ตอนที่ 340 วิทยาการคํานวณของสํานักเต๋า
ราชครูสันตินิรันดร์เก็บศีรษะของเปียนเจิ้นอวิ๋นไว้เป็นอย่างดี พลางมองไปยังศพทหารบนพื้น หัวใจของเขาหวั่นไหว เขาเห็นว่า
เปียนเจิ้นอวิ๋นได้จัดเรียงวางศพทหารแห่งด่านชิงเหมินเหล่านี้ไว้ อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยระหว่างคืนวันที่ฝนตกหนัก แม่ทัพเฒ่า คงจะต้องฝ่าพายุและฝนเพื่อค้นหาศพทหารของเขามาจัดเรียงไว้ด้วยกัน
มีกระทั่งป้ายไม้ข้างๆ ผู้ตายแต่ละคน บนป้ายไม้คือนามของผู้ สละชีพ
ราชครูสันตินิรันดร์เดินไปข้างหน้า ศพของทหารแห่งด่านชิง เหมินเรียงรายอยู่ 2 ข้างทางเขารวมทั้งป้ายไม้เหล่านั้น และทุกๆ ป้ายมีนามจารึกไว้อยู่
เปียนเจิ้นอวิ๋นสามารถจดจําทหารทุกๆ คนใต้บัญชาของเขา สามารถเรียกชื่อแซ่ของทหารได้ทุกๆ คน!
“เจ้าเป็นแม่ทัพที่ดี”
ราชครูสันตินิรันดร์หยุดเดิน ไม่ก้าวต่อไปอีก เขาหันหลังกลับ เสื้อคลุมของเขาสะบัดไหวเมื่อศพทั้งหลายลอยขึ้นมา ตามเขากลับไปสันตินิรันดร์
ในประเทศเขตแดนตน ครอบครัวของทหารเหล่านี้ยังคงเฝ้ารอ การกลับมาของพวกเขา ผู้สละชีพบางคนก็เป็นบุตรของบิดา บาง คนก็เป็นบิดาเฒ่าของบุตร บางคนคือสามีที่พรากภรรยาออกมาสู้ รบ และยังมีผู้ที่เป็นธิดา ภรรยา และมารดาซึ่งมีผู้คนรอให้พวกเขา กลับไปที่บ้าน
เขาอยากจะส่งคนเหล่านี้กลับไป
“วังทองโหรวหลัน”
ราชครูสันตินิรันดร์มองไปทางทิศตะวันออก ก่อนจะหันศีรษะ กลับไปแล้วเดินกลับสู่สันตินิรันดร์
ยามราตรีมาถึง และโลกมิติอื่นก็ปรากฏซ้อนทับกับโลกใบนี้ เรือโบราณอันมีแสงภูตผีริบหรี่ลอยแล่นมา และผู้เฒ่ามากมายก็ ปรากฏตัวภายใต้จุดแสงมากมายเหล่านั้น พับคนกระดาษและเรือ กระดาษ ดวงวิญญาณในสนามรบขึ้นไปบนเรืออย่างเงียบงัน โดย ไม่มีใครปริปากเปล่งเสียง
ราชครูสันตินิรันดร์เดินผ่านไปข้างๆ ไม่รบกวนทูตแห่งแดนใต้ พิภพ
วีรบุรุษทั้งหลายที่ตายไปในการต่อสู้ และคนเลี้ยงสัตว์ทั้งหลาย แห่งท้องทุ่งหญ้าที่พลอยตายเพราะยาพิษไปด้วยนั้น จะถูกนําทาง ไปยังแดนใต้พิภพอันลึกลับ ไม่มีใครรู้ว่าจะมีใครมาต้อนรับพวก เขา
ในเวลาเดียวกันนั้น ฉินมู่ก็กําลังปีนขึ้นภูเขาหยกว่างคุนหลุน
สถานที่นี้รู้จักกันในนามสวรรค์หยกว่าง และดูไม่เหมือนโลก จริง ทุกที่ที่มองไปให้ความรู้สึกของแดนศักดิ์สิทธิ์ของเซียนผู้อมตะ แม้แต่ภัยพิบัติหิมะที่คลี่คลุมไปทั้งสันตินิรันดร์ไม่ส่งผลกระทบต่อ ที่นี่เลยสักนิด
นี่ไม่เหมือนกับเขาพระสุเมรุของวัดใหญ่ฟ้าคําราม อันตั้งอยู่สูง ลิ่วเหนือชั้นเมฆและมีวัดและโบสถ์มากมาย ที่สร้างเป็นภาพตระการ ตาอันผู้คนสามารถมองเห็นได้แต่ไกล พวกเขาจะจิตใจสั่นสะท้าน จากความยิ่งใหญ่ไพศาลของศาสนาพุทธ
สวรรค์หยกว่างตั้งอยู่ระหว่างภูเขา 2 ลูก และซ่อนอยู่ในที่ลึก หากว่าใครต้องการไปที่นั่น พวกเขาก็จะต้องพลิกหาทั่วขุนเขาและ แม่นํ้านับพัน และกระนั้นก็ยังอาจจะหาแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ไม่พบ
ผู้คนสํานักเต๋าชอบเก็บตัวบําเพ็ญเพียร พวกเขาไม่ชอบให้ ผู้อื่นมารบกวนความสงบ นักพรตเต๋าเหล่านี้ยากนักที่จะออกไป ข้างนอก
กิเลนมังกรมาถึงตีนภูเขา ที่ประตูภูเขาหยกว่างไม่มีสัตว์ พิสดารเฝ้าประตูอยู่ มีเพียงกระท่อมฟางเก่าๆ ที่มีนักพรตเฒ่าพัก อาศัย เมื่อคณะเข้ามาถึงที่นี่ นักพรตนั้นก็กําลังหุงหาอาหาร
ฉินมู่กระโดดลงจากหลังกิเลนมังกรและทักทายนักพรตเฒ่า “จ้าวลัทธินักบุญสวรรค์มาที่นี่เพื่อเยี่ยมพบเจ้าสํานักเต๋า ศิษย์พี่ท่านนี้ไปแจ้งข่าวแก่เขาให้ข้าได้หรือไม่”
นักพรตเฒ่าตกตะลึงและมองดูเขาอย่างเพ่งพิศ จากนั้นก็เหลือบมองตะกร้าสมุนไพรที่ฉินมู่แบบไว้บนหลังแวบหนึ่ง “ที่แท้ก็เป็นจ้าวลัทธิมารฟ้า เจ้าได้สังหารเข่นฆ่าศิษย์พี่ของนักพรตเฒ่าผู้ นี้ไปมากมายที่การต่อสู้กลางเมืองหลวง” นักพรตเฒ่าจึงหันมอง เฒ่าเป๋ขึ้นๆ ลงๆ และเผยสีหน้าสงสัยจับผิด
ฉินมู่แย้มยิ้มและกล่าว “นักพรตเต๋ากลัวผู้คนจะมารบกวน ความสงบตนเป็นที่สุด แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังออกไปรบกวนความ สงบสุขของผู้คน ก็สมควรตายแล้วล่ะ”
นักพรตเฒ่าส่ายหัวและกล่าว “เพื่อประโยชน์ของปวงชน บางครั้งนักพรตก็จะต้องลงมือ จ้าวลัทธิมารฟ้า ข้าจะไม่ถกเถียงกับ เจ้าหรอก พวกเจ้าขึ้นภูเขาไปเองละกัน อย่ารบกวนการบําเพ็ญ เพียรของข้า”
เฒ่าเป๋แย้มยิ้ม “ผู้คนสํานักเต๋าเกียจคร้าน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ หวงห้ามไม่ให้ใครปีนขึ้นภูเขาของพวกเขา ที่นี่มีกฎเกณฑ์อะไรไม่ มากหรอก”
นักพรตเฒ่ามองไปที่เฒ่าเป๋อีกครั้ง และสีหน้าของเขาพลัน แปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง “พวกเจ้าขึ้นภูเขาไปได้ แต่เฒ่าผู้นี้ขึ้นไป ไม่ได้ เขาต้องอยู่ที่นี่!”
ฉินมู่ฉงนฉงาย
นักพรตเฒ่ากล่าวอย่างเดือดดาล “ตอนแรกข้าก็จําเขาไม่ได้! ข้าจดจําได้ก็ตอนที่ได้ยินเสียงของเขา เมื่อครั้งโน้นโจรเทวะได้ขึ้น ภูเขาหยกว่างและอาละวาดสร้างความปั่นป่วน เขาขโมยของแทบ
ทุกอย่างที่พวกเรามี!”
“โน่นมันก็ตั้งกี่ปีมาแล้ว? ข้าได้ชําระล้างใจและกลับตัวใหม่ เป็นคนดีล่ะ” เฒ่าเป๋พึมพํา
“เต๊าะ เต๊าะ เต๊าะ!” นักพรตเฒ่าเมินเขาและเดาะปากเรียกสุนัข ของเขามา หมาตัวใหญ่ขนเหลืองเดินโยกไปส่ายมาจากห้องนํ้า พลางส่ายหางไปมา นักพรตเฒ่าจึงตะโกนด่ามัน “ไอ้หมานี่ มันอด ไม่ได้หรอกที่จะกินขี้!”
เฒ่าเป๋โมโห ไอ้นักพรตเฒ่านี่ด่าข้าแบบอ้อมๆ! แม้ว่าเขาจะเดือดดาล แต่ใบหน้าเขาก็ยังเต็มไปด้วยรอยยิ้มละมุนละไม ทําให้ ผู้คนรู้สึกราวกับถูกอาบไล้ด้วยสายลมวสันต์
ฉินมู่ใจเต้นมาวูบหนึ่ง และเขาลอบภาวนาให้นักพรตเฒ่านี้ รอดปลอดภัย
เขาแบกผู้ใหญ่บ้าน ขณะที่กิเลนมังกรตามพวกเขาขึ้นไปบน ภูเขา เฒ่าเป๋พลันพุ่งวูบราวเงาภูตผี และร่างของเขาก็หายวับ เขา หัวเราะ “หากว่าเจ้าไม่อยากให้ข้าขึ้นภูเขา ก็ลองหยุดข้าดูสิ ฮ่าๆๆ!”
นักพรตเฒ่ารีบไล่ตามไปทันที และทั้ง 2 คนก็หายลับเข้าไป ในภูเขาหยกว่าง
สักพักหนึ่ง ฉินมู่ก็เห็นนักพรตเฒ่าตรงครึ่งทางภูเขา ถูกปอก ลอกเสื้อผ้าไปจนเปลือยเปล่า เขานั่งยองๆ อยู่ที่หน้าผาอย่างหมด อาลัยตายอยาก เมื่อเขาเห็นฉินมู่ขี่กิเลนมังกรขึ้นมา นักพรตเฒ่า
ก็รีบกอดไหล่ตนเองเอาไว้ ฉินมู่แสร้งทําเป็นไม่เห็นและเดินผ่านเขาไป
นักพรตเฒ่ากําลังถอนหายใจโล่งอก แต่ฉินมู่พลันหันกลับมา และถาม “ข้าจะไปพบเจ้าสํานักเต๋าได้อย่างไร”
เฒ่าผู้นี้ทั้งโกรธและอาย “เจ้าสํานักเต๋าหลินอยู่ที่วัดหยกว่าง บนยอดเขา!”
ฉินมู่กล่าวขอบคุณเขา และนําผ้าผวยผืนหนึ่งโยนให้เขา นักพรตเฒ่ารีบรับมาทันทีและหมายจะกล่าวขอบคุณ แต่ฉินมู่เดิน จากไปแล้ว
เมื่อพวกเขามาถึงยอดเขา ก็เห็นนํ้าตกและนํ้าพุมากมาย ศิษย์ สํานักเต๋าจํานวนมากกําลังฝึกกระบวนท่ากระบี่ของตนใต้นํ้าตก ข้างๆ นั้นคือ 14 นิพนธ์กระบี่เต๋า แท่นจากรึกหินนั้นถูกจัดวางไว้ อย่างเปิดเผยเพื่อให้ทุกคนสามารถพิจารณาเนื้อหาของมันได้
ศิษย์สํานักเต๋าทั้งหลายฝึกกระบี่ด้วยวิธีการอันแปลกประหลาด ก่อนอื่นพวกเขาก็จะคิดคํานวณด้วยเครื่องมือต่างๆ ฉินมู่เห็นได้ว่า พวกเขาได้หลอมสร้างเครื่องมือคํานวณมากมาย อย่างเช่นผังอู๋จี๋ ผังไท่จี๋ ผังสี่สัญลักษณ์ ผังห้าธาตุ และผังแปดทิศ ให้กลายเป็น สมบัติวิเศษ
สร้างสรรค์โครงสร้างพื้นที่สามมิติอันประมวลผลคํานวณอย่าง ต่อเนื่อง
นักพรตพวกนี้เหมือนหมอฮวงจุ้ยเลย ฉินมู่คิดอยู่ในใจ เมื่อพวกเขาได้ข้อสรุปผลลัพธ์ ศิษย์สํานักเต๋าก็จะทะยาน
ขึ้นมา กระบี่บินของเขากวัดแกว่งฉวัดเฉวียน ร่ายรําเพลงกระบี่อัน เหนือธรรมดา
ฉินมู่อดไม่ได้ที่จะชมดูอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะอุทานด้วยความทึ่ง ในใจ สำนักเต๋านี่เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง พวกเขาจริงจังกับการแสวงหาความรู้มากนัก
นักพรตหญิงเยาว์วัยที่กําลังแสวงหาวิธีการแก้สมการ แต่ไร้ผล ทําให้นางกระวนกระวายจนเกาหูแกรกๆ เมื่อนางเห็นฉินมู่ นางก็รีบ เข้ามาทักทายเขา “ศิษย์พี่ท่านนี้ ท่านมาหาใครหรือ”
ฉินมู่กระโดดลงมาแล้วกล่าว “เจ้าสํานักเต๋าหลินอยู่หรือไม่ นามของข้าคือฉินมู่ ข้าต้องการเข้าพบเขา”
“เจ้าสํานักเต๋าอยู่ที่วัดหยกว่าง เขาเพิ่งกลับมาจากนครหยก น้อยเมื่อ 2 วันก่อน” นักพรตหญิงเยาว์วัยกล่าวพลางชี้ไปยังวัด เต๋าฝั่งหนึ่ง
ฉินมู่มองไปที่เครื่องมือคํานวณของนาง และยื่นนิ้วออกไปดีด 2 ทีที่จานผังแปดทิศนั้นด้วยรอยยิ้ม “แผนภาพดาวผังหกทิศ ลําดับที่ 64 สามารถไขได้ด้วยวิธีนี้”
นักพรตหญิงรุ่นเยาว์มองไปที่จานผังแปดทิศของนางทันทีและอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะลิงโลดยินดี
เมื่อคณะเดินทางจากไปแล้ว นางชีเฒ่าคนหนึ่งก็ถาม “บุคคล ผู้นั้นเป็นใคร”
“เขาว่าชื่อฉินมู่ และมาที่นี่เพื่อพบกับเจ้าสํานักเต๋าหลิน” นักพรตหญิงน้อยแย้มยิ้ม “เขาช่วยข้าแก้สมการแผนภาพดาวที่ ยากเป็นอย่างยิ่ง แต่กับเขาดูไม่ยากเลย ทําให้ข้าสามารถคํานวณ ทะลุปรุโปร่งถึงจํานวนดวงดาวบนทางช้างเผือก!”
นักพรตหญิงเฒ่าแตกตื่น “ฉินมู่? นั่นคือจ้าวลัทธิมารฟ้า! มาร เฒ่าตนนั้นเข่นฆ่าศิษย์พี่ของพวกเราไปไม่รู้ตั้งเท่าไร แต่ก็ยังมีหน้า บุกเข้ามาในสํานักเต๋าพวกเรา!”
นักพรตหญิงน้อยกระโดดโหยงด้วยความตกใจ “จ้าวลัทธิมาร ฟ้า? หรือเขามาที่นี่เพื่อสังหารเจ้าสํานักเต๋า พวกเราทําอย่างไรกัน ดี”
นางชีเฒ่าแย้มยิ้ม “วัดหยกว่างของพวกเรามียอดฝีมือทั้งหมด ของสํานักเต๋าอยู่ หากว่าเขาคิดจะทําอะไรไม่ดี ลัทธิมารฟ้าคงได้ แต่ต้องเลือกจ้าวลัทธิคนใหม่ พวกเราฝึกกระบี่กันต่อ ไม่จําเป็นต้องใส่ใจเขา”
ในวัดหยกว่าง ฉินมู่เห็นนักพรตเฒ่าและนางชีเฒ่าจํานวนมาก บางพวกก็นั่งยองๆ อยู่ในสวนเฝ้ามองดอกไม้ผลิใบด้วยความสน อกสนใจเป็นอย่างยิ่ง บางพวกก็นอนหมอบอยู่กับพื้นเฝ้าดูฝูงมด ต่อสู้กัน บางพวกก็ดื่มชาอย่างผ่อนคลายพลางเล่นหมากล้อม และ มีหลายพวกที่กําลังเป่าขลุ่ยอยู่ข้างเก๋งศาลา ขณะที่คนอื่นๆ เดินไป มาด้วยรองเท้าเก่าขาด ปลายรองเท้าทะลุเผยให้เห็นหัวแม่เท้า
ฉินมู่ถอยออกมาจากที่นั่น และเงยหน้าขึ้นมองที่ป้ายขวาง จารึกชื่อวัดอันแขวนไว้เหนือวัดเต๋าแห่งนี้ เขายืนยันให้แน่ใจว่านี่ คือวัดหยกว่าง ก่อนที่จะเดินเข้าไปอีกครั้งและถามนักพรตเฒ่าผู้
หนึ่ง “เจ้าสํานักเต๋าหลินเสวียนอยู่ที่ใด”
“เจ้าสํานักเต๋า!” นักพรตเฒ่าหันหน้าไปตะโกน “มีคนมาหา เจ้าแน่ะ!”
เสียงของเจ้าสํานักเต๋าหลินเสวียนดังมาจากส่วนลึกของวัดหยกว่าง “รู้แล้ว เดี๋ยวข้ากําลังจะออกไป! ช่วยต้อนรับพวกเขาก่อน ข้ากําลังติดพันการหลอมปรุงยาช่วงสําคัญ!”
นักพรตเฒ่าหันกลับมาแล้วก็กล่าว “ตามสบาย” ฉินมู่ระบายลมหายใจโล่งอก หลังจากรออยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ได้
ยินเสียงระเบิดดังสนั่น และควันรูปดอกเห็ดพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าจาก
ตําแหน่งที่เสียงของเจ้าสํานักเต่าหลินเสวียนดังมา นักพรตเฒ่าและ นางชีเฒ่าเหล่านั้นหัวเราะกันเซ็งแซ่ “เจ้าสํานักเต๋าทําเตาระเบิดอีก แล้ว !”
เจ้าสํานักเต๋าหลินเสวียนออกมาด้วยใบหน้าดําปื้นจากเขม่า และกล่าว “อาจารย์อา หากว่าท่านไม่ตะโกนเมื่อครู่ ข้าคงยังไม่ทํา หม้อระเบิดหรอก…จ้าวลัทธิฉิน!”
เจ้าสํานักเต๋าหลินเสวียนเห็นฉินมู่ก็ตกตะลึง เขารีบเช็ดเขม่า บนใบหน้าและถามด้วยท่วงทีเที่ยงธรรม “ไฉนจ้าวลัทธิมารฟ้าถึงมี เวลามาเยี่ยมเยือนสํานักเต๋าของพวกเรา”
“จ้าวลัทธิมารฟ้า?”
เมื่อเขากล่าวเช่นนั้น นักพรตเฒ่า และนางชีเฒ่าทั้งหลายก็หัน มามองฉินมู่เป็นสายตาเดียวกัน และเขาก็รู้สึกได้ถึงจิตสังหารที่แผ่ พุ่งมาจากสายตาเหล่านั้น!
ความบาดหมางระหว่างสํานักเต๋าและลัทธิมารฟ้าสามารถสืบ ย้อนไปได้ถึง 10,000-20,000 ปีก่อน ความขัดแย้งระหว่าง 2 สํานักฝังลึกเข้าไปในกระดูกดํา แถมฉินมู่ยังเพิ่งสังหารยอดฝีมือสํานักเต๋าในเมืองหลวงไปเกือบครึ่งเพื่อปราบปรามการกบฏของห ลิงอวี้เซี่ย ไม่น่าแปลกใจว่าทําไมยอดฝีมือทั้งหลายรอบๆ บริเวณนี้ จึงเผยจิตสังหารเข้มข้นออกมาเพียงได้ยินนามของเขา
สีหน้าฉินมู่ไม่แปรเปลี่ยน แต่ศีรษะที่มีผมขาวโพลนโผล่ขึ้นมา จากตะกร้าสมุนไพรบนหลังของเขา
ผู้ใหญ่บ้านมองไปรอบๆ ไม่ว่าสายตาของเขาจะกวาดไปที่ใด นักพรตเฒ่าและนางชีเฒ่าทั้งหลายก็จะหลบตา ไม่กล้ามองเข้าไป ในดวงตาของผู้ใหญ่บ้าน แต่รีบหันเหไปทํากิจธุระของตนเอง
ผู้ใหญ่บ้านจึงๆ ค่อยหดกลับเข้าไปในตะกร้าสมุนไพร ฉินมู่นําหนังสือทองคําออกมาแล้วแย้มยิ้ม “เจ้าสํานักเต๋าเฒ่า
อนุญาตให้ข้าอ่าน 14 นิพนธ์กระบี่เต๋า และข้าก็รู้สึกซาบซึ้งใจยิ่ง นัก บัดนี้เมื่อศิษย์พี่หลินได้กลายเป็นเจ้าสํานักเต๋า ข้าก็เลยมาที่นี่ เพื่อให้ท่านได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ข้าจะให้เวลาท่านอ่าน 3 วัน”
เจ้าสํานักเต๋าหลินเสวียนแย้มยิ้ม “ตอนนั้นเจ้าก็อนุญาตให้ข้า อ่านคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตเช่นกัน ดังนั้นเจ้ามิได้ติดค้างอะไร สํานักเต๋า หนังสือเล่มนี้…”
เมื่อสายตาของเขามองลงไปยังหน้าแรกของหนังสือทองคํา เขาก็ไม่อาจละสายตาไปได้ เขาอดไม่ไหวที่จะนําไม้บรรทัด มากมายออกมาวัดระยะต่างๆ ในภาพซํ้าแล้วซํ้าเล่า
ขณะที่เขาวัดอยู่นั้น เขาก็พึม พําสมการอันแตกต่าง หลากหลายในการคํานวณไปด้วย
เมื่อนักพรตเฒ่าและนางชีเฒ่าได้ยินเสียงงึมงําของเขา ตอนแรกก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่เมื่อสมการของเจ้าสํานักเต๋าหลินเสวียน
ลึกซึ้งลึกลํ้ามากยิ่งขึ้น และการคํานวณของเขาก็ยิ่งสลับซับซ้อน
พวกเขาก็อดสนใจใคร่รู้ไม่ได้
นักพรตเฒ่าคนหนึ่งเดินเข้ามา และสายตาของเขาถูกภาพใน หนังสือทองคําจับเอาไว้ทันที
ผ่านไปสักพัก ก็มีนักพรตเฒ่าและนางชีเฒ่าเข้ามาล้อมรอบ ทุกคนนั้นกําลังวัดประมาณและคิดคํานวณ
ขณะที่พวกเขางมงายกับการคํานวณอยู่นั่นเอง เวลาก็ผ่านไป โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว ทันใดนั้น ก็มีมือหนึ่งยื่นเข้ามาหยิบหนังสือ ทองคําไป และเสียงของฉินมู่ก็ปลุกพวกเขาให้ตื่นจากภวังค์ “เจ้า สํานักเต๋า และศิษย์พี่ทั้งหลาย เวลา 3 วันได้ผ่านพ้นไปแล้ว”
“นี่มัน 3 วันแล้วหรือ” หลินเสวียนและคนอื่นๆ ตื่นตระหนก ฉินมู่แย้มยิ้ม “ลาก่อน”
เมื่อเขากล่าวจบเขาก็หันกาย กะที่จะเดินทางกลับ
“โปรดยั้งเท้า!”
“จ้าวลัทธิฉิน โปรดยั้งเท้า!”
ฉินมู่หันกลับไปพร้อมกับรอยยิ้ม



