Skip to content

Tales of Herding Gods 335

Tales of Herding Gods
BC

ตอนที่ 335 โจรน้อยโจรเฒ่า ล้วนแต่โจรเทวะ

C

เฒ่าเป๋และฉินมู่เดินออกจากด่านชิงเหมิน และแม่ทัพมากมาย ในด่านก็ขมวดคิ้ว เปียนเจิ้นอวิ๋นรีบไปถามราชครูทันทีว่าจะมีคําสั่ง อื่นเพิ่มเติมหรือไม่ ราชครูสันตินิรันดร์ส่ายหน้าและกล่าว “ไม่จําเป็นต้องช่วยเขา มีไอ้คนขาเป๋นั่นไปด้วย ไม่มีใครสังหารจ้าวลัทธิฉินได้หรอก”

“คนขาเป๋?” ทุกคนมองไปยังเฒ่าเป๋ แต่ก็เห็นชายแก่ผู้นี้มีแขน ขาครบและเดินฉับๆ ตรงไหนกันที่เขาเป๋ด้วน

“จิตใจของเขาเป๋” สีหน้าของราชครูสันตินิรันดร์ยู่ย่นเหมือน ได้กลิ่นขี้ “ศีลธรรมและจรรยาของเขาล้วนแต่เป๋ไป๋ ร่างกายของ เขาล่อกแล่ก แม้แต่เงาก็ยังเบี้ยว ด้วยจิตใจคดงอ ลืมเขาไปเถอะ ชานโหย่วซิ่น กระทรวงการงานและมหาวิทยาลัยจักรวรรดิหลอม สร้างวงแหวนสวรรค์ได้กี่วงแล้วล่ะ”

“14,000” ชานโหย่วซิ่นกล่าว “พวกมันได้ถูกนําไป ติดตั้งบนปืนใหญ่แก่นกําเนิดแล้ว เพียงแค่อีกวันเดียว พวกเราก็จะ สามารถจัดทําที่เหลืออีกสามสี่พันวงสําเร็จ เมื่อเวลานั้นมาถึง พวก เราก็จะสามารถบุกค่ายศัตรูได้”

ราชครูสันตินิรันดร์มองไปยังด่านแน่นหนาไร้ช่องโหว่เบื้องหน้าพวกเขา และกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “ไม่จําเป็นต้องรออีก วัน ถ่ายทอดคําสั่งไปยังทุกทัพให้เตรียมพร้อมโจมตีโดยพลัน ก่อพยุหะกระบวนรบด้วยเรือเหาะ และเราจะบุกไปข้างหน้า! แม่ทัพ เปียน จอมทัพไท่เว่ย แม่ทัพคํ้าประเทศ แม่ทัพแห่งม้าขาว เจ้านคร เว่ย แม่ทัพเสาหลักประเทศ แม่ทัพมงกุฎทัพ แม่ทัพถนอม เปลี่ยนแปลง!”

เขาขานนามทีละคนๆ และแม่ทัพมากมายแห่งจักรวรรดิสันตินิ รันดร์ก็เดินออกมาจากแถวเพื่อรอรับคําสั่ง

หลังจากผ่านพ้นการกบฏของหลิงอวี้เซี่ยรัชทายาทคนก่อน ขุนนางภายใต้เขาก็ถูกขจัดออกไป แต่กระนั้นจักรวรรดิสันตินิ

รันดร์ก็เต็มไปด้วยผู้เปี่ยมความสามารถ จักรพรรดิได้เลือกสรรขุน นางขั้นตํ่ามาเลื่อนตําแหน่ง ดังนั้นจึงไม่เกิดสูญญากาศทางอํานาจ

“เคลื่อนทัพไปข้างหลังกําแพงด่าน ให้หยุดรออยู่ข้างหลัง กระบวนรบเรือเหาะ กองเรือเหาะจะทําหน้าที่หัวหอกทะลวงฟันบุก เข้าไป และกองทัพก็คอยกวาดล้างที่เหลือ ในเวลาเดียวกันนั้น พวกเจ้าต้องคอยจับตาดูยอดฝีมือขั้นสะพานเทวะและขั้นเป็นตาย ให้ดี สังหารพวกเขาทันทีเมื่อมีโอกาส!”

แม่ทัพทั้งหมดจิตใจเครียดขมึง และเจ้านครเว่ยก็ถาม “ราชครู จ้าวลัทธิฉินยังอยู่ที่แนวหน้า หากว่าพวกเราโจมตีตอนนี้ ข้าเกรง ว่าอีกฝ่ายคงลงมือจัดการเขา”

ราชครูเผยยิ้ม “ในตอนที่เขาล่าถอยกลับมาคือวินาทีที่พวกเรา จะโจมตี แต่ไม่จําเป็นต้องกังวลความปลอดภัยของเขา ถ้ามีเจ้าคน ขาเป๋นั่นอยู่ด้วย ก็มีไม่กี่คนในโลกหรอกที่สามารถทําอันตรายเขา ได้”

“ใครจะเป็นผู้บัญชาการกองเรือเหาะ” เปียนเจิ้นอวิ๋นถาม

เดิมทีนั้นเรือเหาะกระจัดกระจายไปทั่วทั้งกองทัพและอยู่ใต้บัญชาของแม่ทัพประจํากองทัพนั้นๆ ทว่าในบัดนี้ราชครูสันตินิรันดร์ได้เปลี่ยนแผนยุทธศาสตร์และให้กองเรือเหาะเป็นหัวหอก ทะลวงฟัน พวกเขาจึงต้องจัดตั้งกองทัพใหม่ขึ้นมาด้วยเหล่ายอด ฝีมือที่เก่งกาจในด้านการโจมตีเพื่อควบคุมบัญชาการเรือ เมื่อนั้น พวกเขาถึงจะสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในสมรภูมิได้

ทันท่วงที

ราชครูสันตินิรันดร์ประกายตาไหววูบพลางกล่าวอย่างเคร่ง ขรึม “เรียกตัวนายทหารชั้นสูงมาที่นี่ทั้งหมด! และไปเรียกครูผู้สอน ทั้งหลายจากมหาวิทยาลัยจักรวรรดิมาด้วย!”

สักครู่หนึ่ง นายทหารระดับสูงและครูผู้สอนมากมายก็เร่งรุด มายังข้างกายเขา

“พวกเรามีเรือเหาะทั้งหมด 245 ลํา อันเทียบได้กับ กระบี่บิน 245 เล่ม” ราชครูสันตินิรันดร์กวาดตามองพวก เขาทั้งหมดและกล่าวด้วยนํ้าเสียงเข้ม “ผู้ที่เชี่ยวชาญในเพลงกระบี่ และสามารถควบคุมกระบี่บินได้พร้อมๆ กันทีละ 245 เล่ม โปรดก้าวออกมา”

ผู้คนมากกว่า 50 คนจากนายทหารระดับสูงและครูผู้สอน เหล่านั้นก็ก้าวออกมา

ปราณชีวิตของราชครูสันตินิรันดร์แผ่พุ่งไปข้างหน้า และแปร เปลี่ยนเป็นกระบี่บินที่ห้อมล้อมรอบตัวเขา “โจมตีข้า ใครก็ตามที่สามารถฝ่าพยุหะกระบี่ของข้าและแทงมาต้องร่างกายข้าได้จะเป็นผู้ บัญชาการของกองทัพใหม่!”

ยอดฝีมือกว่า 50 คนได้ยินที่เขาบอก จึงร่ายรําเพลงกระบี่ ของตนพุ่งไปโจมตี ในพริบตานั้น แสงกระบี่จํานวนนับไม่ถ้วน แหวกว่ายวนไปอย่างไม่หยุดยั้ง ทําให้เกิดเสียงเคร้งคร้างดังสนั่น

ราชครูสันตินิรันดร์ยืนนิ่งไม่ขยับถอยสักก้าว ควบคุมแสงกระบี่ ทั้งหมดด้วยจิตของเขา ป้องปัดการโจมตีจากนายทหารระดับสูง และครูผู้สอนกว่า 50 คน

ทันใดนั้นแม่ทัพคนหนึ่งก็ถูกแสงกระบี่ของราชครูสันตินิรันดร์กระแทกเข้าที่อก แต่มันไม่ได้ทําร้ายเขา แม่ทัพคนนั้นรีบถอยไปทันที

ผ่านไปไม่กี่อึดใจ ผู้คนก็พากันถอยกลับไป จนเหลือยอดฝีมือ เชิงกระบี่อยู่ราวๆ 10 คนที่ยังโจมตีอยู่

เจ้านครเว่ย เปียนเจิ้งอวิ๋น และคนอื่นๆ ได้แต่อุทานในใจเมื่อ เห็นภาพดังกล่าว ผู้คนที่เหลืออยู่ราว 10 คนนี้ล้วนแต่เป็นตัวตนที่ โดดเด่นเยี่ยมยอดในเชิงกระบี่ และความสําเร็จของพวกเขาในด้าน นี้ล้วนแต่อยู่ในระดับยอดฝีมือ สิ่งที่พวกเขาขาดพร่องไปมีก็แต่ ขั้นวรยุทธ์เท่านั้น

น่าตื้นตันยิ่งนักที่จักรวรรดิสันตินิรันดร์มีผู้เปี่ยมความสามารถมากมายขนาดนี้

ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง คนราว 10 คนนั้นก็เหลือเพียง 3 คนที่ยัง โจมตีราชครูสันตินิรันดร์อยู่ ทันใดนั้นกระบี่ตะวันเล่มหนึ่งก็แผ่พุ่งไป แสงสีแดงของมันแผดจ้าเหมือนเพลิงไฟส่องสว่างให้กับบริเวณ รอบข้าง แสงกระบี่พลันทะลวงออกมาจากดวงตะวันสีแดงฉานและ ทะลุเพลงกระบี่ป้องกันของราชครูสันตินิรันดร์ได้ ทําให้เกิดรูเล็กๆ ที่เสื้อผ้าของเขา

ราชครูสันตินิรันดร์ยกมือขึ้นให้ทั้ง 3 คนหยุดโจมตี เขามอง ไปยังชายที่แทงเสื้อผ้าเขาเป็นรูและถาม “ครูผู้สอนโถงซ่อนแสง อย่างนั้นหรือ”

ผู้ซึ่งแทงชายผ้าเขาได้นั้นมิใช่ใครอื่น นอกเสียจากหัวหน้าโถง กระบี่ เขาจึงโค้งแล้วกล่าว “เจี้ยนซานเซิงแห่งโถงซ่อนแสง”

ราชครูสันตินิรันดร์ผงกหัวแล้วมองไปแม่ทัพอีกคนที่ช่วงใช้ตะวันแดงออกมา เพลงกระบี่อัสดงที่เขาใช้เมื่อครู่นี้ได้เปิดโอกาส ให้หัวหน้าโถงกระบี่ทําสําเร็จ “แม่ทัพนําบัญชา อวี๋เยียนชูอวิ๋น?”

อวี๋เยียนชูอวิ๋นโค้งแล้วกล่าวทักทาย “ท่านราชครู”

ราชครูสันตินิรันดร์เผยยิ้ม “เจี้ยนซานเซิง เจ้าคือแม่ทัพ บัญชาการคนใหม่ อวี๋เยียนชูอวิ๋น เจ้าคือรองแม่ทัพบัญชาการคน ใหม่ ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าหนึ่งชั่วโมงเพื่อทําความคุ้นเคยกับชื่อ ของเรือต่างๆ และนายทหารที่บังคับการอยู่บนนั้น จดจํามันให้ขึ้น

ใจ อย่าลืมว่าเมื่อพวกเจ้าบัญชาการเรือเหาะ อย่าไปคิดว่ามันคือ เรือเหาะ แต่จงคิดว่ามันคือกระบี่บินของพวกเจ้า!”

หัวหน้าโถงกระบี่ตาเป็นประกาย และเอ่ยถาม “ราชครูต้องการ ให้พวกเราทําอะไร”

ราชครูสันตินิรันดร์ชี้ตรงไปยังด่านอันยิ่งใหญ่และไร้ช่องโหว่ที่ ฝั่งตรงข้ามและกล่าว “ทําลายด่านเฮ่อหลานให้ราบเป็นหน้า กลอง!”

หัวหน้าโถงกระบี่ร่างสั่นเทิ้มขึ้นมาทันที และเขาหันไปมองด่าน อันยิ่งใหญ่เกรียงไกรนั้น ด้วยไฟแห่งความห้าวหาญที่โหมกระพือ อยู่ในอก

ในเวลาเดียวกัน ฉินมู่และเฒ่าเป๋ก็ไปถึงเขตลิ้นเป็ด

“ฉินกงสั่ว ดูท่าเจ้าคงจะสบายดีสินะหลังจากที่เจอกันเมื่อคราว ก่อน!” ฉินมู่กล่าวด้วยเสียงอันดังด้วยรอยยิ้มเกลื่อนหน้า

ผานกงสั่วแย้มยิ้มและมองไปทางซ้ายและทางขวา “ข่านหร วนตี้ นี่คือจ้าวลัทธิมารฟ้า เขาไม่ใช่ใครที่จะสามารถร่ายรําแสง กระบี่อันท่วมท้นดุจมหาสมุทรได้หรอก ใช่ไหมล่ะ”

ข่านหรวนตี้ที่ยืนอยู่ข้างหลังเขา กวาดตามองดูฉินมู่อย่าง รวดเร็วปานสายฟ้า และเขากล่าวอย่างเคร่งขรึม “เป็นเด็กหนุ่มผู้นี้ ล่ะ เมื่อเขามาถึงสนามรบ เพลงกระบี่อันน่าสะพรึงกลัวนั้นก็แผ่พุ่ง

ออกมา และทําให้ทุกคนต้องกลั้นหายใจ”

ฉินมู่มองไปที่ข้างหลังผานกงสั่ว ตะลึงเล็กน้อย ข้างหลังเขา คือข่านมากมายและราชาหมอผีแห่งวังทองโหรวหลัน แต่ทว่ามีคน ผู้หนึ่งที่สะดุดตาเป็นอย่างมาก

ร่างของเขาสูงใหญ่ยิ่งกว่าคนอื่นๆ ในเมื่อเขานั้นสูงเสียยิ่งกว่า หัวหน้าโถงกระบี่และนักปรุงยา แม้ว่าตอนนี้จะเป็นช่วงปลายฤดู ร้อน แต่เขาก็ยังคงสวมเสื้อขนแรคคูนตัวหนา และมีมีดทองคํากับ ซองธนูผูกอยู่ที่เอว

เมื่อรู้สึกถึงสายตาอันเพ่งพิศเจาะเข้ามา ฉินมู่ก็คาดเดาได้ ทันทีถึงภูมิหลังที่มาของคนผู้นี้ “จ้าวดินแดนผู้ยิ่งใหญ่แห่งทุ่งหญ้า ข่านหรวนตี้!”

เมื่อก่อนนั้นครั้งที่หมอผีอาวุโสได้แต่งตั้งฉายาข่านแก่บุคคลผู้ นี้ ข่านหรวนตี้ก็ได้กลายเป็นมือธนูเทวะอันดับหนึ่งในโลกหล้า เผ่า ของเขาชํ่าชองในเรื่องการยิงธนูบนหลังม้า นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา

ข่านหรวนตี้ก็ทรงอํานาจมากขึ้นเรื่อยๆ

กําลังวรยุทธ์ของเขานับอยู่ในจุดเกือบจะสูงสุดของแดนดิน และเขามิใช่เป็นแต่มือฉมังธนูเท่านั้น ตอนที่ฉินมู่กับคณบดีป้าซาน ได้พบกับผานกงสั่วที่ยังไม่ถูกยึดครองร่าง เพลงหมัดของผา นกงสั่วก็ได้ทําให้ฉินมู่และคณบดีป้าซานสนใจเขา

เพลงหมัดเหล่านั้นมีที่มาจากข่านหรวนตี้ อันแสดงว่ากําลัง ฝีมือของเขามิได้จํากัดอยู่แต่ธนูและลูกศร

บ่อยครั้งที่ผู้คนเปรียบเทียบข่านหรวนตี้กับจักรพรรดิเอี้ยนเฝิง ทั้ง 2 คนเป็นผู้นําที่ทรงอํานาจที่ได้ผลักดันการปฏิรูปไปด้วยใจ เด็ดเดี่ยวและมั่นคง แต่กระนั้น ข่านหรวนตี้ก็ดูเหมือนจะเป็นเพียงผู้

ลอกเลียนแบบ เรียนรู้จากพฤติการณ์ของจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงเพื่อ ปฏิรูปสถานการณ์อันปั่นป่วนวุ่นวายในทุ่งหญ้าอันแต่ละเผ่าต่างก็ ปกครองตนเอง เขาเข้ายึดครองเผ่าเหล่านั้น และกวาดล้างสํานัก

หมอผีทั้งใหญ่และน้อย ยอดฝีมือในสํานักเหล่านั้นถูกเขารับไปร่วม กองทัพ

หากมิใช่เพราะวังทองโหรวหลันจงใจกีดขวางเขา เขาก็คงรวม ทุ่งหญ้า ให้เ ป็นหนึ่งได้ตั้งนานแล้ว

ในสมัยนั้น วังทองโหรวหลันกังวลว่าข่านหรวนตี้จะเลียนแบบ ราชครูสันตินิรันดร์ และจักรพรรดิเอี้ยนเฝิง เพื่อว่าหลังจากรวบรวม ท้องทุ่งกว้างให้เป็นปึกแผ่นแล้วก็จะหันมาสยบวังทอง ดังนั้นพวก เขาจึงไม่ค่อยสนับสนุนข่านหรวนตี้ จนกระทั่งเมื่อท่านผู้สูงศักดิ์ได้

ไปเกิดใหม่เป็นผานกงสั่ว และรับสืบทอดอํานาจวังทองมา ตอนนั้น วังทองโหรวหลันถึงค่อยเปลี่ยนท่าที สนับสนุนเขาอย่างเต็มที่ใน การรวบรวมทุ่งหญ้าให้เป็นหนึ่งเดียว

กำลังฝีมือของข่านหรวนตี้คไม่ด้อยไปกว่าจักรพรรดิเอี้ยนเฝิง

ฉินมู่แย้มยิ้มและเดินไปข้างหน้าของเฒ่าเป๋ พลางตะโกนไป

“ผานกงสั่ว นั่นคือข่านหรวนตี้ พ่อของเจ้าอย่างนั้นหรือ”

ผานกงสั่วไม่สะทกสะท้านและแย้มยิ้ม “ตัวตํ่าช้าน้อย พยายาม จะยั่วยุข้ารึ”

“ศิษย์พี่หรวนตี้!” ฉินมู่ทักทายข่านหรวนตี้ด้วยใบหน้าเกลื่อน ยิ้ม “จ้าวลัทธินักบุญสวรรค์น้อมพบยอดข่านแห่งท้องทุ่งหญ้า”

ข่านหรวนตี้ขมวดคิ้ว ทําอะไรไม่ถูก เห็นได้ชัดว่าฉินมู่หมาย จะข่มใส่ผานกงสั่ว หากว่าเขาทักทายกลับไป นั่นก็จะทําให้ลําดับ อาวุโสของผานกงสั่วตํ่ากว่าฉินมู่หนึ่งขั้น และในพริบตาถัดมา

ฉินมู่ก็คงจะบังคับให้ผานกงสั่วเรียกเขาว่าท่านอา แต่หากว่าเขาไม่ คารวะทักทายตอบ ก็จะเป็นการหยาบคายไร้มารยาท และหากว่า เขายึดครองสันตินิรันดร์ได้ในอนาคต ฉินมู่ก็จะต้องพาลัทธิมารฟ้า มาตอแยเขาอย่างแน่นอน

ผานกงสั่วรู้ว่าเขากําลังคิดอะไรและยิ้มออกมา “ข่านหรวนตี้ ไอ้เด็กแซ่ฉินชอบทําให้ผู้คนคั่งแค้นใจแบบนี้แหละ แค่ประโยคหนึ่ง จากปากหมอนี่ก็ทําเอาผู้คนอัดอั้นจนแทบตาย หมายจะทึ้งเนื้อมัน เป็นชิ้นๆ บัดนี้เมื่อเจ้าได้เห็นเขาแล้ว เจ้าก็คงจะรู้ว่ากําลังฝีมือของ

เขามาจากปากทั้งนั้น ไม่มีอะไรมากกว่านั้นเลย”

“ถ้าเช่นนั้น ชายแก่ข้างหลังเขาเป็นคนที่ร่ายรําแสงกระบี่อัน ไพศาลดุจมหาสมุทรหรือไม่” ข่านหรวนตี้ถาม

ผานกงสั่วไม่รู้จักเฒ่าเป๋ ดังนั้นเขาจึงส่ายหัว “ไม่ใช่เขาหรอก แต่เป็นไอ้ผายลมเฒ่าที่ไร้แขนและขา ไม่ต้องห่วง ผายลมเฒ่านั้น ไม่ลงมือง่ายๆ เขามีกฎเกณฑ์มากมายจํากัดตนเองจนแทบตาย ยิ่ง ไปกว่านั้น ภายในอีกไม่กี่วัน ก็จะมีคนจากเหนือฟ้ามาที่นี่เพื่อ กําจัดเขา”

ผานกงสั่วฉีกยิ้ม “หลังจากที่เขาตายไป เจ้าก็จะสามารถ เหยียบด่านชิงเหมินให้ราบเป็นหน้ากลอง บุกเข้าไปข้างในโดยไม่ ต้องกริ่งเกรง และกลายเป็นจ้าวผู้ปกครองแห่งแผ่นดินภาคกลาง”

“ในเวลานั้น วังทองก็จะกลายเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์เพียงหนึ่งเดียว ในโลกหล้า!” ข่านหรวนตี้กล่าวทันที

ผานกงสั่วหัวเราะ “เจ้าไม่ต้องระมัดระวังขนาดนั้น เป้าหมาย ของข้ามิใช่แดนศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่ง หรือแดนศักดิ์สิทธิ์เพียงหนึ่ง เดียว เป้าหมายของข้าไกลลิบและสูงส่งเกินจินตนาการเจ้า”

เขานึกถึงหนังสือทองคําที่เขาซ่อนไว้ในเสื้อและหัวใจเขาก็เริ่ม เร่าร้อน มือของเขากําเข้าเป็นหมัดโดยไม่รู้ตัว

ในตอนนั้นเอง ฉินมู่ก็เดินเข้ามาด้วยก้าวยาวๆ ใบหน้าของเขา เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ข่านหรวนตี้นี่ช่างหยาบคายเสียจริง ข้าทักทายเจ้า แต่เจ้าไม่ทักทายข้ากลับ มารยาทของเจ้านั้นทรามจนเกินไป มิน่าล่ะถึงสอนไอ้เด็กเปรตผานกงสั่วออกมาได้แบบนี้”

ผานกงสั่วสีหน้ามืดครึ้ม เขาอ้าปากจะตอบโต้ แต่ฉินมู่พลันพุ่ง เข้ามาและตะโกน “ผานกงสั่ว รีบไสหัวออกมาเรียกข้าว่าท่านอา! ให้ท่านอาผู้นี้ฟาดก้นของเจ้า!”

ผานกงสั่วโกรธเกรี้ยว เมื่อเขามองไป เขาก็เห็นชายแก่ผู้นั้นยัง ยืนอยู่ห่างๆ ตรงจุดเดิมด้วยใบหน้ายิ้มแป้นแล้น ดังนั้นเขาจึงมีขวัญ กล้า ขึ้นมาและพุ่งเข้าใส่ฉินมู่ด้วยรอยยิ้มหยัน “ไอ้เด็กแซ่ฉิน ข้า ไม่ได้ฆ่าเจ้าบนเรือ แต่คราวนี้แหละที่เจ้าจะต้องทิ้งชีวิตไว้ในสนาม รบ!”

ทั้ง 2 คนปะทะกันและพลังวัตรของพวกเขาก็แผ่พุ่ง ทักษะเท วะระเบิดปะทุ คลื่นอากาศม้วนเป็นเกลียววนจากแรงสั่นสะเทือนและ แผ่ออกไปไกล!

ผานกงสั่วรู้สึกแขนชาไปทั้งท่อน และใจก็สั่นสะท้าน ข้าบรรลุ ถึงระดับสุดยอดของขั้นหกทิศแล้ว แต่อ้เด็กเวรนี่ยังคงมีพลังวัตรที่ม่ด้อยไปกว่าข้า!

ฉินมู่ประกบมือเข้าหากัน และแสงกระบี่จํานวนนับไม่ถ้วนก็บิน ออกมาจากถุงเต๋าตี้ที่หลังเขาเข้าไปโจมตี!

ผานกงสั่วรีบป้องกันทันที แต่ทว่า แสงกระบี่นับไม่ถ้วนนั้น พลันรั้งกลับและแปรเปลี่ยนเป็นลูกกลมสีเงินระยิบระยับขนาดมหึมา อันถล่มทับลงมา ผานกงสั่วยกมือขึ้นต้านรับไจกระบี่ แต่ก็ต้องครางหนักๆ เมื่อถูกกดทับลงกับพื้น

ข่านหรวนตี้และคนอื่นๆ รีบพุ่งเข้าไปช่วยเหลือเขา ดังนั้นฉินมู่ จึงรีบเปิดถุงเต๋าตี้ของตนและดึงไจกระบี่กลับเข้าไปข้างใน เวลา เดียวกันนั้น เงาร่างของชายแก่หน้ายิ้มแฉ่งก็หายวับ เขาพุ่งวูบวาบ ราวกับเงาภูตผีผ่านตัวผู้คนทุกๆ คน และข่านหรวนตี้และพวกก็ ปั่นป่วนอยู่พักหนึ่งเพราะรู้สึกว่าพวกเขาถูกชายแก่ผู้นี้โจมตี!

ในตอนนั้นเอง ผานกงสั่วก็ไปปรากฏที่ไกลๆ ลอยอยู่กลาง อากาศพลางร้องตะโกน “ไม่จําเป็นต้องสู้กับเขา ข้าจะให้เขาได้ เห็นพลังอํานาจที่แท้จริงของสนามสงคราม…”

ฉินมู่และชายแก่ก็ไม่ได้อยู่สู้รบปรบมือต่อ พวกเขาวิ่งหนีไป ทันที ทิ้งฝุ่นตลบเป็นทางเมื่อพวกเขาตะบึงกลับไปยังด่านชิงเหมิน

ชายแก่ท่าทางใจดีผู้นั้นยกข้าวของที่เขาชิงมาได้อันสุมอยู่บน มือของเขากองเท่าภูเขา ทั้งเสื้อผ้า เครื่องประดับ และอาวุธ วิญญาณบนเนื้อตัวของข่านหรวนตี้และคนทั้งหมด ถูกเขาปอกลอกออกไปจนหมดเนื้อหมดตัว ปล่อยให้ผู้คนเหล่านั้นยืนกินลม เปลือยเปล่าทําอะไรไม่ถูก

ในมือของฉินมู่ซึ่งกําลังวิ่งหน้าตื่นกลับไปยังด่านชิงเหมินคือ หนังสือทองคํา และมีกางเกงในชิ้นหนึ่งอยู่ข้างใต้

ผานกงสั่วตะลึง จากนั้นรีบเปิดเสื้อผ้าของเขาดู ก่อนจะกรีด ร้องโหยหวนจนโลกตะลึง

หนังสือทองคําที่เขาซ่อนไว้ในอกเสื้อหายไป ทั้งกางเกงในเขา ก็หายไปพร้อมกับมันด้ว ย!

“ตามพวกมันไป!” ผานกงสั่วตะโกนด้วยเสียงเข้ม ในตอนนั้นเอง ประตูเมืองของด่านชิงเหมินก็เปิดกว้างออกมา

ไพร่พลและม้าศึกกรูกันออกมาจากในนั้น เรือเหาะจํานวนมากลอย

ขึ้นไปบนอากาศจากข้างหลังป้อมปราการ กราบเรือของพวกมันชี้ ไปทางด่านเฮ่อหลาน

ยักษ์หลายตนยืนอยู่บนกราบเรือ สองมือรัวตีกลองศึก เสียงเหล่านั้นคํารามมาดุจสายฟ้าฟาด

เสียงของราชครูสันตินิรันดร์ดังก้องไปทั้งเมืองด่าน “ทหาร ทั้งหลาย ถล่มด่านเฮ่อหลานให้ราบเป็นหน้ากลอง!”

AC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!