Skip to content

Tales of Herding Gods 362

Tales of Herding Gods
BC

ตอนที่ 362 ความหนาของท้องฟ้า

C

การใช้งานปืนใหญ่เทวะยิงตะวันนั้นจําเป็นต้องใช้แผ่นหยกใน มือฉินมู่ ในเมื่อแท่นปืนใหญ่นั้นมหึมาเกินไป มันจึงยากที่จะ ควบคุม ดังนั้นฉินมู่จึงสร้างเครื่องมือที่ใช้ควบคุมมันขึ้นมา แผ่น หยกนี้จึงสามารถใช้บังคับให้ปืนใหญ่เทวะมโหฬารนี้ยิงไปยังที่ใดก็ ได้ที่เขาเล็งไป

นี่คือตัวควบคุมกลางของปืนใหญ่เทวะยิงตะวัน ฉินมู่สอนจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงถึงวิธีการใช้แผ่นหยก ในเมื่อมัน

เรียนรู้ค่อนข้างง่าย ในฐานะอาจารย์ใหญ่ด้านการหลอมสร้าง ฉินมู่ สามารถทําให้สิ่งสลับซับซ้อนสุดๆ กลายเป็นเรียบง่ายได้ และด้วย จุดนี้ เขาเหนือลํ้าไปกว่าอาจารย์ใหญ่ด้านหลอมสร้างคนอื่นๆ ไป หลายขุม

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงเก็บแผ่นกลมนี้ไป ผ่านไปสักพัก เขาก็เอา ออกมาเล่นอีก ก่อนที่จะเอาไปเก็บไว้ตามเดิม และอีกสักพักเขาก็ อดไม่ได้ที่จะเอามันออกมาเล่นอีกที

ฉินมู่กล่าวอย่างเมตตา “ฝ่าบาทสามารถลองยิงได้ 1 ทีนะ” จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงมองไปที่เขาและกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์

“ยิง 1 ทีและคลังสมบัติก็จะเกลี้ยงเกลา! ข้าไม่เหมือนกับเจ้า ใช้เงินราวกับเทนํ้าทิ้ง”

“ไม่ใช่ว่ารัชทายาทกลับมาจากที่ราบนํ้าแข็งแล้วหรอกหรือ เขาน่าจะนําสมบัติมีค่ากลับมาด้วยมากมายนี่นา” ฉินมู่กล่าว

“แต่อย่างไรข้าก็ยิงเล่นๆ ไม่ได้! เงินในท้องพระคลังไปแตะต้อง สุ่มสี่สุ่มห้าได้อย่างไรกัน ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องทําในจักรวรรดิ และเรื่องไหนล่ะที่ไม่ต้องใช้เงินบ้าง”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงเก็บแผ่นหยกกลับ แต่ผ่านไปสักพัก ฉินมู่ก็ เห็นเขาเอามันออกมาอีกที ฉินมู่อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว หากจักรพรรดิไม่ยิงปืนใหญ่เลยสักครั้ง เขาคงไม่มีทางนอนตาหลับ เขาคงจะเอาแต่คิดถึงการได้ทํามัน

แต่ทว่า เหตุผลก็จะบอกเขาว่า เขาไม่อาจใช้ปืนใหญ่เทวะยิง ตะวันอย่างพล่อยๆ ได้ อันจะเป็นการหมดเปลืองไปเปล่าๆ

ล่อยเขาไปละกัน ฉินมู่คิดในใจ

ในตอนนั้นเอง ขุนนาง 2 คนจากกรมควบคุมฟ้าได้นําม้วน หนังสือหนาๆ จํานวนหนึ่งเข้ามา ผู้ที่เดินนํามาคือหั่วซานลิ่งซึ่ง คารวะทักทายฉินมู่แล้วกล่าว “เจ้ากรมฉิน พวกเราที่แท่นควบคุม ฟ้าได้สังเกตเห็นความผิดปกติเมื่อท่านยิงปืนใหญ่ขึ้นไปบนท้องฟ้า เมื่อครู่ เจ้ากรมมีผู้เชี่ยวชาญพีชคณิตมากมายที่นี่ ดังนั้นข้าจึงอยากจะเรียนเชิญให้เจ้ากรมช่วยพวกเราคํานวณมัน”

“ความผิดปกติอะไรหรือ” ฉินมู่ถามด้วยความพิศวง “เมื่อท้องฟ้าฉีกขาดออก มีความเปลี่ยนแปลงบนแผนที่หมู่ดาว”

หัวจิ่งลิ่งแห่งกรมควบคุมฟ้าซึ่งอยู่ข้างๆ จึงกล่าวเสริม “ท้องฟ้า ฉีกแยกออกเมื่อครู่และปรากฏการณ์ทั้งหลายบนบนท้องฟ้าก็ขยับ เคลื่อนไป พวกมันกลับเป็นปกติก็ต่อเมื่อรอยแยกบนท้องฟ้าสมาน กลับเข้าหากัน พวกเราบันทึกการเลื่อนขยับของหมู่ดาวในมุม ต่างๆ แต่ในเมื่อความสําเร็จเชิงพีชคณิตของพวกเราไม่สูงนัก จึง ยากที่จะคํานวณว่าเกิดอะไรขึ้น ใต้เท้าฉิน เชิญท่านดู นี่คือ

แผนภาพหมู่ดาวก่อนหน้า”

เขาเปิดแผนภาพหมู่ดาวและพลิกให้ดูทีละหน้าๆ ฉินมู่เพ่งพิศ ดูและพบว่าเทหวัตถุทั้งหลายที่กรมควบคุมฟ้าได้บันทึกไว้แต่ละปีมี รูปแบบอันเป็นระเบียบตายตัว การเปลี่ยนแปลงของพวกมันนั้น เล็กน้อยมาก

“นี่คือแผนภาพหมู่ดาวหลังจากที่ใต้เท้าฉินยิงปืนใหญ่” หัวจิ่งลิ่งพลิกหน้าสุดท้ายและชี้ไปที่แผนภาพหมู่ดาวนั้น

“หลังจากปืนใหญ่นั้น ท้องฟ้าก็กลายเป็นมืดมิดไปชั่วพริบตาหนึ่ง และลูกแก้วฟ้าจําลองก็ได้บันทึกตําแหน่งเทหวัตถุบนฟากฟ้า ดวง ตะวันได้เลื่อนขยับไป 1 นิ้ว 3 หุนในเวลานั้น แต่เมื่อรอยแยก สมานคืน ดวงตะวันก็เลื่อนกลับมายังตําแหน่งเดิม ระหว่างความมืด

นั้น ดวงดาวอื่นก็เลื่อนขยับไปเช่นกัน ในขณะเดียวกัน ที่ตําแหน่ง ฉีกขาด กลับไม่หลงเหลือดวงดาวเลยแม้แต่ดวงเดียว มันควรจะมี

ดวงดาว 107 ดวงอยู่ที่นั่น!”

ฉินมู่ยังคงฉงน “หรือเป็นเพราะว่าอานุภาพของปืนใหญ่เทวะ ร้ายกาจเกินไป ทําให้เกิดการบิดเบี้ยวของทัศนวิสัย อันนําไปสู่การ ดูเหมือนว่าเทหวัตถุเลื่อนขยับ”

“แบบนั้นก็เป็นไปได้เช่นกัน” หัวจิ่งลิ่งกล่าว “แต่ทว่า กรมควบคุมฟ้าได้ใช้ลูกแก้วฟ้าจําลองอันเป็นอาวุธวิญญาณ และยังเป็นสมบัติวิญญาณขนาดหนัก ทัศนวิสัยของพวกเราอาจจะบิดเบี้ยวได้ แต่ลูกแก้วฟ้าจําลองไม่อาจถูกตบตาเช่นนั้น แผนภาพหมู่

ดาวที่ลูกแก้วฟ้าจําลองเคลื่อนไหวไปพร้อมๆ กับเทหวัตถุบน ท้องฟ้า หากว่าแผนภาพหมู่ดาวบนลูกแก้วฟ้าจําลองเคลื่อนไหว นั่นก็แปลว่าดวงดาวบนท้องฟ้าเคลื่อนไหวด้วยจริงๆ แต่ประเด็นที่ สําคัญที่สุดก็คือ ทําไมไม่มีดวงดาวหลงเหลืออยู่ในจุดที่ท้องฟ้าฉีก ขาด”

ฉินมู่สะท้านใจ และถามหยั่ง “เจ้าหมายถึง?” ผู้คนต่างหันไปมองกันและกัน และหั่วซานลิ่งก็กระแอมไอเบาๆ

“ก่อนที่จะมีผลคํานวณออกมา พวกเรากรมควบคุมฟ้ามิกล้าจะเดา ส่งเดชและไม่อาจรับผิดชอบต่อการคาดเดาของคนอื่นๆ ขออภัยด้วยใต้เท้าฉิน”

2 คนนี่ทำตัวลึกลับเสียจริง

ฉินมู่ขมวดคิ้วและกล่าว “ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ที่อยู่กับข้าเป็น ยอดฝีมือแห่งสํานักเต๋าและนครหยกน้อย พวกเขานั้นกําลัง ตระเตรียมเดินทางกลับไปยังสํานักเต๋าและนครหยกน้อย ข้ามิกล้า รับรองว่าจะขอให้พวกเขาอยู่ต่อได้หรือไม่”

ซวีเซิงฮวาเดินขึ้นมาและกล่าวด้วยความตื่นเต้น “ข้าเองก็มี ความสําเร็จด้านพีชคณิตอยู่บ้าง”

ฉินมู่แย้มยิ้มและกล่าว “ถ้าพี่ซวีมาช่วยด้วยย่อมเป็นเรื่องดี วิเศษ ข้าจะไปเชิญเจ้าสํานักเต๋าหลินเสวียน และหวางมู่หรัน”

จิงเอี้ยนโพล่งขึ้นมา “ในเมื่อคุณชายของข้าลงมือช่วยเหลือ 1,000 เหรียญที่พวกเราติดค้างอยู่…”

“แม้ว่าพวกเจ้าจะไม่ช่วย ข้าก็ไม่ขาดผู้เชี่ยวชาญพีชคณิต ที่นี่!” ฉินมู่กล่าวโดยไม่หันกลับไปมอง

จิงเอี้ยนหน้ามืดดําทันที “คนงก!”

“เอี้ยนจื่ออย่าโมโห จริงๆ แล้วข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าเกิด อะไรขึ้นกับท้องฟ้าหลังจากที่จ้าวลัทธิยิงไปรอบนั้น ที่เขากล่าวก็ไม่ ผิดเช่นกัน พวกเราจะช่วยหรือไม่ช่วย ก็ไม่มีอะไรต่างสําหรับเขา มันแค่จะย่นระยะเวลาขึ้นนิดหน่อยเท่านั้น” ซวีเซิงฮวากล่าว

ฉินมู่ไปหาเจ้าสํานักเต๋า มู่ชิงไต้ และยอดฝีมือรุ่นเยาว์คนอื่นๆ หลังจากที่รวมตัวทุกคนแล้ว หวางมู่หรันก็เอ่ยถาม “คราวนี้จ้าว ลัทธิจะคํานวณอะไร”

ฉินมู่มองไปที่หัวจิ่งลิ่งแห่งกรมควบคุมฟ้าผู้ซึ่งตาเป็นประกาย และกล่าว “ปรากฏการณ์บนฟากฟ้า”

เจ้าสํานักเต๋าหลินเสวียนแย้มยิ้มและกล่าว “ปรากฏการณ์บน ฟากฟ้าอย่างนั้นหรือ จ้าวลัทธิฉินได้ฝึกปรือกระบี่เต๋าของสํานัก เต๋าพวกเราและนิพนธ์ที่ 4 กระบี่เต๋านั้นมิใช่ใดอื่นนอกไปเสียจาก

ปรากฏการณ์บนฟากฟ้า มีเขาอยู่ที่นี่ พวกเราจะมีประโยชน์อะไร”

ฉินมู่ส่ายหัวแล้วกล่าว “นิพนธ์ที่ 4 กระบี่เต๋านั้นคํานวณปรากฏการณ์บนฟากฟ้าแบบปกติ แต่ที่กรมควบคุมฟ้าต้องการให้ พวกเราคํานวณนั้นเป็นแบบผิดปกติ”

เจ้าสํานักเต๋าหลินเสวียนและนักพรตคนอื่นๆ พลันพิศวงงงงวย มีความแตกต่างระหว่างปรากฏการณ์บนฟากฟ้าที่ปกติและผิดปกติด้วยหรือ

หัวจิ่งลิ่งอธิบายปรากฏการณ์บนฟากฟ้าที่กรมเขาได้ สังเกตการณ์มา และกล่าว “ดวงดาวเคลื่อนที่และบริเวณที่ท้องฟ้า ฉีกแยกนั้นดวงดาวหายสาบสูญไป ปรากฏการณ์บนฟากฟ้าเช่นนี้ ย่อมนับว่าผิดปกติ มันเหมือนกับว่า เหมือนกับว่า…”

“เหมือนกับว่าดวงดาวทั้งหลายถูกแขวนห้อยไว้บนผ้าม่านผืน หนึ่ง!” มู่ชิงไต้โพล่งออกมา

หัวจิ่งลิ่งปรบมือแล้วกล่าว “ใช่แล้ว! มันเหมือนกับว่าดาวพวก นั้นแขวนห้อยอยู่บนผ้าม่าน ใต้เท้าฉินใช้ลําแสงฉีกผ้าม่านผืนนี้ ดังนั้นดวงตะวัน ดวงจันทร์ และดวงดาวทั้งหลายจึงถูกแหวกไป ด้า นข้า ง!”

เด็กหนุ่มสาวทั้งหลายมองหน้าซึ่งกันและกันด้วยสีหน้าเครียดขรึม

ปรากฏการณ์บนฟากฟ้าเหล่านั้นแขวนห้อยอยู่บนท้องฟ้าอย่างนั้นหรือ

ซวีเซิงฮวาเงยหน้าขึ้นมองไปยังนภากาศขณะที่ตั้งสติตนเอง แล้วกล่าว “จ้าวลัทธิฉิน แล้วอะไรคือสิ่งที่ท่านต้องการให้พวกเรา คํานวณ”

“จากการเลื่อนขยับของดวงดาวที่เกิดขึ้นจากลําแสง พวกเรา จะต้องคํานวณความสูงและความหนาของท้องฟ้า!” ฉินมู่มองไปยัง ขุนนางทั้ง 2 และถาม “นี่คือเจตนาของเจ้า ใช่ไหม”

ขุนนางจากกรมควบคุมฟ้าหันไปมองตากัน ก่อนพยักหน้า “ใต้เท้าฉินทรงปัญญา” หัวจิ่งลิ่งกล่าวด้วยเสียงพร่า “ในอดีต

นั้นพวกเราคิดว่าท้องฟ้านั้นกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต และความหนา ของท้องฟ้าก็ลึกลํ้าไร้ประมาณ แต่ทว่าลําแสงจากใต้เท้าฉินได้ทํา ให้พวกเราตระหนักว่า ความสูงของท้องฟ้าอาจจะมีขีดจํากัด และ ความหนาของท้องฟ้าก็มีจุดสิ้นสุด ดวงดาวบนท้องฟ้าอาจจะไม่ได้ อยู่ห่างไกลจากพวกเราอย่างที่คิด และดวงอาทิตย์เองก็ดูเหมือนกับ ว่า…”

เขาไม่กล้ากล่าวต่อ

ฉินมู่มองไปยังทุกคนและกล่าว “ทุกท่านคิดว่าอย่างไร” พวกเขาทั้งหมดเป็นคนหนุ่มสาว และแม้ว่าจะมีที่มาต่างๆ กัน

ไป มรดกยุทธ์ของพวกเขาก็แตกต่างกัน ฝักฝ่ายและปรัชญาที่ร่ำเรียนมาก็ไม่เหมือนกัน แต่พวกเขาทั้งหมดล้วนแต่สงสัยใคร่รู้ ทุกๆ คนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า

เจ้าสํานักเต๋าหลินเสวียนละสายตาลงมาแล้วกล่าว “ในเมื่อ ลําแสงของจ้าวลัทธิฉินได้แสดงให้พวกเราเห็นว่าท้องฟ้ามีความสูง และความหนา ไฉนพวกเราจะคํานวณมันไม่ได้ล่ะ”

ทุกคนผงกหัวอย่างเห็นด้วย “พวกเราต้องการรู้วันเวลาที่ดวงดาวเลื่อนขยับเพื่อใช้ในการ

คํานวณ” หวางมู่หรันกล่าว

“กรมควบคุมฟ้าของข้าได้บันทึกการเคลื่อนที่ของดวงดาวทุก ดวง รวมทั้งดวงตะวัน” หัวจิ่งลิ่งกล่าวทันที

“นั่นทําให้เรื่องง่ายขึ้น!”

ทุกๆ คนรีบลงมือทันที และหลังจากผ่านไปนาน พวกเขาก็ คํานวณตัวเลขออกมา เมื่อพวกเขามองไปยังตัวเลขเหล่านั้น สี หน้าของพวกเขาก็ทั้งเครียดและเหม่อลอย

“ข้าไม่เชื่อ” นักพรตคนหนึ่งจากสํานักเต๋าพลันลุกขึ้นทุบฟาด ผังแปดทิศของเขาลงกับพื้น แตกทําลายเป็นเสี่ยงๆ จากนั้นเขาก็ ตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว “ข้าไม่เชื่อมัน!”

เมื่อเขากล่าวจบ เขาก็จากไปทันที

ผู้เชี่ยวชาญพีชคณิตคนอื่นๆ เงียบงัน หลงอวี๋พึมพํา “นี่เป็นไป ไม่ได้ พวกเราต้องคํานวณผิด นี่มันเป็นไม่ได้เด็ดขาด…”

จิตของยอดฝีมือสํานักเต๋าได้พังทลายไปแล้ว และพวกเขา หัวเราะคิกคัก “พวกเราต้องคํานวณผิดแน่ๆ ท้องฟ้าไม่มีทางตื้น ขนาดนี้หรอก…”

“ผลคํานวณนี้ผิดแน่นอน!” หัวจิ่งลิ่งกล่าวอย่างหนักแน่น “ใช่แล้ว มันต้องผิดแน่ๆ” คนอื่นๆ อีกมากมายร้องสนับสนุน

ซวีเซิงฮวาส่ายหัวแล้วกล่าว “นี่ไม่น่าเป็นไปได้หรอกนะ ที่พวก เราตั้งมากมายขนาดนี้จะคํานวณผิดกันหมด ใช่ไหม ตัวเลขของ ทุกคนตรงกันหมด ดังนั้นผลลัพธ์ย่อมต้องถูก ท้องฟ้าสูงและหนา เพียงเท่านี้”

“นี่เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้…” หลงอวี้เดินโซเซจากไปด้วย ความเหม่อลอย เขานั้นเสียสติไปเล็กน้อย

มู่ชิงไต้รู้สึกวิงเวียน นางทรุดฮวบลงกับพื้น และนั่งแปะลงไป ฉินมู่มองไปยังตัวเลขที่พวกเขาคํานวณออกมาได้ และจมลง

ในความคิดลึกลํ้า ท้องฟ้านั้นสูง 1,000 ลี้ แต่ความหนาของมันนั้น

น่าสังเวชนัก เพียงแค่ 1,500 วา ซึ่งหมายความว่าในความ หนาของท้องฟ้านั้น มีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดาราจักร และดวงดาวอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วนบรรจุอยู่!

นั่นเป็นไปได้อย่างไร “ฮี่ๆๆๆๆ…”

จิตของเขาก็เริ่มพังทลายไปบ้างเช่นกันเมื่อเขาหัวเราะคิกคัก

อย่างไม่หยุดยั้ง เขาหัวเราะจนกระทั่งนํ้าตาแทบจะไหลออกมาจาก เบ้า เขานั่งลงและตีเข่าฉาดๆ

“จ้าวลัทธิฉิน มีเรื่องอะไรให้ท่านหัวเราะ” เจ้าสํานักเต๋าหลิน เสวียนตะโกนไป พลางถลึงตาจ้องเขาอย่างเดือดดาล

“ผู้คนที่ถูกละทิ้ง…” ฉินมู่หัวเราะด้วยเสียงอันดัง และชี้หน้าของ หลินเสวียน แทบจะรํ่าไห้จากการหัวเราะ “เจ้าคือผู้คนที่ถูกละทิ้ง! เจ้าก็เป็นผู้คนที่ถูกละทิ้ง! และเจ้า เจ้า เจ้า เจ้า ล้วนแต่เป็นผู้คนที่ ถูกละทิ้ง!”

ทุกคนมองไปที่เขาอย่างเย็นชาเมื่อนิ้วของเขาชี้ไปที่แต่ละคน ไม่เว้นใครเลย เมื่อเขาชี้มาถึงซวีเซิงฮวา เสียงหัวเราะของเขาก็ บรรเทาลง และสีหน้าเขาพลันกลายเป็นเย็นเยียบอย่างที่สุด “เจ้า เองก็เป็นผู้คนที่ถูกละทิ้ง!”

ซวีเซิงฮวาขมวดคิ้ว ท้องฟ้าสูงและหนาเพียงเท่านั้น อย่าว่าแต่ ดวงตะวัน ดวงจันทร์ และดวงดาวทั้งหลาย ขนาดภูเขาก็ยังเอายัด เข้าไปในความหนานั้นไม่ได้

แต่กระนั้นก็มีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาราจักรอยู่เบื้องบน ดังนั้นย่อมมีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียว คือหมู่ดาวอันพริบพราว ดวงอาทิตย์อันเจิดจ้า ดวงจันทร์อันแจ่มตา และดาราจักรอันเต็มไป ด้วยดวงดารานับล้านๆ ราวกับแม่นํ้านั้นล้วนแต่เป็นของปลอม…

พวกมันถูกวาดเอาไว้ที่นั่น!

ท้องฟ้านั้นเหมือนกับเวทปิดผนึกที่ปิดผนึกโลกหล้าเอาไว้ แสดงดวงตะวัน ดวงจันทร์ ดวงดาว และดาราจักรเทียมเท็จให้พวกเขาได้เห็น

ในแดนโบราณวินาศ มีเทือกเขาเทพทําลาย อันบริเวณรอบๆ มิอาจเห็นดวงอาทิตย์ เมื่อมาถึงกลางคืน ความมืดก็เข้ามารุกราน ดังนั้นจึงมิอาจเห็นดวงจันทร์ และดวงดาวเช่นกัน

ผู้คนในแดนโบราณวินาศคือผู้คนที่ถูกละทิ้งโดยเทพเจ้า

แต่ทว่า ชีวิตทั้งหมดในโลกหล้าแห่งนี้ก็เหมือนกับผู้คนที่ถูกละ ทิ้งในแดนโบราณวินาศ พวกเขาก็ล้วนแต่เป็นผู้คนที่ถูกละทิ้ง!

เจ้าสํานักเต๋าพลันสะบัดแขนเสื้อและกล่าวอย่างเย็นชา “ข้า ไม่ใช่ผู้คนที่ถูกละทิ้ง! ศิษย์สํานักเต๋า ไปกันเถอะ กลับไปที่ภูเขา!”

เมื่อเขาเดินไป นํ้าตาก็ไหลอาบหน้าทันที

“เต๋าไปตามครรลองธรรมชาติ…ตามธรรมชาติปลอมแม่มันสิ!” เจ้าสํานักเต๋าหนุ่มกู่ร้องไปยังท้องฟ้าจนคอแตก “ความพากเพียร ทั้งหมดของข้าในการฝึกบําเพ็ญ ถูกใช้ไปกับธรรมชาติปลอมแม่ มัน!”

AC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!