Skip to content

Tales of Herding Gods 359

Tales of Herding Gods
BC

ตอนที่ 359 อาหารในโลกปุถุชน

C

ซวีเซิงฮวาค่อยๆ ฟื้นสติขึ้นมาอีกครั้ง และพบว่าตนเองนอนอยู่บน เตียงผู้ป่วย มีผ้าอุ่นชุบนํ้าหมาดวางแปะไว้บนหน้าผากของเขา อันรู้สึก ปวดจนแทบจะแตกแยกออก มันดูราวกับว่ามีสรรพเสียงนับล้านๆ กรีด ร้องอยู่ในจิตของเขา ระงมอยู่ข้างหู

หัวของเขาแตกจนแทบระเบิด ความเจ็บร้าวเช่นนี้ทําให้เขาไม่หวัง อะไรอื่นนอกไปเสียจากตัดหัวของตนเองออกไปและเตะให้ไกลที่สุดเท่าที่ จะทําได้!

เขาอดที่จะครางออกมาไม่ได้ และเสียงของจิงเอี้ยนก็ดังมาจากข้าง นอก “คุณชายฟื้นแล้วหรือ”

นางรีบรุดเข้ามา พร้อมกับกลิ่นยาที่อวลตัว นางมองไปที่เขาด้วย สายตาประหลาดใจแกมยินดี

“ข้าพ่ายแพ้” ซวีเซิงฮวามีสีหน้าแข็งทื่อ

จิงเอี้ยนกล่าวทันที “คุณชายหลับไปนาน ข้าจะต้มยาให้ท่าน…”

“ข้าหลับไปนานแค่ไหน ที่นี่คือที่ใด” ซวีเซิงฮวาถามด้วยความมึนงง เมื่อเสียงหัวใจเต้นตึกๆ ของตนดังกึกก้องในจิตของเขา

“พวกเรายังคงอยู่ที่เมืองหลวง และคุณชายได้หลับไปเป็นเวลา 2 วัน”

จิงเอี้ยนช่วยให้เขาลุกขึ้นพิงเตียง นางกล่าว “พี่อวี้หลิ่วได้ยินว่าใน จักรวรรดิสันตินิรันดร์มีหมอเทวดาอันฝีมือลํ้าเลิศ นางจึงรีบออกไปเชื้อ เชิญเขา”

ซวีเซิงฮวาพยายามยกมือขึ้น แต่แล้วก็ครางด้วยความเจ็บ ราวกับว่า หัวของเขาถูกผ่าแยกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยมีดดาบ

“คุณชายอย่าขยับหรือคิดอะไรจะดีที่สุด!” จิงเอี้ยนรีบกล่าวทันที “คุณชายถูกเจ้าคนชั่วแซ่ฉินหลอกนําไปและตามเขาไปโดยไม่ยินยอม

เขาโจมตีและท่านตั้งรับซึ่งทําให้ท่านอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบ นอกจากวิชาฝึกปรือแล้ว ท่านยังต้องสรรค์สร้างทักษะเทวะอย่างต่อเนื่อง เพื่อทลายการจู่โจมของเขา ดังนั้นท่านจึงเผาพลาญพลังสมองมาก

เกินไป หากว่าท่านเริ่มคิด ท่านก็จะใช้จิต และในเมื่อจิตของคุณชาย ได้รับบาดเจ็บ ท่านจึงควรพักผ่อนก่อนดีกว่า รอให้หมอเทวดามาเถอะ”

ซวีเซิงฮวาหลับตาลงและไม่กล่าวอะไร เขาก็ไม่ขยับเขยื้อนด้วย เช่นกัน

เขาจําได้ถึงสถานการณ์ในตอนนั้น แรกสุดฉินมู่ได้ใช้ปืนใหญ่เทวะ ยิงตะวันเผื่อเผาผลาญพลังสมองของเขาไปจํานวนหนึ่ง และหลังจากที่ เขามองทะลุแผนร้าย อีกฝ่ายก็กดดันเขาทางจิตและชักนําเขาไปตามจังหวะ

เมื่อทั้ง 2 ฝ่ายเดินไป พวกเขาได้ประชันกันด้วยรัศมี ฉินมู่กําความ เหนือกว่าในการโจมตี เมื่อเขาปลดปล่อยจิตสังหารออกมา เขาก็พลัน รู้สึกว่าจะถูกโจมตี เขาจึงต้องเปลี่ยนวิชาตัวเบาและเส้นทางโคจรปราณ ของตน ตั้งท่าป้องกันแตกต่างกันไป

วิชาฝึกปรือของเขาอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่งและสามารถรังสรรค์ทักษะ เทวะที่มาแก้ทางการโจมตีของศัตรู แต่ทว่าในเมื่อฉินมู่มิได้ลงมือจู่โจม ซวีเซิงฮวาก็ได้แต่สร้างสรรค์และมิอาจปลดปล่อยทักษะเทวะเหล่านั้น

เมื่อเป็นเช่นนั้น ฉินมู่ก็โจมตีเขาด้วยรัศมีอย่างไม่หยุดหย่อน ส่วนซวี เซิงฮวาก็ต้องมาป้องกันอย่างไม่หยุดพัก ในเพียงชั่วระยะทางสั้นๆ เพียง 200 ลี้ เขาได้เผาผลาญพลังสมองไปจนหมด และจิตของเขาก็ไม่อาจ ทนไหวได้อีกต่อไป ร่างกายของเขาต้านรับไม่ได้ อันทําให้เขากระอัก เลือดอย่างต่อเนื่อง สํานึกรู้ของเขาเริ่มพังทลาย และเขาก็หมดสติลงไปใน จุดนั้น

ในตอนนั้น ฉินมู่หยุดเท้า แต่หากว่าฉินมู่ยังคงก้าวต่อไป เขาก็คงจะ ถูกลากไปข้างหน้าต่อจนกระทั่งเขากระอักเลือดจนหมดตัว ตลอดทาง จนกระทั่งสมองของเขาเหนื่อยล้าจนตาย เขาคงจะได้หยุดอีกทีก็เมื่อ กลายเป็นศพไปแล้ว!

พ่ายแพ้ยับเยิน

นี่เป็นครั้งแรกที่ซวีเซิงฮวาได้ลิ้มรสความพ่ายแพ้เช่นนี้ และเขาก็ค่อนข้างขมขื่นในหัวใจ เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกอะไรแบบนี้

เสียงของอวี้หลิ่วดังมาจากข้างนอก “เอี้ยนจื่อ ออกมาข้างนอกสัก ประเดี๋ยว!”

จิงเอี้ยนรีบออกไปข้างนอกและกล่าว “คุณชายฟื้นแล้วแต่ยัง เคลื่อนไหวไม่ได้ เจ้าได้เชิญหมอเทวดามาหรือไม่”

“ข้าเชิญมาแล้ว เพียงแต่ว่า…”

จิงเอี้ยนเดินออกมาข้างนอก และอุทานอย่างตระหนกตกใจ “ทําไม เป็นเจ้า”

“ข้าเองก็ตกใจยิ่งกว่าเจ้า แต่ทว่าข้าได้วิงวอนเขาอยู่นานสองนาน เขาถึงจะยอมมา…” อวี้หลิ่วกล่าวด้วยรอยยิ้มขื่น

ม่านประตูถูกแหวกออกและฉินมู่เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม “พี่ซวี”

ซวีเซิงฮวามองไปที่เขาและตกตะลึง หัวของเขาเริ่มปวดร้าวอย่าง รุนแรง และฉินมู่ก็รีบก้าวเข้าไป เขานํายาวิญญาณพุทธองค์ออกมา จํานวนหนึ่งให้ซวีเซิงฮวากลืนเข้าไปแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “จิตของท่าน ไม่ควรกระเพื่อมไหวมากเกินไป ข้าเคยผ่านประสบการณ์เช่นท่านมา ก่อนเช่นกัน ร่างกายของข้าเหือดแห้งจากการฝึกปรือวิชา จนถึงขนาดที่ เกือบจะทิ้งชีวิตอยู่มะรอมมะร่อ อาการของท่านนั้นยังห่างไกลจากการรีด เร้นจิตและพลังสมองจนเกินขีดจํากัดของร่างกาย อาการบาดเจ็บของ ท่านนั้นไม่ได้สาหัส และสามารถฟื้นฟูกลับมาได้ภายใน 1 ถึง 2 เดือน ด้วยการเยียวยาและบํารุงอย่างแช่มช้า แต่ทว่าหากให้ข้ารักษาท่าน ท่าน ก็จะหายดีภายในครึ่งวัน”

ซวีเซิงฮวากลืนยาวิญญาณพุทธองค์เข้าไปและรู้สึกสบายตัวขึ้น ศีรษะของเขายังคงปวดร้าว แต่ไม่ได้สาหัสเหมือนเมื่อครู่ เขาสามารถ ควบคุมแขนและขาได้อย่างเชื่องช้า และร่างกายก็ดูเหมือนกลับมาเป็น ของเขาอีกครั้ง

“ท่านก็เป็นหมอเทวดาด้วยหรือ” เขาถามด้วยเสียงแหบ

“ข้าไม่อาจนับได้ว่าเป็นหมอเทวดาหรอก ความสําเร็จของข้าใน ศาสตร์แห่งการเยียวยานั้นเป็นเพียงอันดับสอง แต่ทว่าท่านไม่สามารถหา คนที่เก่งกว่าข้าได้แล้วในจักรวรรดิสันตินิรันดร์”

ฉินมู่วินิจฉัยอาการของเขาอยู่สักพักแล้วเขียนใบสั่งยาให้อวี้หลิ่วไป หาสมุนไพรตามรายการมา เขาแย้มยิ้มแล้วกล่าว “ด้วยสมุนไพรของข้า หล่อเลี้ยงบํารุง ความขาดพร่องในร่างกายของท่านก็จะหายไปภายในสองสามวัน แพ้ชนะเป็นเรื่องธรรมดาในการศึกสงคราม และก็ย่อมเป็นเรื่อง ธรรมดาสําหรับผู้ฝึกยุทธ์อย่างพวกเรา อย่าเก็บมาคิดใส่ใจเลย”

ซวีเซิงฮวามองหน้าเขา และพลันถอนหายใจ “มีหลายเรื่องที่ข้าด้อย กว่าท่านจริงๆ ท่านใช้แผนร้ายเอาชนะข้า แต่ข้าก็ไม่อาจโกรธเกลียด ท่านได้ ข้าลงมาที่นี่ใต้บัญชาของอาจารย์ให้มาสังหารท่าน และเพียงแต่ อยากจะกลับไปยังเหนือฟ้าหลังเสร็จสิ้นภารกิจเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าข้า กลับถือท่านเป็นสหาย…”

ฉินมู่ถอนหายใจ “กายาจ้าวแดนดินนั้นยากที่จะได้พบเจอ แต่ทว่า ข้าและท่านมีแต่ต้องเป็นศัตรูกัน พวกเราไม่มีทางเป็นสหายกันได้”

ทั้งคู่นิ่งเงียบไป

ไม่นานนัก อวี้หลิ่วก็กลับมาพร้อมกับสมุนไพรทั้งหลาย และฉินมู่ก็ หลอมปรุงยาวิญญาณให้ซวีเซิงฮวากลืนกิน

เด็กหนุ่มผู้นี้เดินข้างๆ เตียงอย่างไม่มั่นคง ร่างทั้งร่างของเขาสั่นเทิ้ม เขาขมวดคิ้วแล้วกล่าว “ข้ารู้สึกได้ชัดเจนว่าอาการบาดเจ็บของข้ากําลัง ฟื้นฟูกลับมาดี แต่ทําไมข้ายืนโงนเงนไม่มั่นคง มือของข้าก็ยังคงสั่นเทิ้ม…”

ฉินมู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นตาของเขาก็เป็นประกาย แล้วกล่าว “ข้ารู้ว่าเจ้าป่วยอะไร ตามข้ามา”

เมื่อเขากล่าวเช่นนั้น เขาก็เดินออกไปข้า งนอก

ซวีเซิงฮวาหมายที่จะเดินตามเขาออกไป แต่ร่างกายเขายังสั่นระริก ขาของเขาอ่อนปวกเปียก ดังนั้นอวี้หลิ่วและจิงเอี้ยนจึงต้องช่วยพยุงเขาออกจากห้อง

ในเมื่อซวีเซิงฮวาเป็นศิษย์ของเหนือฟ้า สถานที่ที่เขาพักอาศัยย่อม ต้องไม่ซอมซ่อจนเกินไปนัก ไปโรงเตี๊ยมนั้นจะต้องพลุกพล่านจนเกินไป พวกเขาจึงเช่าบ้านหลังหนึ่งอันค่อนข้างเงียบสงบ

ฉินมู่พาพวกเขาไปที่ถนนและมองไปรอบๆ ด้วยดวงตาสดใส เขายิ้ม ออกมาเมื่อพบกับสิ่งที่กําลังมองหา “ยาที่จะใช้แก้อาการป่วยไข้ของท่าน อยู่ที่นี่”

ซวีเซิงฮวาตกตะลึง เช่นเดียวกับเด็กสาวทั้ง 2 ข้างๆ เขา ฉินมู่นั่งลง ตรงหน้าแผงและกล่าวกับเจ้าของแผง “บะหมี่ 10 ถ้วย ถ้วยใหญ่พิเศษ ถ้วยแรกไม่ใส่นํ้ามันและพริก ใส่เกลือเพียงเล็กน้อยก็พอ จริงสิ เมื่อเจ้านวดเส้นหมี่ ให้เติมไข่เข้าไปอีกฟองหนึ่ง แล้วพวกเจ้าจะยืนทื่อตรงนั้นอยู่ทําไม เข้ามานั่งเร็ว!”

อวี้หลิ่วและจิงเอี้ยนขมวดคิ้ว พวกนางมองไปยังแผงขายบะหมี่เก่าๆ ที่ตั้งอยู่ริมถนน ผู้คนเดินไปเดินมา ฝุ่นควันก็ไม่มีอะไรปิดกั้น คนที่มาทาน ที่นี่ล้วนแต่เป็นชายร่างกํายํา เพียงแค่มองดูปราดเดียวก็รู้ว่าคนพวกนี้เป็น ชาวบ้านที่ทํางานใช้แรง

คณะจากเหนือฟ้าเคยทานอาหารในสถานที่แบบนี้ แผงขายบะหมี่ เมื่อไหร่กัน แม้แต่คิดถึงมันพวกเขาก็ยังรู้สึกว่าสกปรกจนเกินไป

พึงรู้ว่าเหนือฟ้านั้นเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าเทพเจ้าอันสูงส่งเหนือ ผู้คน ดังนั้นสิ่งที่พวกเขากินและดื่มย่อมเป็นอาหารโอชาหายากสําหรับ โลกมนุษย์ พวกเขาสะอาดสะอ้านอย่างเหลือเชื่อและไม่แปดเปื้อนแม้ธุลี ละออง

เจ้าของร้านขายบะหมี่ก็เป็นชายร่างลํ่าสันเช่นกัน เขาดึงเส้นหมี่ออก ด้วย 2 มือ และตบฟาดมันด้วยเสียงอันดัง เห็นได้ชัดว่ามันไม่สะอาด

กระนั้น ซวีเซิงฮวาก็นั่งลงพลางหอบหายใจด้วยความเหนื่อย

อวี้หลิ่วและจิงเอี้ยนจึงได้แต่นั่งลงข้างๆ เขา และใช้ผ้ามาเช็ดรอย นํ้ามันบนโต๊ะ พวกนางขมวดคิ้วเมื่อเช็ดไม่ออก พวกนางนั่งไม่ติดเก้าอี้ รู้สึกราวกับว่าแม้แต่เก้าอี้โล้นที่พวกนางนั่งอยู่ก็เปื้อนนํ้ามันจนเหนียวหนึบ

แต่ทว่า ซวีเซิงฮวานั้นเยือกเย็นและนั่งรอบะหมี่ของเขาอย่างสงบ

บะหมี่ชามแรกถูกนํามาส่ง และมันเป็นบะหมี่ไข่นํ้าใสในชามอันใหญ่ เท่าอ่างล้างหน้า เส้นบะหมี่ถูกดึงเป็นเส้นด้วยความหนาที่เท่ากัน ราวกับ เส้นสายหยกอันวางไว้ตรงกลางนํ้าซุป บนหน้าบะหมี่โรยไว้ด้วยต้นหอม สับ

ซวีเซิงฮวามองไปที่บะหมี่และไม่รู้ว่าจะทานของแบบนี้อย่างไร

ฉินมู่ส่งตะเกียบคู่หนึ่งให้เขา แต่ซวีเซิงฮวาก็ยังงงงัน เขาถือตะเกียบ และจิ้มลงไปในชาม แต่กลับไม่อาจคีบบะหมี่ขึ้นมาได้เลยสักเส้น เขาไม่ เคยใช้ตะเกียบในเหนือฟ้ามาก่อน ในเมื่อทั้งหมดที่เขากินล้วนแต่เป็นยา วิญญาณ และที่เขาดื่มก็มีแต่นํ้าค้าง เขาไม่เคยทานอาหารในโลกปุถุชนมาก่อน

ซวีเซิงฮวามองไปยังผู้คนรอบๆ ที่กินบะหมี่ และค่อยๆ เรียนรู้วิธีใช้ ตะเกียบ

“กินช้าๆ” ฉินมู่กล่าวพลางส่งยิ้มแฉ่งไปให้เขา “ท่านอดอาหารมาได้ สักสองสามวัน ดังนั้นการกินเร็วเกินไปจะทําร้ายท้องของท่าน อาการป่วย ไข้ของท่านคือความหิว และเพราะว่าสมองของท่านเหนื่อยล้าจนเกินไป พลังงานในร่างกายของท่านจึงส่งย้อนไปยังสมอง เมื่อท่านหมดสติ ท่านก็ ได้เผาผลาญพลังงานไปหมด แต่จากนั้นก็ยังคงอดอาหารต่ออีก 2 วัน ดังนั้นถ้าท่านไม่ระโหยโรยแรงสิถึงจะแปลก ดื่มนํ้าซุปไปก่อน มันจะช่วย ย่อยอาหาร”

ซวีเซิงฮวากลืนนํ้าซุปเข้าไปอึกๆ ระหว่างที่ฟังคําพูดของเขา

บะหมี่ของฉินมู่ อวี้หลิ่ว จิงเอี้ยนก็มาบริการที่โต๊ะแล้ว 2 ดรุณีนั้น ค่อนข้างสํารวมเก็บกิริยา แต่ฉินมู่ไม่สนใจและเพียงแต่ตักนํ้ามันพริกใส่ ลงไปในถ้วยของเขาจนสาแก่ใจ

ซวีเซิงฮวาทานบะหมี่ถ้วยของเขาหมดเป็นคนแรก และมองไปยัง พวกเขาด้วยสายตาลุกลน

ฉินมู่กล่าวทันที “นั่งย่อยไปก่อน เดี๋ยวก็จะมีถ้วยที่ 2 ทีหลัง”

ซวีเซิงฮวานั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเชื่อฟัง เมื่อฉินมู่ทานเสร็จ ก็มีบะหมี่มา วางบนโต๊ะเพิ่มอีก 3 ถ้วย ฉินมู่พยักหน้าและแย้มยิ้ม “พี่ซวี เชิญท่าน เริ่มได้”

ซวีเซิงฮวาเริ่มกินทันที เรียนรู้จากฉินมู่ เขาเทนํ้ามันพริกลงไปใน ชาม ทันใดนั้น ร่างกายของเขาก็เริ่มร้อนระอุเป็นไอ

เมื่ออวี้หลิ่วและจิงเอี้ยนทานบะหมี่ของพวกนางตรงหน้าเสร็จ ซวีเซิงฮ วาก็กินชามที่ 7 เสร็จแล้ว และนั่งกองอยู่กับเก้าอี้ของเขา รู้สึกสบายเป็น อย่างยิ่ง

อวี้หลิ่วและจิงเอี้ยนหันไปมองกันด้วยความอึ้ง คุณชายซวีไม่เคยมี กิริยาหละหลวมอย่างนี้มาก่อน เขาถึงกับเรอออกมาด้วย!

กษัตริย์มนุษย์ผู้นี้ช่างเป็นมารร้ายเสียจริง หากว่าคุณชายยังคงติดต่อสัมพันธ์กับเขาอีกไม่กี่น ก็คงจะติดกลิ่นเหม็นโฉ่มาด้วย!’ 2 สาวหันไปมองตากันและรู้สึกกระวนกระวายใจ

ฉินมู่ลุกขึ้นและถาม “พี่ซวีมีเหรียญสมบูรณ์พูนสุขหรือไม่”

ซวีเซิงฮวาส่ายหน้าอย่างใจลอย “ปกติแล้วอวี้หลิ่วเป็นผู้จัดการเรื่อง เงินทอง”

อวี้หลิ่วเผยสีหน้ายุ่งยาก และกล่าวด้วยเสียงแผ่ว “คุณชาย พวกเรา เพิ่งใช้จ่ายเงินทองทั้งหมดเพื่อซื้อหาสมุนไพรไปเมื่อครู่นี้ ข้าถึงกับใช้ปิ่น ปักผมของตนเพื่อจํานํา นั่นแหละถึงสามารถรวบรวมสมุนไพรทั้งหมดมา ได้…”

ฉินมู่นําเหรียญสมบูรณ์พูนสุขออกมาหนึ่งเหรียญและก้าวออกหน้า จ่ายค่าอาหาร เขาส่ายหัวแล้วกล่าว “ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าพวกเจ้าทั้ง 3 คน อยู่กันมาอย่างไร ข้าจะเลี้ยงมื้อนี้เอง พี่ซวีลุกขึ้นเถอะ ตอนนี้ท่านกินไป มาก ออกไปเดินรอบๆ จะดีกว่า”

ซวีเซิงฮวาลุกขึ้น อวี้หลิ่วและจิงเอี้ยนรีบตามไปพยุงเขา แต่ซวีเซิงฮ วาส่ายหัวแล้วกล่าว “ไม่ต้องพยุงข้าแล้ว ข้าไม่มีแรงเพราะอดอาหารจริงๆ แต่ตอนนี้ดีขึ้นมาก ข้าเดินเองได้”

ทั้ง 4 คนเดินเล่นไปตามทางด้วยฝีเท้าอันไม่รีบร้อน

อวี้หลิ่วอดไม่ได้ที่จะกังวล หรือว่ากษัตริย์มนุษย์นี่จนำเดินคุณชาย ให้เหนื่อยจนตายอีกแล้ว

เมื่อพวกเขามาถึงเขตชายเมืองหลวง ฉินมู่ก็นําพวกเขาไปยังทิศทาง ของโรงงานผลิต ซวีเซิงฮวาประกายตาวูบไหวและเอ่ยถาม “ไฉนพี่ฉินถึง นําข้ามาที่นี่อีกแล้ว”

ฉินมู่แย้มยิ้มแล้วกล่าว “อย่าเข้าใจผิด เมื่อท่านสลบไปใน 2 วันนี้ ส่วนฐานของปืนใหญ่เทวะยิงตะวันเสร็จสิ้นแล้ว และพวกเราก็กําลังเริ่ม ประกอบมันเข้าด้วยกัน ข้าจะเป็นคนจัดวางชิ้นส่วนต่างๆของส่วนฐานเพื่อ มิให้เกิดความผิดพลาด จริงสิ แล้วเจ้าจะให้ค่ารักษาแก่ข้าที่เยียวยาเจ้า เมื่อไหร่ล่ะ ค่าฝีมือข้าค่อนข้างแพงเอาเรื่องนะ”

ซวีเซิงฮวาครางฮือ “ไม่มีเงิน!”

“ถ้าอย่างนั้น พี่ซวี…” ฉินมู่ตาลุกวาวและก้าวมาข้างหน้า กล่าวอย่างมีลับลมคมนัย “ท่านเคยได้ยินเกี่ยวกับลัทธินักบุญสวรรค์ไหม”

AC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!