ตอนที่ 310 โถงทางเดินลึกลับ
พวกเขาบุกเข้าไปในห้อง แต่ผู้เฒ่าในภาพวาดไม่หยุดแค่นั้น ผู้เฒ่ามุดเข้าไปห้องอื่นอีก และฉินมู่รีบตามเขาไปอย่างรวดเร็ว ที่ นั่นเขาไปประจันหน้ากับอีกคนหนึ่ง และทั้งคู่แทบจะชนกันพลางเบี่ยงหลบอย่างรีบร้อน
ในพริบตาที่สองร่างพบกัน ทั้งคู่ต่างตื่นตระหนก “จ้าวลัทธิมารฟ้า!” “ทหารจักรวรรดิคนเถื่อนตี้!”
ปฏิกิริยาของฉินมู่รวดเร็วกว่า ในเสี้ยววินาทีที่พวกเขาเจอกัน ฝ่ามือของเขายกขึ้นมา เสียงกัมปนาทดังออกมาจากในนั้น ด้วย เสียงสายฟ้าฟาด มุทราของเขาก็ฟาดเข้าไปที่หลังหัวใจของอีกฝ่าย
พายุสายฟ้าเก้ามังกร! ฝ่ามือของเขาฟาดที่หลังตรงตําแหน่งหัวใจ ส่งพละกําลังเข้า
ไป ถึงตอนนั้นคนผู้นั้นจึงค่อยตอบสนอง เมื่อไจมีดโบยบินขึ้นไป
บนอากาศ พลานุภาพในกระบวนท่าของฉินมู่ก็ระเบิดปะทุออก พลังรูปร่างมังกรถล่มคนผู้นั้น คลื่นระลอกแรกทําลายปราณชีวิตที่
เขาใช้ปกป้องร่างกาย ระลอกที่สองทําลายโครงสร้างกล้ามเนื้อที่ หลังหัวใจ ระลอกที่สามบดขยี้กระดูก ระลอกที่สี่บดขยี้หัวใจ ระลอก
ที่ห้าแทงทะลุหน้าอก แปรเปลี่ยนเป็นมังกรโลหิตที่พวยพุ่งออกมา จากร่างกายของเขา!
ไจมีดของทหารจักรวรรดิคนเถื่อนตี้ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า และ มีดโค้งเล่มเล็กละเอียดก็แยกตัวออกมาส่งเสียงหึ่ง ในจังหวะนั้น ฉินมู่ยกกระบี่ไร้กังวลขึ้น และมันก็เฉือนตัดไจมีดออกเป็นครึ่งซีก
พวกมันแตกทําลายลงไปทันทีและกลายเป็นมีดแตกพังมากมายที่ร่วงกราวลงกับพื้น ปราณชีวิตของทหารจักรวรรดิคน เถื่อนตี้กระจัดกระจาย และเขาก็ร่วงลงกับพื้น ตายสนิท
ผานกงสั่วเข้ามาช้าไปหนึ่งก้าว ไม่อาจช่วยชีวิตทหารคนนั้น ได้ เมื่อเขาเข้ามาใกล้ ฉินมู่ก็สังหารอีกฝ่ายไปแล้ว ผานกงสั่วเดือด ดาลและตะโกนไปด้วยเสียงเครียดเขม็ง “จ้าวลัทธิฉิน นั่นมันคน ของข้า!”
กระบี่ไร้กังวลของฉินมู่กลับเข้าสู่ฝัก และเขาก็ส่ายหน้า “ปฏิกิริยาแรกของคนของเจ้าคือจะสังหารข้า ดังนั้นข้าได้แต่ ป้องกันตนเอง หากว่าข้าไม่ลงมือก่อน ข้าคงเป็นฝ่ายที่ร่วงเป็นศพ ตรงนี้แทน หากปรมาจารย์ไม่ชอบใจ ทําไมเจ้าไม่มาเดินข้างหน้า เองล่ะ เมื่อคนของเจ้ามาพบเจอ พวกเขาจะได้ไม่ลงมือ”
ผานกงสั่วลังเล หากว่าเขาเดินนําหน้าฉินมู่ ก็จะเป็นการ เปิดเผยด้านหลังให้ เมื่อดูที่เด็กเวรนี่สังหารทหารจักรวรรดิคน เถื่อนตี้อย่างรวบรัดว่องไว เขาพนันได้เลยว่าฉินมู่คงรวบรัดว่องไว
ยิ่งกว่านี้อีกหากมีโอกาสสังหารเขา เขาไม่กล้าหันหลังให้กับฉินมู่
ยิ่งไปกว่านั้น ฉินมู่ยังพูดถึงแค่สถานการณ์เดียว หากคน ถัดไปที่พบเจอมิใช่คนของผานกงสั่ว แต่เป็นค้างคาวขาวทั้ง 2 หรือกิเลนมังกรล่ะ ผานกงสั่วนึกภาพออกเลยทันทีว่าเขาจะมีจุดจบ อย่างไรหากว่าถูกขวางหน้าขวางหลังไว้โดยสองกลุ่มศัตรู
ยิ่งกว่านั้น สถานที่นี้ยังน่าหวาดสยองเกินกว่าที่จะวิ่งเพ่นพ่าน ไปโดยไร้จุดหมาย ฉินมู่บุกเข้าไปในห้องต่างๆ อย่างสุ่มๆ เห็นได้ชัด ว่าเขายังไม่ได้ไขเวทมนตร์ซ้อนทับบนเรือนี้ หากว่าผานกงสั่ววิ่งตามฉินมู่ผ่านห้องต่างๆ ไปอย่างไม่ระมัดระวัง เขาก็คงจะสูญเสีย ทิศทางและจําเป็นต้องคิดคํานวณโครงสร้างของห้องหับต่างๆ บน เรือนี้ใหม่อีกรอบ
ข้าปลอ่ยให้ไอ้เด็กนี่นำทางไม่ได้หรอก ผานกงสั่วคิดพลาง เปิดประตูบานหนึ่ง “มานี่!”
เสียงของประตูที่ถูกเปิดดังมาจากข้างหลังเขา และเขาพบว่า ฉินมู่ได้วิ่งเข้าไปในห้องอื่นอีกห้องแล้ว ผานกงสั่วโกรธเกรี้ยว แต่ก็ ได้แต่ไล่ตามไป เพราะในท้ายที่สุดแล้ว หมวกเกราะเงินใช้ควบคุม เรือนี้ยังคงอยู่กับฉินมู่
ทั้ง 2 คนมาถึงห้องถัดไปและพลันหยุดชะงัก ฉินมู่ยกเท้าของ ตนเองขึ้นมา สังเกตเห็นว่ามีของเหลวเหนียวติดอยู่กับรองเท้า
ห้องนี้ถูกปกคลุมไปด้วยของเหลวเหนียวสีเขียวอันเต็มเป็นปื้น ไปหมดทั้งพื้นและผนัง แม้แต่โต๊ะตั่งก็ถูกพวกมันปกคลุม
ฉินมู่มองไปรอบๆ และเห็นผู้เฒ่าจากภาพวาดก็อยู่ในห้อง เช่นกัน ผู้เฒ่านั้นหลบเลี่ยงของเหลวเหนียวอย่างระมัดระวัง กระโจนไปมาตามจุดที่ไม่มีพวกมันอยู่
เขานั้นเป็นมนุษย์ที่ออกมาจากภาพวาด และของเหลวเหนียว นี้เป็นอันตรายกับเขา ในเมื่อมันสามารถยึดเขาติดหนึบไว้กับพื้น ดังนั้นจึงต้องคอยเลี่ยงมัน
ผานกงสั่วก็เห็นผู้เฒ่าจากภาพวาดแล้วคราวนี้ และเขาค่อนข้างตื่นตะลึง เขารีบโบกธงพันตั๊กแตนบินในมือของเขา และ เสียงเคร้งบาดหูดังมาเมื่อฉินมู่ใช้กระบี่บินของเขาปัดป้องฝูงตั๊กแตนบินเอาไว้
ผานกงสั่วโมโหดเดือดและมองไปที่ฉินมู่ ถามด้วยนํ้าเสียงเข้ม “จ้าวลัทธิฉินจะไม่อธิบายอะไรหน่อยหรือ”
ฉินมู่กล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “แซ่ของข้าคือฉิน นั่นคือคําอธิบายที่ดีที่สุด”
ผานกงสั่วสะท้านใจอย่างรุนแรง เมื่อเขาจับประเด็นสําคัญของ เรื่องราวได้
ตัวตนอันน่าสะพรึงกลัวที่มีดวงตาห่างจากกัน 430 วา นั้นกําลังรอบุคคลที่มีแซ่ฉิน สาเหตุที่พวกเขาทั้ง 2 สะกิดความ สนใจของมันก็เพราะว่าพวกเขา ‘ทั้งคู่’ แซ่ฉิน!
เขานั้นเฉลียวฉลาดเป็นอย่างยิ่ง ไม่อย่างนั้นคงไม่รอดชีวิตมา นานขนาดนี้ เขาคิดในใจ หรือว่าเจ้าของเรือลำนี้มีแซ่ฉิน? ไอ้เด็ก นี่และเจ้าของเรือมาจากตระกูลเดียวอย่างนั้นหรือ ถ้าเป็นอย่างนั้น
เขาก็ต้องมาจากหมู่บ้านไร้กังวล! มิน่าล่ะเจ้านี่ถึงรอนแรมมาไกล ถึงที่นี่ แต่เดี๋ยวก่อน! ตัวตนน่าสะพรึงกลัวนั่นกำลังดักรอเด็กหนุ่ม แซ่ฉินที่มีอายุ 16 ขวบปี! ไอ้เด็กเปรตนี่ก็ 16 ปีพอดี! 16 ปีก่อน เรือเหาะตกลงมาที่นี่ และทั้งหมดนี้ต้องเชื่อมโยงกันแน่!
เขาระงับความตะลึงใจและโบกธงพันตั๊กแตนเก็บ ฉินมู่จึงเรียก กระบี่บินเขากลับมาเช่นกัน
ผู้เฒ่าในภาพวาดค้นพบเส้นทางใหม่ และเข้าไปในประตูอีก
บาน
ทั้ง 2 คนรีบติดตามเขาไปทันที และเมื่อพวกเขาผลักประตู
เปิด พวกเขาก็เห็นโถงทางเดินยาวลิบตา ผานกงสั่วอึ้งไป เขาได้ คํานวณเวทมนตร์ซ้อนทับที่ห้องหับในเรือใช้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น เขาจึงหาสะพานเรือเจอ แต่เขาคาดไม่ถึงว่าจะมีโถงทางเดินนี้
ที่ถูกต้อง จำนวนห้องหับทั้งหมดจะต้องมีจำนวนเท่ากับที่ข้า คำนวณมาได้ เช่นนั้นทำไมยังมีสถานที่บางแห่งที่ข้ายังไม่รู้อีก ล่ะ เขาสับสน
หากว่าเขามิอาจไขเวทมนตร์ซ้อนทับได้ แล้วเขาหาสะพาน เรือได้อย่างไร
หากว่าเขาไขเวทมนตร์ซ้อนทับได้ แล้วทําไมผลการคํานวณ ไม่เผยโถงทางเดินยาวเหยียดนี้ล่ะ
ในการคํานวณของเขา ไม่มีทางที่จะมีโถงทางเดินนี้แน่ๆ!
ถ้าอย่างนั้น ก็เหลือความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียว เวทมนตร์ ซ้อนทับนี้เป็นเพียงเปลือกชั้นนอกที่ใช้ตบตาผู้คนที่เข้ามาให้หลง คิดว่าตนได้ค้นพบโครงสร้างของเรือทั้งลําแล้ว และไม่หยั่งรู้ถึงความลับที่ซ่อนอยู่ข้างใต้!
แม้กระทั่งหมวกเกราะเงินที่ฉินมู่เก็บเอาไว้ก็อาจจะเป็นเพียงแค่ สมบัติอันใช้หลอกลวงคนและไม่อาจควบคุมเรือได้จริงๆ
เหล่าเทพแห่งหมู่บ้านไร้กังวลนั้นเหนือธรรมดาจริงๆ แม้แต่ข้าก็ยังโดนหลอก โชคดีที่ไอ้เด็กแซ่ฉินอยูที่นี่ด้วย ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่ค้นพบความลับนี้
สายตาของผานกงสั่ววูบไหว ในห้องสุดท้าย มีของเหลวสี เขียวมากมาย ซึ่งหมายความว่าตัวตนปริศนานั้นได้ค้นพบสถานที่ แห่งนี้และบุกตะลุยเข้ามา
ผู้เฒ่าในภาพวาดนั้นกําลังวิ่งตะบึงผ่านผนังในโถงทางเดิน กระโดดขึ้นบ้างลงบ้าง ดูคล้ายจะหลบหลีกอะไรบางอย่าง
ฉินมู่และผานกงสั่วมองไปและเห็นร่องรอยมากมายถูกทิ้งไว้บน ผนัง มีรอยฝ่ามือฝังจมลึก เช่นเดียวกับรอยฝ่ามือประเภทอื่นๆ มากมาย มันยังมีรอยฝังของอาวุธที่อันตรายน่าสะพรึงกลัว
ดูเหมือนว่าเพียงแตะเบาๆ ก็จะทําให้พลังทําลายล้างของพวกมัน กระตุ้นเร้าขึ้นมาและกวาดล้างทุกสิ่งทุกอย่างในรัศมี!
พวกนี้คือร่องรอยที่ถูกทิ้งไว้จากเทพศาสตรา!
นอกจากร่องรอยของเทพศาสตราแล้ว ก็ยังมีรอยฝังที่หลงเหลือไว้จากทักษะเทวะ พวกมันไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่ยังคงเก็บ
กักพลังอํานาจน่าตื่นตระหนกที่เปล่งแสงเรืองออกมาอันทําให้ผู้คน ใจหวิวหวาด
แสงเรืองจากรอยฝังเหล่านี้เกิดจากอักษรรูน และพวกมันบางที ก็สว่าง บางทีก็มืด พวกมันซับซ้อนและลึกซึ้ง ยากที่จะเข้าใจ
เมื่อผู้คนมองไปที่พวกมันเป็นครั้งแรก พวกเขาก็ไม่อาจเข้าใจ อะไรออกมาจากมันได้ แต่เมื่อจิตใจของผู้มองดูเริ่มซึมซาบเข้าไป ข้างใน พวกเขาก็จะรู้สึกทันทีว่ามีแง่อัศจรรย์ของโลกหล้าไหลบ่า มา ส่งพวกเขาให้เข้าสู่ภวังค์
“นี่มันแตกต่างจากแผ่นจารึกหินของสํานักเต๋า แต่ให้ผลลัพธ์ เหมือนๆ กัน!”
ฉินมู่และผานกงสั่วอดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความทึ่งใจ รอยฝัง จากทักษะเทวะและเทพศาสตราเหล่านี้มันคือคลังสมบัติของวิชา ต่างๆ ชัดๆ แม้ว่าร่องรอยเหล่านี้จะไม่อาจทัดเทียมได้กับ 14 นิพนธ์กระบี่เต๋าแห่งสํานักเต๋าได้ แต่หากว่าใครสามารถตรึกตรอง ทําความเข้าใจรอยฝังทั้งหมดในโถงทางเดินและประสบความสําเร็จ
ในวิชาฝึกปรือและทักษะเทวะทั้งหลายเหล่านี้ พวกเขาก็อาจจะ
สามารถก่อตั้งสํานักระดับแดนศักดิ์สิทธิ์ของตนขึ้นได้เลยด้วยซํ้า!
จิตใจของทั้งคู่หวั่นไหว แต่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยับยั้งใจ เอาไว้ ศัตรูของทั้ง 2 คนอยู่ข้างๆ กันและกัน และหากพวกเขาจม ลงไปในภวังค์แห่งการตรึกตรองทําความเข้าใจ พวกเขาก็จะต้อง ถูกสังหารโดยไอ้วายร้ายข้างๆ แน่นอน
แม้ว่าพวกเขาหมายมั่นอยากจะกําจัดอีกฝ่ายเพื่อครอบครอง ขุมสมบัติแห่งนี้ไว้เป็นของตนเอง แต่ร่องรอยบนกําแพงนี้ไม่ค่อย เสถียรเท่าใดนัก และหากว่าใครเข้าไปแตะต้องเข้ากับรอยฝังโดย บังเอิญ แรงระเบิดจากพลังงานที่เก็กกักอยู่ในพวกนั้นก็จะสังหาร พวกเขาได้เป็นร้อยเป็นพันครั้ง!
ผู้เฒ่าจากภาพวาดคนนั้นยังคงนําทางไป โถงทางเดินยาวดู เหมือนจะไม่มีจุดสิ้นสุด ตั้งแต่ตอนแรกที่พวกเขาเข้ามาจนถึงบัดนี้ ระยะทางที่พวกเขาเดินไปน่าจะเดินพ้นลําเรือไปเรียบร้อยแล้ว แต่ ทว่ากลับมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดของโถงทางเดินนี้เลย
นี่มันเป็นเวทมนตร์ซ้อนทับที่เหนือลํ้าเสียยิ่งกว่า อันใช้พลังเวท มนตร์อันยิ่งใหญ่ในการม้วนห้วงมิติและอวกาศ พับพวกมันและยืด ขยายออกแทนที่จะใช้ผืนหนังและกระดูกของเต๋าตี้ในการขยาย พื้นที่
โถงทางเดินแคบแค่นี้ แต่กลับมีรอยฝังทักษะเทวะและเทพ ศาสตราอยู่บนผนังแน่นขนัดไปหมด เห็นแล้วก็นึกภาพออกเลยว่า การต่อสู้นั้นคงจะดุเดือดมากแค่ไหนในตอนนั้น แต่ประเด็นสําคัญ
ที่สุดก็คือเมื่อสุดยอดฝีมือเหล่านี้ลงมือกันที่นี่ พลานุภาพในทักษะ เทวะของพวกเขาได้ควบแน่นและจะระเบิดออกมาเมื่อเข้าไปกระทบ ร่างศัตรูเท่านั้น หากว่ามันยังไปไม่ถึงตัวศัตรู ก็จะไม่มีกระผีกของ
พลังงานที่รั่วไหลออกมา นี่มันน่าสะพรึงกลัวสุดๆ
มันหมายความว่าความสามารถในการควบคุมพลังของพวก เขาได้ถึงขั้นอันเพริศแพร้วพิสดารอย่างถึงที่สุด ใช้พลังงาน
ปริมาณน้อยที่สุดเพื่อก่อความเสียหายที่รุนแรงที่สุด ยากนักที่ใคร จะบรรลุถึงขั้นนี้ได้
แม้ว่าจะเป็นผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นหกทิศ การระเบิดของทักษะเทวะ ก็จะกินรัศมีไปหลายวา หากว่าทักษะเทวะถูกควบแน่นไว้เพียงแค่ ในฝ่ามืออันมีน้อยคนนักที่จะทําได้ พลังการทําลายล้างของการ
โจมตีนั้นก็อาจจะทวีคูณขึ้นเป็นร้อยเท่า
หากว่าเทพเจ้าควบแน่นทักษะเทวะของตนถึงระดับนั้น พลัง ทําลายล้างนั้นจะร้ายกาจรุนแรงสักเพียงไหน
ฉินมู่และผานกงสั่วตาลุกวาว และพวกเขาพลันตระหนักถึง ความแข็งแกร่งของการทําเช่นนี้ หากว่าพวกเขามีพลังวัตรอัน ใกล้เคียงกัน แต่คนหนึ่งนั้นสามารถควบแน่นทักษะเทวะของตนเอง ได้ ก็จะสามารถสังหารอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดายมิใช่หรอกหรือ
ยิ่งไปกว่านั้นพลังงานก็ไม่รั่วไหลออกไป และการเหือดแห้ง ของพลังวัตรก็จะลดน้อยลงไปจนถึงที่สุด อันจะทําให้ผู้ใช้สามารถ ต่อสู้ได้เป็นระยะเวลานาน
แต่ทว่าวิชาฝึกปรือและทักษะเทวะของพวกเขาไม่มีวิธีการ ควบคุมอันละเอียดลออระดับนี้ การที่จะสามารถควบคุมทักษะเทวะ ได้ถึงขีดขั้นดังกล่าว ก็จะต้องอาศัยความสําเร็จสูงส่งในเชิงพีชคณิต
สํานักเต๋ามีความสําเร็จสูงส่งในเชิงพีชคณิต แต่กระนั้นผู้คน ในสํานักเต๋าก็ยังไม่อาจสําเร็จถึงขั้นที่เห็นในโถงทางเดินได้ มิเช่นนั้น สํานักเต๋าคงไร้พ่าย
ข้าสงสัยว่าคงจะต้องเชี่ยวชาญในการคิดคำนวณ ถึงจะสามารถควบคุมพลังได้ระดับนี้ ใช่ไหม
สายลมแผ่วเบาพลันพัดมาในโถงทางเดิน ฉินมู่และผานกงสั่ว ครางหนักๆ ทั้งคู่และกระดูกของพวกเขาลั่นเปรี๊ยะ ไม่ใช่สายลมที่ สร้างแรงกดดันแก่ร่างกายของพวกเขา แต่เป็นปราณของเทพเจ้า ที่แฝงมากับสายลมอันสร้างแรงกดดันมหาศาลแก่พวกเขา ทําให้ พวกเขาหายใจแทบไม่ออก
ฉินมู่รีบแปลงร่างเป็นเงาดําแล้วฝังตนเองเข้าไปในผนังเพื่อเดินผ่านไปทางนั้น ผานกงสั่วเห็นแล้วรู้สึกว่าเป็นความคิดที่ชาญ ฉลาด เขาจึงรีบแปลงร่างเป็นเงาเพื่อจมเข้าไปในกําแพงเช่นกัน ทั้ง สองคนจึงหลบเลี่ยงรอยฝังบนผนัง และเคลื่อนที่ไปข้างหน้า จนกระทั่งพวกเขาได้เห็นแหล่งที่มาของปราณเทพเจ้า
มันเป็นศพเทวะ อันเป็นของเทพเจ้าตนหนึ่ง ศีรษะของเขาถูก แทงทะลุ และครึ่งร่างของเขาก็กลายเป็นหิน ขณะที่อีกครึ่งหนึ่งยัง เป็นเลือดเนื้อ เขาถูกศัตรูสังหารเสียก่อนที่จะกลายเป็นหินได้ทัน
ความดุเดือดเลือดพล่านของการสัประยุทธ์ในโถงทางเดินนั้น เกินกว่าที่พวกเขาจินตนาการเอาไว้
พวกเขาเลื้อยไหลไปตามผนังและติดตามผู้เฒ่าในภาพวาดไป หลังจากผ่านไปสิบกว่าวา พวกเขาก็เห็นศพเทวะศพที่สอง ตาม ด้วยศพที่สาม ศพที่สี่…
ฉินมู่และผานกงสั่วใจเต้นระรัวเมื่อพวกเขาเคลื่อนไปข้างหน้า ด้วยอาการสั่นเทิ้มจากความหวาดกลัว ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงสุด โถงทางเดินและเห็นประตู
มันแง้มเปิดออกมาส่งเสียงดังเอี๊ยด ฉินมู่ลังเลนิดเดียวก่อนที่จะลงมาจากกําแพงแล้วก้าวเข้าประตูไป
ผานกงสั่วช้าไปก้าวหนึ่งด้วยเขาหมายให้ฉินมู่เข้าไปหยั่ง
อันตรายข้างในเสียก่อน หลังจากที่ฉินมู่เข้าไปแล้วไม่พบอันตราย ผานกงสั่วจึงลงมาจากกําแพง แต่ขณะที่เขาจะเดินเข้าประตูไป นั่นเอง ประตูก็พลันส่งเสียงครืดและปิดมันใส่หน้าเขา ขวางเขาไว้ ข้างนอก
ผานกงสั่วรีบเข้าไปทุบประตูทันที แต่เปิดมันไม่ออกไม่ว่าจะทํา อย่างไรก็ตาม ทันใดนั้นเขาจึงเพิ่งนึกได้ว่าประตูต้องดึงเปิดออก จากฝั่งเขา และเมื่อเขาทําเช่นนั้น เขาก็พุ่งเข้าไปข้างในและเงยหัว ขึ้นมองดู ความเย็นยะเยือกโถมซัดหัวใจของเขา และเหงื่อเย็น เยียบก็ร่วงลงจากหน้าผากเขา
ข้างนอกนั้นคือแดนใต้พิภพอันเต็มไปด้วยความมืดและแสง เรืองวับๆ แวมๆ ที่ลอยล่องไปมาบนท้องฟ้าประดุจดวงดารา
เขานั้นกําลังยืนอยู่ที่ดาดฟ้าเรือสมบัติ ฉินมู่และผู้เฒ่าจาก ภาพวาดนั้นหายวับไปแล้ว
เห็นได้ชัดว่าหลังจากที่ประตูปิดลงไป เวทมนตร์ซ้อนทับห้วง มิติได้บิดผันห้วงอวกาศ ทําให้มันมิใช่ห้องเดียวกับที่ฉินมู่ก้าวเข้า ไป!
“ให้ตายเหอะ!” ผานกงสั่วเดือดดาลและหันหลังกลับไปเปิดประตู แต่ห้องที่อยู่
ข้างหลังเขามิใช่โถงทางเดินลึกลับนั้นอีกต่อไป มันเป็นห้องใหม่



