ตอนที่ 339 แม่ทัพเปียน
หากราชครูสันตินิรันดร์รู้ปูมหลังความเป็นมาของผู้เฒ่าทั้ง 9 เขาก็คงรู้ว่าทําไมฉินมู่ถึงมีสายตาและจิตใจอันกว้างขวางซึ่งผู้อื่น ในรุ่นราวคราวเดียวกันไม่มี
‘ผู้เฒ่า’ ทั้ง 9 คนแห่งหมู่บ้านพิการชราคือครอบครัวของฉินมู่ และยังเป็นอาจารย์ของเขา
ท่ามกลางคนทั้ง 9 นี้ มีทั้งยูไลองค์ปัจจุบัน ทวนเทวะแห่งยุค ก่อน เฒ่าใบ้ อันดับหนึ่งด้านการหลอมสร้างสมบัติผู้ซุกซนมาก เล่ห์เหลี่ยม นักปรุงยาผู้ครั้งหนึ่งคือชายรูปงามไร้ปานเปรียบแต่ โหดเหี้ยมไร้ปรานี ราชาพิษหน้าหยก และธิดาเทพแห่งลัทธิมารฟ้า โฉมสะคราญผู้ที่ทําให้ทั้งเทพและมารในโลกหล้าลุ่มหลง
และยังมีเฒ่าหนวก ผู้ได้รับการยกย่องเป็นศิลปากรศักดิ์สิทธิ์ โดยราชครูสันตินิรันดร์ เฒ่าเป๋ผู้ไม่เคยพลาดงานโจรกรรม และ สามารถหลบหนีจากเงื้อมมือเขาได้แม้ว่าจะถูกสะบั้นขาไปข้างหนึ่ง และคนแล่เนื้อผู้ซึ่งได้รับการขนาดนามว่าดาบสวรรค์ กวัดแกว่งมีด ของเขาขึ้นไปต่อสู้กับทวยเทพ
อีกทั้งยังมีกษัตริย์มนุษย์ผู้ยิ่งยงเกริกไกรจากยุคสมัยของ ราชครูอีกด้วย
ทุกคนนั้นล้วนแต่มีจิตใจกว้างขวางและเปิดเผย บางคนก็เจ้า อารมณ์ บางคนก็เปี่ยมเมตตา บางคนก็มั่นคง บางคนก็กลอกกลิ้ง
บางคนก็เงียบขรึม บางคนก็เต็มไปด้วยจิตวิญญาณห้าวหาญและ โลหิตอุ่นระอุ บางคนก็เก่งเรื่องการวางแผนร้าย และบางคนก็ไร้ ปรานี แต่กระนั้น พวกเขาทุกคนก็จริงใจเป็นอย่างยิ่ง มีจิตใจประดุจทารกแรกกําเนิด
นี่เพราะว่าหมู่บ้านเช่นนั้นและผู้คนเช่นนี้ ที่ทําให้ฉินมู่ได้รับ การบ่มเพาะจนกลายมาเป็นบุคคลดังที่เขาเป็น บุคคลที่แม้แต่ อัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์ซึ่งปรากฏทุกๆ 500 ปีก็ยังต้องชื่นชม
ฉินมู่ไม่รู้สึกว่าตนเองมีอะไรพิเศษ หลังจากที่เดินทางออกจาก หมู่บ้านพิการชรา เขาก็ไม่คิดว่าเขาแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง เพราะ
ถึงอย่างไร เขาก็คือกายาจ้าวแดนดิน ดังนั้นย่อมเป็นปกติวิสัยที่ เขาจะมีความสําเร็จในเรื่องโน่นนี่บ้าง จึงไม่จําเป็นต้องเอาเรื่อง
ธรรมดาพวกนั้นมาแตกตื่นใหญ่โต
แต่ทว่า ในสายตาของผู้อื่นแล้ว เขาคือตัวประหลาดอัจฉริยะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวางยาพิษหรือช่วยชีวิตผู้คน หรือแม้แต่การหลอม สร้างตีเหล็ก การลักขโมย การวาดภาพ และการคัดลายมือ เขาก็ เป็นมืออาชีพระดับต้นๆ ในโลกหล้าแห่งนี้
เพียงแต่กําลังการต่อสู้ของฉินมู่ยังไม่จับตาคนอื่นๆ เขาได้ฝึกปรืออย่างบากบั่นพากเพียรเพื่อเพิ่มพูนกําลังฝีมือ แต่จุดนี้ก็ยังไม่สะดุดตาในจักรวรรดิสันตินิรันดร์อันมีดวงดาราทอแสงประชันกันเต็มน่านฟ้า
แต่กระนั้นด้วยกําลังฝีมืออันไม่โดดเด่นของเขา ก็ทําให้ผานกงสั่วต้องเจ็บแสบพ่ายแพ้ไปรอบแล้วรอบเล่า และเรียกได้ว่ากวาดรุ่นเดียวกันทั้งหมดได้
ตอนที่เขาออกจากหมู่บ้านพิการชรา เขาไม่มีความสําเร็จใน เชิงพีชคณิต แต่เขาก็ได้พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดในภายหลัง แม้แต่ผู้คนจากสํานักเต๋าก็อาจจะไม่สามารถตรึกตรองทําความเข้าใจตําราคํานวณบรมปริศนาได้ดีเยี่ยมเท่ากับเขา แม้ว่าฉินมู่จะ
ไม่ใช่คนจากสํานักเต๋า แต่เขาก็ศึกษาตําราคํานวณบรมปริศนาได้ อย่างถ่องแท้ถึงรายละเอียด
เขาเริ่มต้นช้าแต่กลับถึงจุดสูงสุดก่อน ในโลกนี้คงมีไม่กี่คนที่ สามารถเหนือกว่าเขาได้ในเชิงพีชคณิต
ยิ่งราชครูเข้ามาสัมผัสกับเขามากเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกว่าเด็กหนุ่มผู้ นี้วิเศษเหนือธรรมดา
“หากว่าเราต้องการที่จะแปรเปลี่ยนเนื้อหาในหนังสือให้เป็นตัว แบบพีชคณิต เราก็จะต้องการผู้คนที่เชี่ยวชาญในเชิงพีชคณิตมา ช่วยอีกแรง”
ฉินมู่เก็บหนังสือทองคําและกล่าวต่อ “วิชาแรกนี้ เคล็ดลับสะพานนกกางเขน ข้าสามารถวัดแต่ละองค์ประกอบของมันได้ ครบถ้วนภายใน 1 เดือนและก่อสร้างตัวแบบพีชคณิตขึ้นมาได้ แต่ทว่าวิชาฝึกปรือที่ 2 เคล็ดลับนําทางปริศนา และวิชาฝึกปรือที่ 3 เคล็ดลับเทพยดาข้ามพ้น มีสิ่งต่างๆ มากมายเกินไปที่จะต้อง คํานวณ หากว่ามีแต่ข้าที่เป็นคนศึกษาจัดแจงมัน ก็คงจะใช้เวลา 1 ปีเต็ม ซึ่งนั่นยาวนานเกินไป”
ราชครูสันตินิรันดร์ ผู้ใหญ่บ้าน และเฒ่าเป๋เผยสีหน้า เคร่งเครียด ในการก่อสร้างตัวแบบพีชคณิต พวกเขาจะต้องวัดทุก แง่มุมในพื้นที่มิติของหนังสือทองคํา ใช้ตัวเลขมากมายเพื่อก่อสร้างพิกัดต่างๆ ของวิชาฝึกปรือทั้ง 3 ในพื้นที่ข้างนอกขึ้นมา ใหม่ จุดนี้สําคัญที่สุด!
หลังจากที่มีตัวแบบพีชคณิตแล้ว ก็ใช้อัตราส่วนจากสะพานเท วะในหนังสือทองคํามาเทียบกับสะพานเทวะของตนเองอีกที ก็ ย่อมจะสามารถคิดคํานวณพิกัดตําแหน่งและตัดสินใจได้ว่าจะโคจร วิชาอย่างไรในสมบัติเทวะของตน
เมื่อนั้นถึงจะนับได้ว่าผู้ฝึกสําเร็จเคล็ดลับสะพานนกกางเขน เมื่อมันซ่อมแซมเชื่อมต่อสะพานเทวะและยืดสะพานยาวออกไป เมื่อนั้นจึงจะเริ่มขั้นต่อไปได้ ซึ่งคือเคล็ดลับนําทางปริศนา บ่มเพาะ สะพานนําทางปริศนาจากวิมานสวรรค์ฝั่งตรงข้าม
หลังจากที่ฝึกปรือเคล็ดลับนําทางปริศนาแล้ว เพราะเขาจึงจะ สามารถเรียนรู้เ คล็ดลับเทพยดาข้ามพ้น
หากว่ามีความผิดพลาดใดในการคํานวณสะพานนกกางเขน สะพานนําทางปริศนา และสะพานเทพยดาข้ามพ้น พวกเขาก็จะไม่ สามารถประกอบทั้ง 3 อย่างเข้าด้วยกันได้ ความพยายามทุก อย่างก็จะสูญเปล่า และทุกสิ่งที่ทํามาก็จะเปลืองแรง!
“ในสํานักเต๋า ผู้ที่เก่งกาจพีชคณิตที่สุดคือเจ้าสํานักเต๋า แต่ ทว่าเขาออกจากตําแหน่งและไปที่ใดก็ไม่ทราบ อันดับถัดมาก็คงเป็นเจ้าสํานักเต๋าคนปัจจุบัน เต๋าจื่อหลินเสวียน”
ฉินมู่วัดต่อไปพลางกล่าว “ความสําเร็จของเขาในเชิง พีชคณิตนั้นสูงส่งอัศจรรย์ ข้าเห็นเขาร่ายรํากระบี่เต๋ามาก่อน พีชคณิตเขาแข็งแกร่งมาก”
ราชครูสันตินิรันดร์เริ่มปวดหัวตึ้บและกล่าวอย่างเนิบช้า “สํานักเต๋าและจักรวรรดิสันตินิรันดร์มี ความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดี แต่พวกเราก็ต้องเชิญเขามา นอกจากหนังสือทองคําแล้วยังมีปืนใหญ่เทวะยิงตะวัน! อาวุธนั้นสําคัญอย่างยิ่งยวด และพวกเราจะต้องสร้าง มันขึ้นมาให้จงได้ ด้วยกําลังคนของสํานักเต๋าเพียงเท่านั้นคงไม่ อาจทําทั้ง 2 อย่างนี้สําเร็จ ดังนั้นพวกเราก็จะต้องไปยังนครหยก น้อยเช่นกัน แต่ทว่า…”
เขามองไปยังทิศทางของทุ่งหญ้าและยิ่งปวดเศียรเวียนเกล้า เข้าไปใหญ่
บัดนี้เมื่อจักรวรรดิคนเถื่อนตี้พ่ายแพ้ ก็ย่อมเป็นโอกาสดีที่จะ เข้ายึดครองท้องทุ่งกว้าง เขาย่อมไม่ปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือไป เป็นแน่!
ในเวลาเดียวกันทางตอนเหนือนั้น ประเทศรังหมาป่าก็กําลัง โจมตีสันตินิรันดร์ ด้วยหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องจัดการจนล้นมือ ราชครูสันตินิรันด์ก็รู้สึกสมองโป่งพองแทบระเบิด
“ข้าคุ้นเคยกับเจ้าสํานักเต๋าเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นข้าไปที่สํานัก เต๋าได้ บางทีเจ้าสํานักเต๋าหลินเสวียนคงจะฮุบเหยื่อข้า” ฉินมู่แย้ม ยิ้มก่อนที่จะกล่าวต่อ “และข้าก็ยังสามารถแวะไปที่นครหยกน้อย ข้าได้พบหวางมู่หรานและอาจารย์ของเขา ผู้พเนจรเจิ้นมาก่อน”
“ข้าเป็นคนสังหารผู้พเนจรเจิ้น” ราชครูสันตินิรันดร์กล่าว “ส่วนเจ้าเป็นจ้าวลัทธิมารฟ้า ดังนั้นนครหยกน้อยอาจจะไม่ต้อนรับ เจ้า ”
ฉินมู่มองไปยังผู้ใหญ่บ้านและเฒ่าเป๋
“ในเมื่อข้าไม่มีอะไรจะทํา ดังนั้นออกมาแล้วไปเตร็ดเตร่เสีย หน่อยก็คงจะดี”
ราชครูสันตินิรันดร์เข้าใจความหมายและกล่าว “ในเมื่อพวก ท่านจะไปยังนครหยกน้อย ระหว่างนี้ข้าก็จะบุกเข้าไปในทุ่งหญ้า และถล่มวังทองโหรวหลันให้ราพณาสูร!”
“สมบัติ 100 ชิ้นที่นั่นเป็นของข้า!” ฉินมู่กล่าวทันที “เจ้าสัญญา
ไว้ว่าจะให้ข้าเลือกอะไรก็ได้! ”
ราชครูสันตินิรันดร์กล่าวอย่างเคร่งขรึม “ไม่ต้องกังวล ข้า สัญญาอะไรไว้ก็ต้องทําตามแน่นอน!”
ฉินมู่เบาใจแล้วก็แย้มยิ้มออกมา “ผู้ใหญ่บ้าน ท่านปู่เป๋ พวก เรากลับไปที่ด่านชิงเหมินกันเถอะ พวกเราจะพาเสียงซีอวี่และ บุตรสาวของนางและเจ้ามังกรอ้วนไปที่สํานักเต๋าและนครหยกน้อย”
ราชครูสันตินิรันดร์รีบเดินตรงไปยังด่านเฮ่อหลานส่วนฉินมู่ และที่เหลือก็กลับไปยังด่านชิงเหมินเพื่อไปรับเสียงซีอวี่และธิดาของนางติดไปด้วย เด็กหนุ่มจึงอุ้มผู้ใหญ่บ้านขึ้น และวางเขาไว้ในตะกร้าสมุนไพร
ฉินมู่เพิ่งตระหนักขึ้นมา “แย่ล่ะ ข้าไม่เคยไปนครหยกน้อยนี่!” ผู้ใหญ่บ้านกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าเคยไปที่นั่นมาก่อน มีแต่
พวกหนังหุ้มกระดูกผุๆ อยู่ที่นั่น ทั้งขี้เหนียวทั้งหัวแข็ง หากว่าเข้า
ไปที่นั่น เจ้าอาจจะโน้มน้าวพวกเขาไม่ได้”
เฒ่าเป๋ถูมือไปมาด้วยความตื่นเต้น “นครหยกน้อย! ข้าไม่เคย ไปที่นั่นมาก่อน! ถ้าไม่ได้ขโมยของจากแดนศักดิ์สิทธิ์ ชีวิตข้าคง ไม่เติมเต็มเป็นแน่! น่าเสียดายที่เฒ่าหม่าไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย…”
เสียงฉีเอ๋อโงหัวขึ้นมามองที่เฒ่าเป๋อย่างจริงจัง “ท่านปู่เป๋ ท่าน ขโมยของเดี๋ยวก็โดนเขาทุบตีจนตายหรอก”
เฒ่าเป๋ค่อนข้างเอ็นดูเด็กหญิงผู้นี้ และลูบหัวนางพลางส่งยิ้ม แฉ่ง “ฉีเอ๋ออยากเป็นมือศักดิ์สิทธิ์อันดับ 3 ในโลกไหม”
“อยาก!” เสียงของเด็กหญิงดังกังวาน
ในด่านเฮ่อหลาน กองทัพทั้งหลายกําลังตรวจตราความ เรียบร้อยของยุทโธปกรณ์ ขณะที่แม่ทัพใหญ่ทั้งหลายเข้ามา รายงานราชครูสันตินิรันดร์ด้านความสูญเสียของไพร่พลและยุทโธปกรณ์ จํานวนผู้เสียชีวิตในศึกนั้นไม่ร้ายแรงนัก และเทียบไม่ได้เลยกับการศึกยิบย่อยก่อนหน้านี้ อาวุธวิญญาณและเสบียง ศึกทั้งหลายเช่นอาหารและยาวิญญาณก็แทบจะไม่ถูกแตะต้อง
หัวหน้าโถงกระบี่และอวี๋เยียนชูอวิ๋นก็เข้ามารายงาน “ราชครู พวกเราไม่มีหินยาเหลือแล้ว”
“อะไรนะ” ราชครูสันตินิรันดร์ร้องออกมา
“หินยาของกองทัพใหญ่หมดไม่มีเหลือ” หัวหน้าโถงกระบี่กล่าวอีกครั้ง
“เป็นไปไม่ได้!” ราชครูสันตินิรันดร์พลันผุดลุกขึ้น “ในกองเรือ เหาะมีหินยาสํารองไว้ขนาดที่อยู่ได้ถึง 3 เดือน ทําไมมันถึง หายไปหมดได้ใน 1 วัน”
หัวหน้าโถงกระบี่ไม่กล่าวมากความ “หมดไปเพราะยิงปืน ใหญ่”
“ราชครู ปืนใหญ่ที่ได้รับการยกระดับพัฒนาโดยดุษฎีบัณฑิต ฉินนั้นมีอัตราเผาผลาญพลังงานสูงลิ่ว และเตาหลอมที่พัฒนาขึ้น ใหม่นั้นก็ต้องการหินยาเพิ่มมากขึ้นด้วย ในการต่อสู้เมื่อครู่นี้ ลําแสงปืนใหญ่ที่ยิงออกไปจากแต่ละกระบอกนั้นรุนแรงกว่าแต่ก่อน ถึง 100 เท่า! ดังนั้นหินยาจึงหมดสิ้นไปอย่างรวดเร็ว” อวี๋เยียนชูอวิ๋นอธิบาย
ราชครูสันตินิรันดร์ตั้งสติและกล่าว “ถ้าอย่างนั้น พวกเราคงไม่ ต้องให้กองทัพใหม่ร่วมการไล่ล่า ให้กองพันสัตว์ขี่ และหน่วย
เดินอากาศไล่ล่าทัพพ่ายศึก กองทัพใหญ่ของพวกเจ้าจงพักผ่อน ก่อนและจัดการเรื่องต่างๆ ในทัพให้เรียบร้อย เมื่อหินยาถูกขนส่ง มา ข้าจึงจะมีภารกิจใหม่ให้พวกเจ้า”
“ราชครู กองทัพใหม่นั้นยังไม่มีนาม ขอเชิญราชครูโปรดตั้ง ชื่อให้แก่พวกเรา” อวี๋เยียนชูอวิ๋นกล่าว
“ถ้าข้าเป็นคนตั้งชื่อกองทัพ ย่อมเป็นการละเมิดกฎ เรื่องนี้ต้อง ให้จักรพรรดิเป็นผู้กระทํา”
ราชครูสันตินิรันดร์โบกมือให้พวกเขาออกไปได้พลางครุ่นคิด ในใจ มันหมดเกลี้ยงไปอย่างนั้นได้อย่างไร สิ่งต่างๆ ที่จ้าวลัทธิฉิน ยกระดับพัฒนา เหมือนจะไม่ได้ใส่ใจเรื่องความประหยัดมัธยัสถ์ ทรัพยากรอันจัดหามาด้วยความยากลำบากของพวกเรา ราวกับว่า เขากลัวว่ากําลังยิงจะไม่รุนแรงเพียงพอ…
ในตอนนั้นเอง พลส่งสารจากหน่วยเดินอากาศก็เข้ามา รายงาน ด้วยเสียงพึ่บ นก 9 หัวก็ลงจอดกับพื้นและเถือกไถลไป ข้างหน้า แปลงร่างกลับมาเป็นผู้ฝึกวิชาเทวะ เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ประสานมือกล่าวรายงาน “ราชครูสันตินิรันดร์ แม่ทัพเปียนร้อง ขอให้หมอเทวดาฉินเร่งรุดไปยังแนวหน้า!”
ราชครูสันตินิรันดร์สะท้านใจ กองทัพทั้งหมดกําลังพักผ่อน และจัดกระบวนใหม่ มีแต่แม่ทัพเปียนที่ยกกองกําลังออกจากด่าน ชิงเหมินไปไล่ล่าศัตรู เขานั้นเตรียมที่จะไปสร้างความปั่นป่วนที่
เคหาสน์มังกรเหลือง เมืองหลวงแห่งจักรวรรดิคนเถื่อนตี้
เปียนเจิ้นอวิ๋นปกป้องพิทักษ์ด่านชิงเหมินมาชั่วนาตาปี และ คุ้นเคยกับทุ่งหญ้าเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเขาพากองกําลังหัวกะทิมุ่งตรง ไปยังเคหาสน์มังกรเหลือง อาจจะกล่าวได้ว่าเขาเคลื่อนที่ไปด้วย
ความเร็วดุจม้าเทวดา ดังนั้นการยึดครองเมืองหลวงก็มิใช่เรื่องที่ เป็นไปไม่ได้
“หมอเทวดาฉินได้เดินทางไปยังสํานักเต๋าและนครหยกน้อย แล้ว ไม่ได้อยู่ที่นี่อีกต่อไป เกิดอะไรขึ้น”
“พิษหมอผี!” ผู้ฝึกวิชาเทวะเปิดเสื้อของเขาและเผยให้เห็นหน้าอก รอยเขียว
ชํ้าเป็นจํ้าๆ ปรากฏอยู่บนร่างของเขา และยังมีแผลเน่าเปื่อยที่ขยายออกมา ผู้ฝึกวิชาเทวะนั้นขบฟันกล่าว “พี่น้องพวกข้าในกองทัพ ล้วนแต่ถูกทําร้ายจากพิษหมอผีกันทั้งสิ้น และตายไปเป็นจํานวน นับไม่ถ้วน! หมอทหารจากมหาวิทยาลัยจักรวรรดิกล่าวว่า พวกหมอผีใหญ่ได้แพร่พิษลงไปในแหล่งนํ้า!”
ราชครูสันตินิรันดร์มองดูร่องรอยเหล่านั้นด้วยสีหน้าเครียดขมึง จากนั้นรีบลุกขึ้น “พาข้าไปดูที่นั่น!”
ผู้ฝึกทักษะเทวะผู้นี้ได้ฝึกปรือทักษะเทวะร่างเนื้อ และหมายจะ แปลงร่างกลับไปเป็นนก 9 หัว แต่ราชครูสันตินิรันดร์ใช้พลังวัตร สะกดเขาไว้กับที่ ทําให้ร่างของอีกฝ่ายลอยขึ้นไปบนอากาศ พร้อมๆ กับเขา พลางกล่าวอย่างเคร่งขรึม “อย่าใช้พลังวัตรของ เจ้า ไม่อย่างนั้นพิษหมอผีจะยิ่งแพร่กระจายเร็วขึ้น เจ้าแค่คอยชี้ทิศทางให้ข้าก็พอแล้ว ”
ความเร็วของเขาไวอย่างยิ่งยวด และห้วงมิติใต้เท้าของเขาย่อ หดเข้ามาหากันอย่างรวดเร็ว หลังจากเวลา 1 ก้านธูป ราชครู สันตินิรันดร์ก็เดินทางข้ามระยะทาง 1,000 ลี้ ตามมาจนถึงกองทัพ ของเปียนเจิ้นอวิ๋น
ก่อนที่ราชครูสันตินิรันดร์จะลงมาจากท้องฟ้า เขาก็ตกตะลึง กับภาพที่เห็น
รอบๆ ข้างล้วนแต่เป็นซากศพของมนุษย์และปศุสัตว์ก่าย เกลื่อนไปทั่วทั้งท้องทุ่งกว้าง และไม่ใช่แค่ศพของกองทัพสันตินิ รันดร์ที่นําโดยเปียนเจิ้นอวิ๋น แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นของคนเลี้ยงแพะ เลี้ยงวัวที่อาศัยอยู่ในท้องทุ่งนี้เป็นเวลาหลายชั่วคน
อัตราการเน่าเปื่อยของแต่ละศพนั้น แตกต่างกันไปไม่ เหมือนกัน
บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยฝูงแมลงวัน หวี่หวึ่งล้อมรอบซากร่างนับ ไม่ถ้วน แต่ไม่มีแมลงวันตัวไหนกล้าลงไปแตะต้อง ตัวไหนที่ลงไปถึง พื้นก็จะตายในทันที!
หางตาของราชครูสันตินิรันดร์กระตุก ทันใดนั้น ผู้ฝึกวิชาเทวะ ข้างหลังเขาก็ครางหนักๆ และกระอักเลือดออกมาพร้อมกับเศษ เครื่องใน เขาตายอย่างน่าสังเวชและศพก็ร่วงลงจากท้องฟ้า
ราชครูสันตินิรันดร์หัวใจหนักอึ้งขึ้นทุกที ต่อให้ฉินมู่ หมอ เทวดาผู้นี้มาถึงที่นี่ ก็อาจจะทําอะไรไม่ได้ วังทองโหรวหลันได้แพร่ พิษใส่ทั้งท้องทุ่งหญ้า ระดับความกว้างขวางของมันนั้นมากมาย จนเกินไป!
ราชครูสันตินิรันดร์กำหมัดแน่นเมื่อเขาเดินผ่านทะเลและภูเขา แห่งซากศพ มีทหารหลายคนข้างๆ เปียนเจิ้นอวิ๋นที่ยังคงมีชีวิตอยู่ แต่ร่างกายของพวกเขากําลังเน่าเปื่อยอย่างรวดเร็ว
หางตาของราชครูสันตินิรันดร์กระตุกเมื่อเขามองไปทางแม่ทัพเปียนเจิ้นอวิ๋น ชายผู้นี้มีวรยุทธ์สูงส่ง พิษหมอผีจึงมิอาจกลํ้ากราย แต่ทว่าแม่ทัพเฒ่าผู้นี้มีสายตาว่างเปล่า เขานั่งอยู่อย่างเหม่อ ลอยข้างๆ นายทหารหนุ่มคนหนึ่งซึ่งก็คือบุตรชายของเขาอันได้ เสียชีวิตไปแล้วจากยาพิษ
“แม่ทัพเปียน…”
เปียนเจิ้นอวิ๋นเงยหน้าขึ้นมาอย่างงุนงน สายตาของเขาชืดชา ไร้ชีวิต ราชครูสันตินิรันดร์หันหลังและเดินกลับไปพลางกล่าวด้วย สีหน้าเคร่งขรึม “พวกเจ้าจงอยู่ที่นี่ อย่าเข้าไปในด่าน”
เปี้ยนเจิ้นอวิ๋นมองไปยังแผ่นหลังของเขาที่กําลังเดินห่างออกไปและร้องตะโกนขึ้นมาทันที “ราชครู เรายังมีบุตรแห่งสันตินิ รันดร์มากมายอยู่ที่นี่ พวกเราทิ้งให้พวกเขาตายที่นี่ไม่ได้…”
ราชครูสันตินิรันดร์ร่างสั่นเทิ้ม แต่เขาก็ไม่หยุดเดิน เขามุ่งหน้า กลับไปยังด่านเฮ่อหลาน
ในเมืองด่าน ราชครูสันตินิรันดร์มองไปยังผู้ฝึกวิชาเทวะแห่ง จักรวรรดิสันตินิรันดร์ที่กําลังถือขวดนํ้าเต้าสีเขียวออกไป ไม่มีใคร ปริปากพูดอะไร
“เริ่มได้” ราชครูสันตินิรันดร์หลับตาลงและโบกมือ “เทนํ้าลงไป ให้ท่วมท้องทุ่งหญ้าและชําระล้างพิษหมอผีออกไป”
ขวดนํ้าเต้าเปิดออก และเมฆดําทะมึนก็ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า คลี่คลุมท้องทุ่งกว้าง สายฟ้าแลบแปลบปลาบฟาดลงมา และห่าฝน หนักก็โหมซัดลงจากฟากฟ้า
10 วันให้หลัง พายุฝนก็สิ้นสุด ในตอนนั้นท้องทุ่งกว้างได้ กลายเป็นอาณาจักรแห่งนํ้าอันสุดลูกหูลูกตา
ราชครูสันตินิรันดร์เข้าไปในนั้นอีกครั้ง และเห็นผู้คนและปศุ สัตว์มากมายจมอยู่ใต้นํ้า เขาพบกองทัพแห่งด่านชิงเหมิน ซึ่ง หลงเหลือแต่แม่ทัพเปียนเจิ้นอวิ๋น คนอื่นๆ ได้ตายไปหมดสิ้น
“แม่ทัพเปียน โปรดกลับไปที่ด่านเถิด” ราชครูสันตินิรันดร์กล่าวอย่างนุ่มนวล
เปียนเจิ้นอวิ๋นมองไปที่เขาด้วยแววตาเหม่อลอยและคอตก “ข้า พาพวกเขาออกมา แต่ไม่อาจพาพวกเขากลับไป ข้าไม่สามารถสู้ หน้าพวกเขาได้… ราชครู นําศพของพวกเรากลับไปยังจักรวรรดิ เถิด… ข้าละอายเกินกว่าจะพบหน้าพวกท่าน!”
ราชครูสันตินิรันดร์อ้าปากจะเอ่ยวาจา แต่เปียนเจิ้นอวิ๋นชักก ระบี่ออกมาสะบั้นศีรษะของตนเอง สองมือของเขารับศีรษะนั้นยกลง ไปวางตรงหน้าราชครู
ราชครูสันตินิรันดร์ยกศีรษะที่เต็มไปด้วยผมขาวโพลนขึ้นมา พร้อมๆ กับที่ซากร่างของเปียนเจิ้นอวิ๋นล้มลงไปกับพื้น



