่างกายของเราอาจบรรลุถึงระดับขั้นนักสู้แล้ว และไม่แน่เราอาจจะผ่านการทดสอบเตรียมนักสู้ได้แล้วด้วย

ถึงจะบกพร่องไปหน่อยแต่ก็ไม่ได้มากนัก ถ้าเราทุ่มเทฝึกฝน อย่างหนักซักเดือนหรือสองเดือน เราก็น่าจะผ่านการทดสอบเตรียมนักสู้ได้”

ความสามารถในการปรับตัวของหลัวเฟิงยอดเยี่ยมอยู่แล้ว คะแนนสอบของเขาไม่ถึงเส้นแบ่งระดับชั้น ทำให้เขาช็อคอยู่ไม่น้อย แต่อย่างไรก็ตาม อาการ ‘โคม่า’ ก็ได้เพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่เขา ทำให้เขากลับมามั่นใจอีกครั้ง

นอกจากนี้ ตำแหน่งบัณฑิตจากโรงเรียนเตรียมทหารก็ยัง ห่างไกลคำว่านักสู้นักก

“แอ๊ด..” หลัวเฟิงเปิดประตูและออกไปยังห้องนั่งเล่น

ในห้องนั่งเล่น หลัวหงกั๋ว กงซินหลาน และหลัวฮว๋าหันมามอง กันเป็นตาเดียว ทั้งสามคนต่างก็เป็นห่วงเขา กงซินหลานลุกขึ้น แล้วก็เดินมาหาหลัวเฟิง “เสี่ยวเฟิง เราไม่โทษลูกเรื่องผลคะแนนหรอกนะ หากจะโทษก็คงต้องโทษโรคภัยไข้เจ็บ โรคมันก็ดันมากำเริบเอาตอนนี้ ทั้งที่มันก็ไม่มีอาการมาหลายปีแล้ว”

“พี่ครับ พี่คงไม่ได้เจ็บใจใช่มั้ย?” หลัวฮว๋าที่นั่งอยู่บนวิลแชร์จง ใจหยอกล้อ

ตอนที่หลัวเฟิงกำลังตรวจผลคะแนนอยู่ภายในห้อง ทุกคนที่ เหลือก็มารวมตัวดูผลคะแนนของหลัวเฟิงในแล็ปท็อปของหลัวฮว๋าข้างนอกและรู้เรื่องผลต่างเพียงแค่ 4 คะแนนนั่นแล้ว แม้ว่า พวกเขาจะรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็เป็นห่วงเรื่องของหลัวเฟิงมากกว่า

หลัวเฟิงหัวเราะ “แน่นอน พี่ไม่เจ็บใจหรอก พ่อครับแม่ครับไม่ ต้องโทษโรคภัยหรอกครับ อันที่จริงเราควรจะขอบคุณมันต่างหาก ล่ะครับ?”

“ขอบคุณ?”

“ขอบคุณ?”

“ขอบคุณ?”

หลัวหงกั๋ว กงซินหลาน และหลัวฮว๋าต่างก็ตกใจไปตามๆ กัน การสอบในระดับชั้นมัธยมเป็นหนึ่งในช่วงเวลาสำคัญที่สุดของชีวิตเลยทีเดียว แต่บัดนี้ผลสอบของหลัวเฟิงต้องมลายไปเพราะโรคปัจจุบันทันด่วน แล้วยังจะให้ไปยินดีกับเรื่องนี้ได้อย่างไรกัน?

“พ่อครับแม่ครับ” หลัวเฟิงยิ้มนิดนึง “ตอนที่ผมยังเด็ก ผมเคย เข้าอาการโคม่าและหมดสติไปอยู่สองครั้ง ที่จริงหลังจากที่ผมฟื้น ขึ้นมาจากอาการโคม่านั้น ผมรู้สึกเหมือนกับว่าพละกำลังของผม เพิ่มมากขึ้นอย่างมหาศาลและความเร็วในการวิ่งยังเพิ่มขึ้นมากอีกด้วย และตอนนี้….มันก็เป็นแบบนั้น! ผมรู้สึกเหมือนสมรรถภาพ ร่างกายของผมเพิ่มขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มาก และผมก็คาดว่าน่าจะผ่านการทดสอบเตรียมนักสู้ได้”

“อะไรนะ?” หลัวหงกั๋ว กงซินหลานและหลัวฮว๋าต่างมองหน้า กันไปมา

“พี่ครับ พูดจริงเหรอเนี่ย?” หลัวฮว๋าระงับอาการไว้ไม่อยู่

“แน่นอนที่สุด” หลัวเฟิงยิ้มเล็กน้อย “หลังจากที่พี่ผ่านการ ทดสอบเตรียมนักสู้แล้ว พี่ก็สามารถขอเข้าการทดสอบต่อสู้จริง ของนักสู้ได้ และพี่ก็ค่อนข้างมั่นใจความสามารถด้านการต่อสู้ของพี่ซะด้วย บางทีพี่อาจจะสำเร็จถึงขั้นนักสู้ได้ภายในปีนี้เลยด้วยซ้ำ!”

หลัวหงกั๋ว กงซินหลาน และหลัวฮว๋าต่างก็ตะลึงพรึงเพริดไป กับข้อมูลนี้

นักสู้!

มันหมายถึงอะไรน่ะเหรอ? มันหมายถึงกลุ่มคนผู้ทรงพลังที่สุด ในหมู่มวลมนุษย์ชาติ มันหมายถึงสิทธิพิเศษและสิทธิประโยชน์ต่างๆ มันหมายถึงเงินจำนวนมหาศาล! มันหมายถึงลำดับชั้นบนสุดของสังคม! และหลังจากที่กลายเป็นนักสู้แล้ว จะนำพาสิทธิ ประโยชน์มากมายมาสู่ครอบครัว ซึ่งมันยอดเยี่ยมกว่าการเป็น นักเรียนชั้นหัวกะทิในโรงเรียนเตรียมทหารเป็นไหนๆ

“กำลังจะมีนักสู้จากครอบครัวเราเหรอเนี่ย?” หลัวฮว๋าอด ตะโกนออกมาไม่ได้ “ฮ่าๆ พี่ครับ ผมนับถือพี่เลย!”

“เสี่ยวเฟิง ยอดเยี่ยม!” หลัวหงกั๋วตบที่ไหล่ของหลัวเฟิงอย่างตื่นเต้น “การได้เป็นนักสู้มันสุดยอด เปรียบเทียบกับนักสู้ บัณฑิต โรงเรียนเตรียมทหารยังจะนับเป็นอะไรล่ะ?”

ณ ปัจจุปันนี้ นักสู้ทั้งหมดบนโลกนี้ต่างถูกยกย่องสรรเสริญ จากสังคม

เมื่อเห็นว่าพ่อกับแม่และน้องชายของเขาดีใจมากแค่ไหน หลัวเฟิงก็หัวเราะร่า “พ่อครับแม่ครับ เราจะยังดีใจมากไม่ได้หรอก ตราบใดที่ผมยังไม่ผ่านการทดสอบ”

“นักสู้อายุ 18 ปีงั้นเหรอ?” หลัวฮว๋าร้องออกมาอย่างตื่นเต้น เพราะกลั้นไว้ไม่อยู่ “ถ้าพี่ชายของผมได้เป็นนักสู้ตั้งแต่อายุ 18 ปี ล่ะก็ มันจะ มันจะ โคตร…เจ๋งเลย!!!”

…………….

ในวันรุ่งขึ้น เวลาตีห้า ท้องฟ้าเริ่มสว่าง

หลัวเฟิงออกจากบ้านและมุ่งหน้าไปยังสำนักขีดสุด

“แทบจะไม่มีคนเลยแฮะเวลานี้” หลัวเฟิงเข้าไปในสำนักและ พบว่าทั้งสนามหญ้าและบนถนนมีคนอยู่แค่เกือบร้อยคนเท่านั้น จากจำนวนทั้งหมด 3-4 หมื่นคน “เหล่าครูฝึกจะสอนแค่ช่วงเวลากลางคืน ช่วงกลางคืนถึงจะมีคนมากที่สุด”

หลัวเฟิงมุ่งหน้าไปยังตึกของสมาชิกระดับหัวกะทิ

“ฮึ่มมมม” มีเสียงเครื่องยนต์คำรามต่ำลอยมา

“หือ?”

หลัวเฟิงหันไปมองอย่างไม่ทันตั้งตัวและก็เห็นรถแข่งสีขาวคัน งามคันหนึ่ง ค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาในสำนักฝึก หลัวเฟิงมองอย่างพิจารณา เขาสูดหายใจเข้าลึกอย่างตื่นเต้น “รกแข่งแอสตันมาร์ติน? รุ่นใหม่ล่าสุดและก็แพงสุดๆ มิหนำซ้ำมันบินได้อีกต่างหาก

THR-191?”

น้องชายของเขาคลั่งไคล้รถรุ่นนี้สุดๆ ตอนอยู่ที่บ้าน เขาเคย ได้ยินหลัวฮว๋ายกย่องชื่นชมเจ้า THR-191 นี้มาแล้ว

“นั่นแอสตันมาร์ติน”

“รุ่น 191 แหละ และรุ่นนี้มันบินได้” ภายในสำนักฝึก นักเรียนที่ พากันกระจัดกระจายอยู่รอบบริเวณต่างให้ความสนใจ “รถคันนี้ ราคา 36 ล้านหยวนเลยนะ”

และตอนนี้ เจ้ารถแข่งคันนั้นก็ไปจอดอยู่ที่หน้าประตูทางเข้า ตึกของสมาชิกระดับหัวกะทิ เมื่อประตูรถเปิดออก ก็เห็นผู้ชายผม สั้นย้อมสีแดงสวมชุดฝึกของทางสำนักแบบหลวมๆ เดินออกมา สายตาของเขากวาดมองไปรอบๆ เขามองผ่านนักเรียนทั่วๆ ไปแล้ว หยุดมองที่หลัวเฟิงเล็กน้อยโดยไม่ปริปากคำใด แล้วก็เดินหายเข้า ไปในตึกนั้น

“นั่นคือนักสู้” หลัวเฟิงตาเป็นประกาย

หลัวเฟิงสามารถรู้สึกถึงแรงกดดันจากสายตาของนักสู้คนนั้น มันเป็นแววตาที่มีความปรารถนาอันแรงกล้าและประสบการณ์การ ต่อสู้เสี่ยงตายอันโชกโชน

“เราอยู่ที่สำนักก็ไม่เคยเห็นนักสู้คนนี้มาก่อนเลย เขามาทำ อะไรที่สำนักกัน?” หลัวเฟิงเองก็เข้าไปที่โรงฝึกชั้นสามตึกของสมาชิกระดับหัวกะทิ

โรงฝึกของสำนักใหญ่กว้างขวาง ดูว่างเปล่า ไม่มีใครซักคนเดียว

ตอนนี้ตีห้ากว่าแล้ว ถึงจะเป็นตอนกลางคืนที่มีคนมากที่สุด ปกติก็จะมีคนไม่เกิน 20 คนเท่านั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนเช้าตรู่เลย

“เราอยากจะดูสักหน่อยว่าพละกำลังของเราเพิ่มมากขึ้นแค่ไหน” หลัวเฟิงเดินเข้าไปแล้วเสียบปลั๊กเครื่องทดสอบพลังหมัด หลังจากเปิดเครื่องนี้แล้ว เขาก็ไปเปิดเครื่องทดสอบความเร็วซึ่ง ตั้งอยู่อีกฟากหนึ่งด้วย

ตอนนี้เขายืนอยู่ตรงหน้าเครื่องทดสอบพลังหมัด

“เริ่มล่ะนะ!”

หลัวเฟิงสูดหายใจลึก เขาใช้เอวเป็นศูนย์กลางในการปล่อยพลัง ซึ่งจะวิ่งผ่านร่างของเขาเหมือนงูเหลือมยักษ์พุ่งผ่านแล้วสร้าง แรงระเบิดไปที่แขนของเขา กำปั้นของเขาเปรียบเสมืยนสายฟ้าฟาด และหันใดนั้น “ปัง” เกิดเสียงดังสนั่นที่เครื่องทดสอบ

“ตี๊ดๆๆ” เสียงเครื่องวัดพลังหมัดดังติดต่อกันสามครั้ง

หลัวเฟิงตาเป็นประกาย โดยปกติทั่วไปเครื่องทดสอบจะไม่ส่ง เสียงดังแบบนี้ จะมีก็แค่ตอนที่….พลังหมัดทะลุ 1000 กิโลกรัม

“หือ?” หลัวเฟิงจ้องที่หน้าจอเครื่องทดสอบเขม็ง….1089 กิโลกรัม

“สูงขนาดนี้เลยเหรอ?”

หลัวเฟิงปลื้มสุดๆ สมรรถภาพร่างกายของนักสู้พลังหมัดต้องถึง 900 กิโลกรัม พลังหมัดของเขาก่อนหน้านี้คือ 809 กิโลกรัม และตอนนี้มันพุ่งขึ้นไปถึง 1089 กิโลกรัม เพิ่มขึ้นกะทันหัน 280 กิโลกรัมเลยทีเดียว เกินกว่าคำว่าผ่านเสียอีก

“ฮ่าๆ”

หลัวเฟิงชกหมัดรัวๆ เหมือนสายฟ้าอย่างตื่นเต้น ร่างกายของ เขาโยกไปซ้ายทีขวาที เสียง “ปังๆๆ” ดังอย่างต่อเนื่อง เพียงแค่ พริบตาเดียวหลัวเฟิงก็ชกออกไปได้ราว 20 ครั้งเลยทีเดียว และ เครื่องวัดก็แสดงผลเรียงกันมาเรื่อยๆ…. ‘956 กิโลกรัม 989 กิโลกรัม 923 กิโลกรัม 965กิโลกรัม…’

“เอาล่ะเดี๋ยวทดสอบความเร็วเลยดีกว่า”หลัวเฟิงตรงไปยังลู่วิ่ง “ถ้าความเร็วของเราผ่านเกณฑ์ บวกกับความเร็วปฏิกิริยาโต้ตอบของเรา ที่ถึงมาตรฐานไปแล้ว งั้นเราน่าจะผ่านการทดสอบเตรียมนักสู้ได้แน่นอน!”

หลัวเฟิงควบคุมลมหายใจเข้าออก

“วูบ…”

ร่างกายของเขาราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่ที่กำลังพุ่งผ่านลู่วิ่ง

……………

บนชั้น 4 ในตึกของสมาชิกระดับหัวกะทิ ชายผมแดงกำลัง เดินคุยอยู่กับชายเสื้อดำวัยกลางคนศีรษะล้าน

“เหยียนหลัว นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้เจอกัน” ชายวัย กลางคนยิ้มเล็กน้อย “น่าจะเกือบสามปีได้แล้วมั้งเนี่ย จากเจ้าเด็ก ใหม่ในตอนนั้นกลายเป็นคนดังในวันนี้ ฉันได้ยินว่าตอนนี้เธอมี รายได้เกือบร้อยล้านแล้วนี่ โฮ่ๆ พอฉันมองเห็นเธอ ฉันรู้สึกเหมือน คนเป็นแก่ไปเลยล่ะ”

“แค่โชคดีน่ะครับพี่” ชายผมแดงหัวเราะร่า “พี่เจียงครับแล้ว…”

“ตี๊ดๆๆ”

เสียงแว่วดังมาจากชั้นล่าง สร้างความตกใจให้สองคนนั้นในทันที

“เครื่องทดสอบพลังหมัดที่ชั้นล่างเป็นของพวกเด็กใหม่นี่ มี การทะลุถึงขั้น 1000 กิโลกรัมแน่ๆถึงเกิดเสียงดังแบบนี้ได้” ชาย ศีรษะล้านวัยกลางคนเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ “ใครมาทดสอบ ตอนตีห้าแล้วชกได้เกิน 1000 กิโลกรัมแบบนี้ หรือว่าจะเป็นหยางอู่คนนั้น?”

“ไม่ลงไปดูคงไม่รู้หรอกจริงมั้ย?”

“ฟุ้บ!.. ฟุ้บ!..”

คนหนึ่งเสื้อดำและคนหนึ่งเสื้อขาว ทั้งสองคนราวกับภูตผีที่ โฉบลงจากบันได ภายในชั่วพริบตาเดียวพวกเขาก็ลงมาจากชั้นสี่แล้วมาปรากฎตัวที่ทางเข้าโรงฝึกชั้นที่สามอย่างรวดเร็ว

ชายศีรษะล้านวัยกลางคนสวมเสื้อสีดำและชายผมแดงสวมเสื้อสีขาวพากันมองเข้าไปยังโรงฝึก ในตอนนั้นเอง หลัวเฟิงก็กำลังยืน อยู่ตรงหน้าลู่วิ่งที่เพิ่งจะวิ่งเสร็จไป

“28.1 เมตรต่อวินาที” ชายศีรษะล้านวัยกลางคนและชายผม แดงต่างก็มองเห็นตัวเลขที่ปรากฏบนเครื่องทดสอบความเร็ว

“หลัวเฟิงคนนี้มีพลังหมัดเกิน 1000 กิโลกรัมและมีความเร็วถึง 28.1 เมตรต่อวินาทีแล้วเหรอเนี่ย” ชายวัยกลางคนตกใจขีดสุด

“พี่เจียง เจ้าหมอนี่ดูยังเด็กอยู่เลย แต่ดูเขามีสมรรถภาพ ร่างกายเข้าขั้นนักสู้แล้วนะครับเนี่ย” ชายผมแดงกล่าวอย่างประหลาดใจ ชายวัยกลางคนพยักหน้าหงึกๆ “ใช่…เขาชื่อหลัวเฟิง เขาคือหนึ่งในนักเรียนที่มีพรสวรรค์มากในสำนักฝึกของเรา เขาเพิ่งจะอายุครบ 18 ปีไปเมื่อเร็วๆ นี้เอง!”

“18 ปี? เด็กมาก!” ชายผมแดงตาเป็นประกาย

“มานี่หน่อยซิ” อาจารย์เจียงเหนียนหัวเราะร่า “อาจารย์ไม่ อยากจะเชื่อเลยว่าเธอจะไวขนาดนี้ เธอบรรลุถึงขั้นของนักสู้แล้ว อาจารย์ขอแนะนำให้เธอรู้จัก นี่คือรุ่นพี่ของเธอ เหยียนหลัว เห ยียนหลัวไม่ขัดข้องใช่มั้ยที่บอกชื่อเธอ?”

“ไม่หรอกครับ” เหยียนหลัวมองดูหลัวเฟิงแล้วพยักหน้าให้ “เด็กหนุ่มคนนี้มีสมรรถภาพร่างกายเข้าขั้นนักสู้แล้วทั้งที่อายุยังน้อย บางที ในอนาคต เราอาจได้ร่วมงานกันก็ได้”

เจียงเหนียนมองดูหลัวเฟิงแล้วหัวเราะชอบใจ “หลัวเฟิง เธออายุ 18 ปี คงต้องสอบในระดับมัธยมสินะ ไม่ต้องสนแล้วว่าผลสอบจะเป็นยังไง ไปโรงเรียนแล้วมีประโยชน์อะไร? ตอนนี้เธอแค่มุ่งมั่นกับการทดสอบ ‘เตรียมนักสู้’ ก็พอ โอ้ใช่แล้ว วันที่ 1 กรกฎาคม ให้ไปสำนักขีดสุดแห่งเมืองหยางโจวเพื่อทดสอบเตรียมนักสู้ซะนะ ด้วยของแข็งแกร่งของเธอตอนนี้ เธอน่าจะผ่านการทดสอบได้ อย่างไม่ยากเลย”

“การสอบระดับมัธยมเหรอ?” เหยียนหลัวหัวเราะ “อย่า เสียเวลากับมหาวิทยาลัยอยู่เลย นายมีพรสวรรค์ที่ดีเยี่ยม ไม่ใช่ เรื่องยากเลยสำหรับนาย นายแค่ต้องทุ่มเทกับมันเท่านั้น ตอนนี้ นายต้องมุ่งมั่นทุ่มเทให้กับศิลปะการต่อสู้ไอ้น้อง ถ้านายเป็นนักสู้แล้ว มาเข้าร่วมกับสำนักของเรานะ นายจะมีอนาคตที่ดีเลยล่ะ”

นักสู้ทั้งสองท่านนี้ดำรงตำแหน่งสูงมาก เศรษฐีกับนักการเมืองในสังคมเทียบกับพวกเขาไม่ได้เลย

และพวกเขากำลังรอคอยเจ้าหนุ่มหลัวเฟิงที่อายุน้อยขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกับพวกเขา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!