Skip to content

Tales of Herding Gods 349

Tales of Herding Gods
BC

ตอนที่ 349 ทลายด่านสามกําเนิด

C

ผู้สันโดษชิงโยวประเมินเพลงกระบี่ของฉินมู่ไว้อย่างลํ้าเลิศ หนึ่งในเพลงกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกหล้านั้นมิอาจได้มาเพียง แค่เรียนรู้เพลงกระบี่อันลึกซึ้งมหัศจรรย์ แต่ผู้นั้นจะต้องมีความ

เข้าใจในกระบี่อย่างลึกลํ้า เข้าสู่เขตขั้นของทักษะ อันผู้นั้นจะสามารถสรรค์สร้างเพลงกระบี่ของตนขึ้นมา

มาตรฐานของฉินมู่ในปัจจุบันนั้นก้าวเหนือไปกว่าขั้นวิชากระบี่และเข้าสู่ขั้นทักษะ แม้ว่าเขาจะบอกว่ากระบวนท่าของเขาเต็มไปด้วยช่องโหว่ แต่ผู้ที่สามารถมองเห็นช่องโหว่เหล่านี้ล้วนแต่ต้อง เป็นยอดฝีมือที่ก้าวครึ่งก้าวเข้าสู้ขั้นมรรคาเต๋า หรือมิเช่นนั้นก็ต้อง เข้าสู่ขั้นมรรคาเต๋าเรียบร้อยแล้ว!

ผู้คนระดับนี้หายากยิ่งกว่าหนวดเต่าเขากระต่าย ทั้งโลกหล้า สามารถนับได้ด้วยมือเดียว

การที่ฉินมู่เข้าสู่เขตขั้นทักษะด้วยอายุน้อยขนาดนี้ แม้ว่าเพลง กระบี่จะเต็มไปด้วยจุดอ่อนในสายตาตนเอง แต่มันก็ยังมหัศจรรย์ไร้ ใดเปรียบในสายตาของคนอื่นๆ ที่ยังไม่บรรลุถึงเขตขั้นดังกล่าว

กระนั้นผู้ใหญ่บ้านก็ยังไม่พอใจกับศิษย์เยี่ยงนี้ กล่าวว่าเขาเป็นเหมือนหม้อนํ้าผุที่มีรูรั่วเต็มไปหมด และจะตายอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้เมื่อเผชิญกับศัตรูที่เหนือกว่า

มาตรฐานของเขาสูงส่งเกินไป

แต่ฉินมู่กลับยอมรับอย่างหน้าชื่นและไม่มีความไม่พอใจเลย แม้แต่น้อย ความถ่อมตนเช่นนี้จริงใจเสียยิ่งกว่าความถ่อมตนที่เขา แสดงออกมาเมื่อเขาเอาชนะหลงอวี๋ได้

ผู้สันโดษชิงโยวส่ายหัว ศิษย์อาจารย์คู่นี้ล้นแต่ตัวประหลาด

สายตาของเขาเปล่งประกาย และกล่าวอย่างเคร่งขรึม “กษัตริย์มนุษย์ฉิน การพ่ายแพ้ของศิษย์ทั้ง 3 แห่งนครหยกน้อย ของข้ามิได้หมายความว่ากําลังฝีมือของท่านสูงส่ง ความสามารถ ของท่านนั้นสูงกว่าพวกเขาส่วนหนึ่งหรือสองส่วนเท่านั้น โถงแห่ง สามกําเนิดและโถงแห่งสามปราณต่างหาก คือบททดสอบที่แท้จริง!”

เมื่อเขากล่าวถึงตรงนี้ หลงอวี๋และมู่ชิงไต้เผยสีหน้าละอายราว กับพวกเขาคิดว่าผู้สันโดษชิงโยวพยายามรักษาหน้าให้พวกเขา แต่ในทางกลับกัน หวางมู่หรันมีสีหน้าเหมือนกําลังใคร่ครวญบางสิ่ง

“สายตาตัดสินของผู้อมตะชิงโยวนับว่าเหนือธรรมดา” ฉินมู่ ผงกหัว “กําลังฝีมือของข้าเหนือกว่าพวกเขาหนึ่งถึงสองส่วนจริงๆ”

ประโยคนี้มิใช่การถ่อมตนอีกต่อไป มันคือการกล่าว ข้อเท็จจริง

พวกเขาล้วนแต่อยู่ในขั้นหกทิศ และเมื่อกําลังฝีมือพลังวัตร ของพวกเขาขึ้นไปถึงระดับนั้น การที่มีแข็งแกร่งกว่าคู่ต่อสู้สักหนึ่ง หรือสองส่วน หมายความว่าสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ภายในหนึ่ง หรือสองกระบวนท่า!

เพราะถึงอย่างไร ขอบเขตวิสัยทัศน์และความรอบรู้ที่พวกเขา ครอบครองนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง!

เมื่อกําลังฝีมือของคนผู้หนึ่งมาถึงระดับขั้นนี้ หากว่าพวกเขา ต้องการจะเพิ่มพูนขึ้นไปอีก ก็จะต้องใช้ความพากเพียรอย่างหนัก หนาสาหัสเพื่อที่จะรุดหน้าไปอีกหนึ่งส่วน มันยากที่จะพัฒนา ยกระดับตนเองในเงื่อนไขเช่นนี้

ความเหนือกว่าหนึ่งถึงสองส่วนที่ว่าจึงยากนักที่จะได้มันมา! หากว่าฉินมู่มิได้ก้าวเข้าสู่เขตขั้นของทักษะ เขาจะต้องใช้

มากกว่าหนึ่งถึงสองกระบวนท่าในการเอาชนะหลงอวี๋และมู่ชิงไต้

“มู่หรัน พวกเจ้ากลับไปได้ กษัตริย์มนุษย์ฉิน ตามข้ามา ข้าจะ พาเจ้าไปยังโถงแห่งสามกําเนิด” ผู้สันโดษชิงโยวกล่าวแล้วก็เดิน ลงจากภูเขา

หวางมู่หรันและพรรคพวกเผยสีหน้าอิจฉา และหลงอวี๋ก็พึมพํา ด้วยเสียงเบา “เมื่อไหร่ข้าถึงจะเข้าโถงแห่งสามกําเนิดและโถงแห่ง ห้าปราณได้นะ…”

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวทันที “ขอบคุณเจ้ามากๆ สหายเต๋าชิงโยว!” ผู้สันโดษชิงโยวส่ายหัวแล้วกล่าว “กษัตริย์มนุษย์มีสิทธิ์โดย

ชอบที่จะเข้าไปในโถงแห่งสามกําเนิด และโถงแห่งห้าปราณ”

ฉินมู่ตามพวกเขาไป ฉงนฉงาย จากคำพูดของพวกเขา โถง แห่งสามกำเนิดและโถงแห่งห้าปราณดูไม่เหมือนบททดสอบ แต่กลับเป็นโอกาสวาสนาอันยิ่งใหญ่ ท่านปู่ผู้ใหญ่บ้านถึงกับล่าขอบคุณผู้อมตะชิงโยว 2 ครั้ง ถ้าเขาทำเช่นนั้น แสดงว่าสถานที่ที่ว่านั่นม่ธรรมดา แต่ทว่า มิใช่ว่าซวีเซิงฮวาก็ได้เข้าไปในโถงแห่งสามกำเนิดและโถงแห่งห้าปราณหรอกรึ เขาใช้เวลาเพียง 10 วันก็ผ่าทั้งสองโถงมาได้ ดังนั้นมันดูไม่เหมือนสิ่งที่ควรค่าแก่คำขอบคุณของท่านปู่ผู้ใหญ่บ้านเลย

เดิมทีเขาคิดว่าโถงแห่งสามกําเนิดและโถงแห่งห้าปราณ คงจะ เป็นแค่เหล่าเซียนแห่งนครหยกน้อยมาต่อสู้กับเขาด้วยตนเอง สร้างบททดสอบบางอย่างกับเขา แต่ตอนนี้เขาชักไม่แน่ใจเสียแล้ว

ผู้ใหญ่บ้านลอยเข้ามาและแย้มยิ้ม “ในเมื่อมู่เอ๋อได้รับอนุญาต ให้เข้าไปในโถงแห่งสามกําเนิด และโถงแห่งห้าปราณ ไฉนเจ้าไม่ เปิดโถงแห่งหกทิศให้เขาด้วยเสียเลยล่ะ”

ผู้สันโดษชิงโยวยิ้มหยัน “สหายเต๋า ได้คืบอย่าเอาศอก!” ผู้ใหญ่บ้านยิ้มหยันกลับ “เจ้าให้ซวีเซิงฮวาจากเหนือฟ้าเข้าไปในโถงแห่งสามกําเนิดและโถงแห่งห้าปราณ แล้วกษัตริย์มนุษย์ด้อยกว่าซวีเซิงฮวาตรงไหน”

ผู้สันโดษชิงโยวส่ายหัว “เหนือฟ้านั้นแข็งแกร่งอย่างสุดขีด และไม่ด้อยไปกว่าโถงแห่งกษัตริย์มนุษย์ พวกเขาแข็งแกร่งกว่าเสีย ด้วยซํ้า ข้าจะต้องทําตัวเหมือนตาชั่งอันเที่ยงธรรม ในเมื่อข้าไม่อาจแสดงความลําเอียงให้ผู้คนติฉินได้”

ผู้ใหญ่บ้านพยายามยั่วยุเขา “แดนศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งของ โลกหล้าก็งั้นๆ ไม่ใช่ว่าเจ้าก็แค่กลัวว่าเหนือฟ้าจะมาตอแยเจ้าหรอกหรือ”

ผู้สันโดษชิงโยวกล่าวอย่างไม่ยี่หระ “เจ้ายั่วข้าไม่ขึ้นหรอก ที่ นครหยกน้อยถูกรํ่าลือว่าเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งนั้น ก็เพราะว่าคนนอกบีบให้พวกเราต้องยอมรับป้ายพะยี่ห้อนี้ พวกเรา ไม่เคยอวดอ้างด้วยตนเอง สหายเต๋า อย่าพยายามเลย”

ระหว่างที่คุยกันนั้น พวกเขาก็มาถึงขุนเขาผู้อมตะลูกหนึ่งและ เดินขึ้นไปบนยอด จนกระทั่งโถงแห่งสามกําเนิดปรากฏขึ้นมา ตรงหน้าพวกเขา ที่นั่นมี 3 ผู้อมตะแห่งนครหยกน้อยรออยู่ข้าง นอกโถงวัง อันดูชราภาพเสียยิ่งกว่าผู้ใหญ่บ้าน เจ้าสํานักเต๋า และ คนรุ่นนั้น เบ้าตาของพวกเขาลึกโหลเข้าไป ทําให้ลูกตาเขาดูเล็ก และกลมดิก ผมขาวโพลนของพวกเขากับคิ้วยาวนั้นถึงกับระพื้น ดังนั้นแม้ว่าพวกเขาจะยืนอยู่ แต่ก็ดูเล็กเตี้ย

ส่วนสูงของเซียนเฒ่าทั้ง 3 และเสียงฉีเอ๋อนั้นพอๆ กัน

“ศิษย์พี่ทั้งหลาย ต้องลําบากพวกท่านแล้ว” ผู้สันโดษชิงโยว ทักทาย 3 คนนั้น

เซียนเฒ่าทั้งหลายคารวะตอบกลับไปและกล่าว “กษัตริย์มนุษย์มาเยี่ยมเยือน พวกเราจึงย่อมต้องมาต้อนรับเขาเป็นอย่างดี”

ผู้ใหญ่บ้านสายตาวูบไหวและกล่าว “3 กําเนิดแห่งนครหยก น้อย? พวกเจ้าทั้ง 3 ยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร พวกเจ้าอายุมากกว่า ข้าเยอะ!”

3 เซียนเฒ่ามองไปที่เขา และหญิงเฒ่าคนหนึ่งกล่าวด้วย ปากยุบโบ๋อันปราศจากฟัน “ภูติบดีคงจะลืมพวกเราไปแล้ว นั่นจึง ทําให้เขาไม่มาพรากชีวิตพวกเราไป”

ผู้ใหญ่บ้านได้แต่พิศวง

3 ผู้อมตะลากคิ้วและเส้นผมยาวๆ ของพวกเขาเข้าไปในโถง และกล่าว “กษัตริย์มนุษย์ เชิญตามพวกเรามา”

ฉินมู่ตามพวกเขาไป และอดหวั่นไม่ได้ว่า 3 คนนี้จะเหยียบ สะดุดคิ้วและเส้นผมของพวกเขาเมื่อไหร่ แต่โชคดีที่เรื่องแบบนั้นไม่ เกิดขึ้น คิ้วยาวและเส้นผมระพื้นขาวโพลนของพวกเขาราวกับวัตถุ มีชีวิตที่สามารถปัดไปมาหลบเท้าเองได้

หรือว่าพวกเขามีชีวิตอยู่ยาวนานจนแม้กระทั่งเส้นผมก็มีจิต วิญญาณขึ้นมา ฉินมู่คาดคะเนในใจ

ทันใดนั้น เขาก็เหยียบขึ้นไปบนอากาศทะยานขึ้นไปบน ท้องฟ้า ปราณชีวิตของเขาสั่นสะเทือน และแปรเปลี่ยนเป็นปีกคู่ หนึ่งบนหลังของเขา ฉินมู่กระพือมันเพื่อลอยอยู่กลางอากาศ ร่าง ของเขากระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะปีก

ตรงหน้าเขา มีเพลิงไฟอันเจิดจรัสบาดตาเขา รอยพยุหะ ปรากฏในม่านตาของเขาชั้นแล้วชั้นเล่าเมื่อฉินมู่เปิดใช้วิชาปลุก เนตรสวรรค์เก้าเพื่อปลุกเนตรสวรรค์เขียว เมื่อนั้นเขาจึงสามารถ

มองไปยังเพลิงไฟอันเจิดจ้าตรงหน้าเขา

เพลิงนั้นโหมท่วมฟ้า แต่ไม่นานนักมันก็เคลื่อนตัวห่างออกไป ดวงตะวันอันร้อนแรงถอยห่างออกไปจากเขาเรื่อยๆ จนกระทั่งหยุด ที่กลางนภากาศ

จากนั้นความรู้สึกเย็นซ่านก็แผ่มาจากข้างหลังเขา ฉินมู่รีบหัน ไปดูและเห็นดวงจันทร์มหึมาบังฟ้าที่ข้างหลังตน มันก็ถอยห่าง ออกไปอย่างรวดเร็ว

“กําเนิดฟ้าคือดวงตะวัน กําเนิดนํ้าคือดวงจันทร์ แล้วกําเนิดดินอยู่ที่ใด”

ฉินมู่มองไปที่เท้าของเขาและเห็นกระแสอากาศสีเหลือง ไหลเวียนไปทั่วทุกหนแห่ง เมื่อมันม้วนตัวอยู่ข้างล่าง ภูเขามหึมาก็ค่อยๆ ผงาดขึ้นมาจากพื้นดินโดยไร้แบบแผน

เมื่อ 3 กําเนิดไหลเวียนด้วยกัน พวกมันก็กลายเป็นเนินเขา เขียวขจีและนํ้าใสไหลเย็นอันทุกสรรพชีวิตได้กําเนิดและเติบโตใน โลกอันสงบงามและเป็นมงคลแห่งนี้

“กษัตริย์มนุษย์ ท่านเลือกที่จะทลายด่านกําเนิดฟ้า ด่านกําเนิดดิน หรือด่านกําเนิดนํ้า?” เสียงกัมปนาทอันสามารถทําให้ผู้คนหูดับได้เปล่งถามขึ้นมา

ฉินมู่มองไปยังทิศทางเสียง และเห็นเทพเจ้าทองคําสุกปลั่งยืน ตัวตรงอยู่ในกลางดวงอาทิตย์ ข้างหลังเขาคืออีกาทองคํา 3 ขา เทพเจ้าตนนี้ก็มี 3 ขาเช่นกัน และที่หน้าผากของเขาก็ดวงตาที่ สาม ส่วนในมือของเขาคือระฆังใหญ่

ฉินมู่หันกลับไปมองและเห็นว่ามีสตรีอยู่ในดวงจันทร์ นางนั้น เปล่งประกายเรืองรองด้วยแสงเงินระยับ เส้นผมของนางก็ราวกับ เส้นไหมเงิน คางคกตัวใหญ่ยืนอยู่ข้างหลังนางด้วยดวงตามันมืดมนและขมุกขมัว เทพนารีตนนี้ถือต้นหอมหมื่นลี้ไว้ในมือของ นาง และสวมเสื้อผ้าสีขาวเงินอันโบกสะบัดไปตามลม

ฉินมู่มองลงไปข้างล่างและเห็นเทพเจ้าตนที่ 3 ร่างกายของ เขาสูงเยี่ยมและยืนตระหง่านด้วยมังกรเหลืองกระหวัดพันรอบๆ กายเขา มวลอากาศเหลืองผุดขึ้นผุดลงใต้เท้าของเขาเมื่อพวกมัน ไหลเวียนไปรอบๆ

ฉินมู่สูดลมหายใจเข้าไป และพบว่ามีพลังงานอันแปลก ประหลาดไหลเวียนเข้ามาในร่างกายของเขา นี่ทําให้ทารก วิญญาณของเขาโตขึ้นอีกนิดหน่อย

เขาอดไม่ได้ที่จะตระหนกตกใจ หลังจากที่ฝึกปรือมาถึงขั้นนี้ แง่มหัศจรรย์ของทารกวิญญาณเกือบทั้หมดก็ถูกขุดค้นออก มาแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีความคืบหน้าเพิ่มเติมอีก แต่กระนั้นในสถาน

ที่นี้ สมบัติเทวะทารกวิญญาณดูราวจะสามารถพัฒนารุดหน้า ต่อไปได้!

“ที่นี่คืออะไร” ฉินมู่ถามด้วยเสียงอันดัง “แล้วผู้เฒ่าทั้ง 3 เมื่อ ครู่หายไปไหน”

“นี่คือสมบัติทารกวิญญาณของเทพเจ้าตนหนึ่ง” เทพร่างทอง สุกสกาวในดวงตะวันกล่าว เสียงของเขาเหมือนสายฟ้าฟาด “เทพ เจ้าตนนี้สิ้นชีวิตไปแล้ว เหลือแต่ร่างกายเอาไว้ ข้าคืออาจารย์ วิญญาณกําเนิดฟ้า ด้วยวิชาลับหนึ่ง ข้าได้กลายเป็นกําเนิดฟ้าของเทพเจ้านี้”

“ข้าคืออาจารย์วิญญาณกําเนิดนํ้า” เสียงจากดวงจันทร์อัน ส่องกระจ่างข้างหลังฉินมู่ดังมา “ข้าใช้วิชาลับ เพื่อกลายเป็นกําเนิดนํ้าของเทพเจ้านี้”

“และข้าคือกําเนิดดิน” แผ่นดินใต้เท้าของฉินมู่โป่งพองและผุดขึ้นมา ยักษ์ตนนี้ยืนนิ่ง

แต่ร่างของเขายกขึ้นยกลงจากการผุดขึ้นลงของมวลอากาศ ภูเขา

อันใหญ่มหึมาและบิดเบี้ยวก็ยกตัวขึ้นมาจนถึงข้างหน้าฉินมู่

ยักษ์นั้นมองฉินมู่ลงมาจากเบื้องบน “อาจารย์วิญญาณกําเนิด ดินน้อมพบกษัตริย์มนุษย์!”

หลังจากอึ้งไปครู่หนึ่ง ฉินมู่ก็เกิดตระหนักขึ้นมา

“พวกท่านอายุมากกว่าท่านปู่ผู้ใหญ่บ้านมากมาย แต่เหตุผลที่ พวกท่านยังไม่ตายมิใช่ว่าภูติบดีลืมพวกท่านไป และเพราะว่าพวก ท่านได้หยิบยืมสมบัติเทวะทารกวิญญาณของเทพเจ้าตนนี้เพื่อดํารงชีวิตต่อไป!”

อาจารย์วิญญาณกําเนิดดินไม่ได้มีท่าทีอันสั่นงันงกของผู้เฒ่า อย่างที่เขาเป็นนอกโถง เขากล่าวด้วยเสียงอันหนักแน่นอย่างหา ที่สุดไม่ได้ “ที่ท่านคะเนนั้นถูกต้อง! กษัตริย์มนุษย์ล้วนแต่เป็นชน

ชั้นที่ฉลาดเฉียบแหลม อายุขัยของพวกเราได้เกินเลยมาแล้ว 2,000 ปี และหากว่าเป็นคนอื่นๆ ก็คงตายไปสองสามรอบแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นจอมยุทธ์ผู้มีกําลังฝีมือลํ้าเลิศเข้าใกล้เทพเจ้า พวกเขาก็ยังคงไม่อาจหลบลี้ชะตาของการเกิด แก่ เจ็บ ตายไปได้ แต่ทว่าพวกเราดํารงชีวิตอยู่ต่อด้วยการฉวยโอกาสนี้”

แสงทองส่องวูบวาบออกมาจากร่างอาจารย์วิญญาณกําเนิด ฟ้า และเพลิงไฟก็พวยพุ่งออกมาจากข้างหลังเขาเหมือนสายรุ้งและ ปีกอัคคี “พวกเราไม่ได้รักตัวกลัวตายจนพยายามกอดชีวิตไว้ให้ มั่นที่สุด แต่กําลังพยายามที่จะเลือกสรรยอดอัจฉริยะแห่งนครหยก

น้อยเพื่อผลักดันพวกเขาให้รุดหน้าไปอีกก้าว พวกเราหมายให้ พวกเขาได้ประจักษ์แง่อัศจรรย์ของสมบัติเทวะในร่างเทพเจ้าเพื่อให้ พวกเขาสามารถทลายขั้นวรยุทธ์”

“แต่ทว่า หากพวกเขาหมายจะได้รับผลประโยชน์ที่ว่า พวก เขาต้องผ่านด่านทดสอบแห่ง 3 กําเนิด”

ข้างหลังฉินมู่อาจารย์

วิญญาณกําเนิดนํ้ามายังข้างกายของฉินมู่ด้วยรัศมีแสงอันขาวยวง เหมือนรุ้งเงิน นางกล่าวต่อ “ด่านทดสอบแห่ง 3 กําเนิดนั้นจะให้ผู้ ท้าทายต้องต่อสู้กับยอดฝีมือ 3 คนที่จําแลงมาจาก 3 กําเนิด

ของเทพเจ้านี้ ท่านรู้สึกได้หรือไม่ ในสถานที่นี้ ความหนาแน่นของ 3 กําเนิดนั้นมีมากเพียงพอที่จะผลักดันทารกวิญญาณของท่าน ให้รุดหน้าขึ้นไปอีกระดับ! แต่ทว่า นับแต่โบราณกาลมา มีน้อยคน

นักที่จะสามารถไปถึง 3 กําเนิดของเทพเจ้าได้ ผู้ที่ทําเช่นนั้นล้วน แต่เป็นยอดคนอันลํ้าเลิศ”

มีสถานที่เช่นนี้ในนครหยกน้อยด้วยหรือ?

ฉินมู่ตาลุกวาบ 3 กําเนิดคือ กําเนิดฟ้า กําเนิดดิน และ กําเนิดนํ้า หากว่าเขาสามารถบรรลุทั้งสามกําเนิด วรยุทธ์ทารก วิญญาณของเขาก็จะทลายไปอีกขั้น!

ในเมื่อทารกวิญญาณของเขาแข็งแกร่งเพียงพอที่จะถูกมองว่า เป็นตัวประหลาด แล้วหากมันทลายไปอีกขั้นจะน่าสะพรึงกลัวแค่ ไหน

แต่ทว่า จากที่อาจารย์วิญญาณทั้ง 3 กล่าว เขาจะต้องท้าสู้ กับยอดฝีมือแห่ง 3 กําเนิดเพื่อจะได้มาซึ่งโชควาสนานี้ และการ ต่อสู้กับเทพเจ้าก็ยังคงทําให้เขากระสับกระส่าย

“โถงแห่ง 3 กําเนิดสามารถท้าทายได้เพียงครั้งเดียว! เช่นนั้น แล้วท่านจะเลือกทลายด่านกําเนิดฟ้า ทลายด่านกําเนิดดิน หรือ ทลายด่านกําเนิดนํ้า?” 3 เทพเจ้าเปล่งเสียพร้อมๆ กัน

ฉินมู่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงถามด้วยเสียงอันดัง “ผู้อาวุโส ทั้งหลาย แล้วทลายด่านไหนจึงจะแข็งแกร่งที่สุด”

“แน่นอนว่าย่อมต้องเป็นทลายด่าน 3 กําเนิดที่แข็งแกร่ง ที่สุด!” ทั้ง 3 คนกล่าวพร้อมๆ กัน

ฉินมู่ใจฮึกหาญขึ้นมา และเขากล่าวด้วยเสียงดังกังวาน “ถ้าเช่นนั้น ข้าเลือกท้าทายทั้ง 3 กําเนิด!”

3 เทพเจ้ามองหน้ากันไปมา และเห็นความตกตะลึงใน สายตาของแต่ละฝ่าย

“ตามท่านประสงค์!”

ดวงตะวันสั่นสะเทือน และเปลวเพลิงก็พวยพุ่งออกมาเป็นสาย ในเวลาเดียวกันแสงสีเงินและแสงสีเหลืองก็ยิงออกมาจากดวงจันทร์ และจากพื้นดิน แสงเหล่านั้นแปรเปลี่ยนเป็นเด็กหนุ่ม 3 คนอันมีรัศมีแข็งแกร่งอัศจรรย์ ที่น่าแปลกคือพวกเขาทั้ง 3 หน้าตา เหมือนกันยังกับแกะ

เด็กหนุ่ม 3 คนล้วนแต่มีวรยุทธ์ขั้นหกทิศ ทันใดนั้นพวกเขา เดินเข้าไปชนกัน และร่างของพวกเขาก็ซ้อนทับกันเป็นหนึ่งเดียว รัศมีพลังของร่างนี้พลันทวีคูณขึ้นอย่างมหันต์ และหางตาของฉินมู่ ก็กระตุกอย่างรุนแรง

บางทีเลือกทลายด่ากำเนิดฟ้าน่าจะปลอดภัยว่านะ… เขา คิดในใจ

AC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!