ตอนที่ 363 พันธมิตรสวรรค์
การวัดความสูงและความหนาของท้องฟ้าได้กระทบกระเทือน ฉินมู่และคนอื่นๆ อย่างสาหัส แต่เจ้าสํานักเต๋าหลินเสวียนนั้นโดน หนักที่สุด
หลักคําสอนของสํานักเต๋า วิชาฝึกปรือ และทักษะเทวะของ พวกเขา ล้วนแต่ก่อตั้งขึ้นมาบนรากฐานที่ว่าเต๋าไปตามครรลอง ธรรมชาติ เพื่อค้นหาแก่นแท้ของสรรพชีวิตผ่านธรรมชาติ นั้นคือ แก่นแท้ของวิชาฝึกปรือ ทักษะเทวะ และกรอบคิดจิตใจของพวก เขา
และแล้วเจ้าสํานักเต๋าหลินเสวียนก็พบว่าปรากฏการณ์บนฟากฟ้าแห่งธรรมชาตินั้นล้วนแต่เทียมเท็จ ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ จึงไม่แปลกที่กรอบคิดจิตใจของเขาจะพังทลาย!
เต๋าที่ยิ่งใหญ่ไหนจะตรึกตรองเข้าใจออกมาได้จากธรรมชาติ ปลอมๆ?
เจ้าสํานักเต๋าหลินเสวียนที่เดินไปข้างหน้าพลันขาอ่อนยวบ และเขาก็คุกเข่าลงกับพื้นดังตึบ สีหน้าของเขาแข็งทื่อ สายตาว่างเปล่า
นักพรตเต๋าสามสี่คนรีบไปช่วยพยุงเขาขึ้นมาและได้ยินเจ้าสํานักเต๋าพึมพํา “นิพนธ์ที่ 14 แห่งกระบี่เต๋ายังไม่เคยมีใครฝึกปรือสําเร็จมาก่อน และอาจารย์ข้าได้ใช้ทั้งชีวิตของเขาเพื่อตรึกตรองทําความเข้าใจมัน แต่เขาก็ยังคงฝึกปรือไม่สําเร็จ…ที่แท้ก็ไม่ใช่ เพราะว่าเขาทําไม่ได้ แต่เป็นเพราะว่าธรรมชาติทั้งมวลล้วนเทียม เท็จ เขาจะฝึกสําเร็จได้อย่างไร หากว่าธรรมชาติที่เขาตรึกตรอง ล้วนแต่เป็นของปลอม…แค่ก แค่ก!”
เขาไออย่างรุนแรง และโลหิตก็หลั่งไหลออกมาจากมุมปาก ของเขา เขาถูกทําลายจนยับเยิน คําสอนของสํานักเต๋าคือเต๋า ดําเนินตามครรลองธรรมชาติ แต่กระนั้นธรรมชาติก็กลายเป็น ปลอม แรงกระทบกระเทือนที่เขาได้รับจากการเรียนรู้เรื่องนี้ สามารถจินตนาการได้
ฉินมู่มองไปที่ซวีเซิงฮวาแล้วถาม “ท้องฟ้าในเหนือฟ้าของเจ้า เป็นเช่นเดียวกับท้องฟ้านี้หรือไม่”
ซวีเซิงฮวาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าก่อนจะพยักหน้า
ท้องฟ้าเดียวกัน หมู่ดาวเดียวกัน…เหนือฟ้าก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ฉินมู่บอกว่าเขาคือผู้คนที่ถูกละทิ้งเช่นกันนั้นไม่ใช่เรื่องเท็จ
เลยแม้แต่น้อย
ท้องฟ้านั้นเป็นกรงขัง และไม่ว่าจะเป็นเหนือฟ้าหรือแดน โบราณวินาศ พวกเขาล้วนแต่เป็นนกที่ไม่รู้ว่าตนเองอยู่ในกรง
ฉินมู่ปลุกปลอบใจของตนเองและเดินไปยังเจ้าสํานักเต๋าหลิน เสวียนเพื่อพยุงเขาขึ้น มา เขากล่าวด้วยเสียงแผ่ว “ความจริงนี้เย็น เยือกและยากที่จะยอมรับ ดังนั้นไม่เผยแพร่ไปสู่สาธารณะจะดีที่สุด ไล่ตามนักพรตจํานวนหนึ่งวิ่งหนีไปเมื่อครู่ และไม่ให้พวกเขาพูด เพ้อเจ้อ เจ้าจะต้องรักษาความหวังของพวกเขาเอาไว้บ้าง”
เจ้าสํานักหลินเสวียนมองไปที่เขา ตรงเข้าไปในดวงตา ด้วยสี หน้าพิลึกประหลาด เขาถามด้วยเสียงแหบพร่า “เจ้าคิดว่า ผู้คนจะ เชื่อที่พวกเขาพูดหรือ”
ฉินมู่ยิ้มแล้วกล่าว “ผู้คนจะเชื่อที่เจ้าพูด” “เจ้าไม่ร้องขอให้ข้าไม่พูดหรือ” เจ้าสํานักเต๋าหลินเสวียนเต็ม
ไปด้วยความเย้ยหยันตนเอง และเขาหัวเราะในคอ “เจ้าสํานักเต๋า
คนก่อนๆ ของพวกข้า และนักพรตคนอื่นๆ มากมายนับไม่ถ้วน ล้วนแต่ต้องการจะไขปริศนานิพนธ์ที่ 14 แห่งกระบี่เต๋า พวกเขา ทุ่มเทความพยายามอย่างมหาศาลสุดคาดหยั่งเพื่อตรึกตรองทํา ความเข้าใจธรรมชาติแห่งฟ้าและดิน แต่กระนั้นนิพนธ์ที่ 14 แห่ง กระบี่เต๋าก็ราวกับขุนเขาสูงเทียมฟ้าอันไม่อาจข้ามไปได้ ปริศนา อันไม่อาจไข แต่ในท้ายที่สุด มันก็เพราะว่าปรากฏการณ์บน ฟากฟ้าผิดเพี้ยนไปหมด ฮี่ๆ น่าขําอะไรเช่นนี้ น่าขําแม่มันจริง!”
แม้ว่าเขาจะเป็นเจ้าสํานักแห่งสํานักเต๋า หนึ่งในแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่โดยเนื้อแท้เขาก็ยังเป็นเด็กหนุ่ม ดังนั้นเขาอดไม่ได้ที่จะผรุสวาท ออกมา
“เจ้าสํานักเต๋ารุ่นก่อนๆ แห่งสํานักเต๋าไม่รู้ว่าความผิดพลาด อยู่ที่ใด ดังนั้นพวกเขาจึงฝึกปรือกระบี่ที่ 14 ไม่สําเร็จ แต่บัดนี้เมื่อ เจ้ารู้แล้ว บางทีเจ้าสํานักเต๋าหลินเสวียนอาจจะเป็นบุคคลแรกที่
ฝึกปรือกระบี่ที่ 14 สําเร็จ!” ฉินมู่กล่าวอย่างเต็มไปด้วยความหมาย เจ้าสํานักเต๋าหลินเสวียนสะท้านใจ และหันไปมองเขา
“วิกฤติ อันตราย มาคู่กับโอกาส สถานการณ์ตอนนี้เป็นทั้ง อันตรายและโอกาสในเวลาเดียวกัน” ฉินมู่ยิ้มและกล่าวเสริม “คน ทั่วไปคงมองเห็นแต่อันตราย แต่ผู้ทรงปัญญาย่อมเห็นโอกาสที่ แฝงอยู่ในอันตรายนั้น หากแต่ว่า มีแต่ผู้ที่เปี่ยมความสามารถ
เท่านั้นที่สามารถคว้าฉวยโอกาสเอาไว้ได้! เจ้าสํานักเต๋าเป็นคน ประเภทไหนหรือ”
เจ้าสํานักเต๋าหลินเสวียนหน้าอกกระพือขึ้นลงอย่างหนักหน่วง
เขาได้เห็นแล้วว่าท้องฟ้านั้นเป็นของปลอม และปรากฏการณ์ บนฟากฟ้านั้นก็เทียมเท็จ สิ่งเหล่านั้นได้ขัดขวางความก้าวหน้า ของมรรคา วิชา และทักษะเทวะของสํานักเต๋า ทําให้ทุกคนไม่อาจ ตรึกตรองเข้าใจแง่อัศจรรย์สุดท้ายของกระบี่เต๋าได้
แต่ทว่า ถ้อยคําของฉินมู่ทําให้เขามองเห็นโอกาส ในเมื่อเขารู้ ว่าสิ่งนี้จอมปลอม เขาย่อมต้องไปเพื่อชมดูของจริง แบบนั้นถึงจะมี โอกาสที่จะฝึกปรือนิพนธ์ที่ 14 แห่งกระบี่เต๋า!
“ข้ายอมรับนับถืออย่างเต็มหัวใจว่าท่านคือกษัตริย์มนุษย์” เจ้า สํานักเต๋าตั้งตัวและกล่าว “ข้ารู้สึกว่าการถกเถียงระหว่างหลักคํา สอนของสํานักเต๋าและลัทธินักบุญสวรรค์สามารถยุติลงได้ในที่สุด”
ฉินมู่ผงกหัว “ข้าก็คิดอย่างเดียวกัน ข้าคิดว่าพวกเราน่าจะ ก่อตั้งพันธมิตร และเมื่อความสามารถของพวกเราสูงเพียงพอ พวกเราก็จะสามารถทะลุทะลวงฟากฟ้านี้!”
หวางมู่หรันก้าวเข้ามาและยื่นฝ่ามือออกไป พลางกล่าว “หวางมู่หรันแห่งนครหยกน้อยยินดีที่จะก่อตั้งสัมพันธมิตรกับกษัตริย์มนุษย์และสํานักเต๋า!”
ฉินมู่และนักพรตหลินเสวียนยื่นฝ่ามือออกไปเช่นกัน ฉินมู่หัน กลับไปมองยังซวีเซิงฮวา ผู้ก้าวเดินเข้ามาและยื่นฝ่ามือมาด้วย เช่นกัน
“ซวีเซิงฮวาแห่งเหนือฟ้ายินดีที่จะก่อตั้งสัมพันธมิตรกับ กษัตริย์มนุษย์ สํานักเต๋า และนครหยกน้อย บัดนี้ไม่ใช่ว่าพันธมิตร ของเราควรจะได้ตั้งชื่อแล้วหรอกหรือ”
หวางมู่หรันแย้มยิ้มแล้วกล่าว “ทําไมพวกเราไม่เรียกว่า พันธมิตรสวรรค์ ล่ะ!”
ทั้ง 3 คนกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน “ยอดเยี่ยม! ตกลงเป็น พันธมิตรสวรรค์!”
ทั้ง 4 คนดึงฝ่ามือกลับ และเจ้าสํานักเต๋าหลินเสวียนก็ผงกหัว ให้กับทุกคน ก่อนที่จะพายอดฝีมือสํานักเต๋าทั้งหมดจากไป
“ใต้เท้าฉิน พวกเราควรบอกเรื่องนี้แก่จักรพรรดิหรือไม่” หั่วซานลิ่งก้าวเข้ามาถามด้วยเสียงเบา
“แน่นอน จักรพรรดิควรได้รับรู้” ฉินมู่กล่าว “แต่ว่าบอกเพียงแต่จักรพรรดิเท่านั้น อย่าแพร่งพรายไปให้คนอื่นรู้ ้ ระวังหัวเจ้าจะหลุดจากบ่า”
หั่วซานลิ่งรีบพยักหน้าทันทีและเรียกขุนนางคนอื่นๆ แห่งกรม ควบคุมฟ้ามาก่อนจะรีบรุดจากไป
หวางมู่หรันระบายลมหายใจสั่นสะท้านและกล่าว “กษัตริย์ มนุษย์ ขออภัยด้วย แต่ข้าจําเป็นจะต้องบอกกล่าวเรื่องนี้แก่ อาจารย์ลุงชิงโยว!”
ฉินมู่ผงกหัวและกล่าว “ผู้อมตะชิงโยวรู้ดีว่าอะไรควรพูดและ อะไรไม่ควรพูด บอกเขาได้ตามสบาย”
“ศิษย์พี่หญิง ช่วยไปตามหาศิษย์พี่หลงอวี๋ ส่วนข้าจะไปหา อาจารย์ลุง” หวางมู่หรันกล่าวแก่มู่ชิงไต้
ทั้ง 2 คนรีบแยกย้าย
ตอนนี้ก็เหลือแต่ฉินมู่ ซวีเซิงฮวา และจิงเอี้ยนที่ยังอยู่ ฉินมู่ปรายตามองซวีเซิงฮวาแล้วกล่าว “พี่ซวีดูจะไม่ตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย ขนาดเจ้าสํานักเต๋ายังอดที่จะแตกตื่นไม่ได้ สีหน้าเขา
ซีดเผือดและจิตใจของเขาก็สะท้านถึงรากถึงโคน กระนั้นพี่ซวีก็ ยังคงดูเป็นปกติ ข้าประทับใจจริงๆ แม้แต่ข้าก็ยังเสียกิริยาไปเมื่อครู่ ดังนั้นการฝึกปรือกรอบคิดจิตใจของข้านั้นยังคงด้อยกว่าพี่ซวีอยู่ เล็กน้อย”
ซวีเซิงฮวายังคงมีสีหน้าเดิม และกล่าว “ข้าตกใจอยู่ และ ตอนนี้ก็ยังไม่หายตื่นตระหนก เดิมทีข้าเคยคิดว่าเหนือฟ้านั้นอยู่ สูงส่งห่างไกลจากโลกมนุษย์ แต่ไม่คิดเลยว่าพวกเราจะอยู่ในกรง เดียวเช่นกัน นี่ทําให้ข้าปั่นป่วนอย่างยิ่ง”
ฉินมู่เพ่งพิศดูเขา แต่ไม่อาจเห็นสีหน้าตื่นตกใจ เขาถามอย่าง สงสัย “จริงหรือ”
“จ้าวลัทธิฉิน คุณชายของข้าเป็นเช่นนี้เองเมื่อเขาตื่นตระหนก อย่างมากเขาก็จะขมวดคิ้วเล็กน้อย” จิงเอี้ยนกล่าวด้วยเสียงเบา
ฉินมู่ขมวดคิ้ว “แล้วตอนที่เขาไม่ตกใจล่ะ?” “ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน”
ฉินมู่อ้าปากค้าง ซวีเซิงฮวาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าและพึมพํา “พี่ฉิน ท่านคิดว่าอะไรอยู่เหนือท้องฟ้านั้นหรือ”
“ข้าไม่รู้”
ฉินมู่เลือกที่จะเดินกลับไปเมืองหลวงและกล่าว “เมื่อพวกเรามี ความสามารถพอ ก็จะขึ้นไปดูกัน”
ซวีเซิงฮวาตามเขาไป และทั้ง 3 คนก็เข้าไปในเมือง ระหว่างที่ ฉินมู่ไปยังมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ ผู้เชี่ยวชาญพีชคณิตจํานวน มากในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิก็ได้ยืนยันตัวแบบพีชคณิตห้วงมิติ ในหนังสือทองคําแล้ว สํานักเต๋าได้คัดลอกไปฉบับหนึ่ง และวังหลวงก็มีฉบับหนึ่ง ผู้สันโดษชิงโยวก็ได้คัดลอกเหมือนกัน และ ฉบับคัดลอกอีกฉบับก็ถูกเก็บไว้ที่มหาวิทยาลัยจักรวรรดิ แน่นอน ว่าลัทธินักบุญสวรรค์ก็มี 1 ฉบับเป็นของตนเอง
การค้นคว้าหนังสือทองคํานั้นหมายความว่ายอดฝีมือระดับจ้าวลัทธิผู้ซึ่งติดอยู่ที่ขั้นสะพานเทวะก็จะมีโอกาสทลายขั้นวรยุทธ์ นี่จะนําไปสู่การเกิดขึ้นของเทพเจ้ากลุ่มใหญ่ แน่ล่ะว่าไม่ใช่ทุกคน ที่จะสามารถเชื่อมต่อสะพานเทวะได้ ในการฝึกปรือวิชาในหนังสือ ทองคํานั้น ผู้ฝึกจําต้องมีความสําเร็จเชิงพีชคณิตอย่างเลิศลํ้าสูงส่ง
หากว่าความสําเร็จของพวกเขาไม่เลิศลํ้า พวกเขาก็จะยังไม่ อาจซ่อมปะสะพานเทวะได้ แม้ว่าจะได้รับวิชาฝึกปรือและตัวแบบ พีชคณิตห้วงมิติในหนังสือทองคําไป
ฉินมู่กลับไปยังเรือนพักของตนเอง และเห็นผู้สันโดษชิงโยว ผู้ใหญ่บ้าน และคนอื่นๆ ซึ่งมีสีหน้าเคร่งเครียดหดหู่ หวางมู่หรันเอง ก็อยู่ข้างๆ ดังนั้นเขาจึงเดาได้ว่า หวางมู่หรันคงบอกพวกเขาถึงสิ่ง ที่ฉินมู่และคณะค้นพบไปแล้ว
“ข้าคิดถึงคนผู้หนึ่ง” ผู้ใหญ่บ้านเงยหน้าขึ้นมามองท้องฟ้าและ พลันกล่าวด้วยเสียงเหม่อ “บางทีเขาอาจจะรู้รายละเอียดบางอย่าง สหายเต๋าชิงโยว เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าพูดถึงใคร?”
“ข้ารู้ บุคคลผู้เงื้อมีดขึ้นสู่สวรรค์” ผู้สันโดษชิงโยวประกายตาวูบวาบ “ดาบสวรรค์”
ฉินมู่ตะลึงไป “ท่านปู่คนแล่เนื้อ?”
“คํารํ่าลือกล่าวว่าดาบสวรรค์ได้เงื้อมีดท้าทายสวรรค์ และมีผู้คนมากมายได้เห็นฉากเหตุการณ์นั้น มีดของเขากรีดเปิดท้องฟ้า และทวยเทพก็ปรากฏตัวขึ้นมา เขาต่อสู้กับเทพยดา เหล่านั้นจนกระทั่งศพของเขาร่วงหล่นลงกลับสู่โลกมนุษย์ เขานั้น เป็นที่รู้จักกันว่าคนคลั่งยุทธ์ที่เสียสติอย่างที่สุด และหากว่ามิใช่เพราะการต่อสู้นั้น ดาบสวรรค์คงไม่สาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย”
ผู้สันโดษชิงโยวกล่าวเสริม “หากว่าดาบสวรรค์ไม่จากไปใน ตอนนั้น ราชครูสันตินิรันดร์คงไม่อาจใช้แนวสํานักควบคุมกระบี่ บินของเขามาเอาชนะแนวสํานักวิชาบู๊ได้ และเขาก็คงไม่ได้เป็นที่รู้จักกันในนามกระบี่เทวะ เทพเจ้าที่ต่อสู้กับดาบสวรรค์ในตอนนั้นมิ ได้มาจากเหนือฟ้า แต่มาจากอวกาศนอกโลก ข้าไม่เคยครุ่นคิด เกี่ยวกับมันมาก่อน แต่บัดนี้เมื่อมาคิดดู ดาบสวรรค์จะต้องรู้หลาย สิ่งเป็นแน่ ไม่กี่วันก่อน ดาบสวรรค์และทวนเทวะได้มาเป็นแขกที่ นครหยกน้อยของข้า แต่พวกเขารีบจากไปโดยพลันเมื่อสัมผัสได้
ถึงรัศมีกลิ่นอายของเทพเจ้าทั้งหลายจากเหนือฟ้า น่าเสียดายที่ พวกข้าไม่รู้ว่าพวกเขาไปที่ไหน”
ผู้ใ หญ่บ้า นครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้ว กล่าว “เจ้าบ้านั่นต้อ งไป เสาะหาเทพเจ้าปลอมแห่งเหนือฟ้าเป็นแน่ ในเมื่อสะเอวของเขาเชื่อมต่อกันใหม่เรียบร้อยแล้ว เขาก็ได้ตกอยู่ในสภาวะกึ่งบ้าตลอดเวลา หากว่าเฒ่าบอดไม่ได้อยู่กับเขา ใครจะรู้ล่ะว่าเขาจะก่อ
เรื่องอะไรอีก เขารู้ความลับมากมาย เช่นนั้นพวกเราไปตามหาเขา กันดีกว่า มู่เอ๋อ พวกเราไปเสาะหาคนแล่เนื้อกัน”
ฉินมู่ลังเลครู่หนึ่ง “ราชครูสันตินิรันดร์ยังติดค้างข้า 100 สมบัติวิเศษ และเขากําลังจะกลับมาถึงเมืองหลวงในไม่นาน…”
ผู้ใหญ่บ้านส่ายหัว “สมบัติในวังทองโหรวหลันมีอะไรให้ไยดี ผู้ สูงศักดิ์แห่งวังทองโหรวหลันไม่ใช่ตัวอะไรนอกไปเสียจากตาเฒ่า กระดูกผ้าขี้ริ้ว เฒ่าเป๋ไม่แม้แต่จะเหลือบแลสมบัติที่หมอนั่นสะสมไว้ ในชาติก่อนๆ”
ฉินมู่ลังเลอยู่นิดหน่อย จากนั้นจึงเรียกฮู่หลิงเอ๋อมาสั่งความ “หลิงเอ๋อ ราชครูสันตินิรันดร์ติดค้างข้า 100 ชิ้นสมบัติ ดังนั้น เมื่อเขากลับมายังเมืองหลวงแล้ว ช่วยข้าไปตามเก็บมาให้หน่อย”
ฮู่หลิงเอ๋อตาเป็นประกายทันที และแย้มยิ้ม “คุณชาย สมบัติอะไรหรือ”
“เขาจะนําสมบัติต่างๆ กลับมาจากวังทองโหรวหลัน และพวก เราสามารถเลือกหยิบชิ้นไหนก็ได้ 100 ชิ้น!” ฉินมู่กล่าว
ฮู่หลิงเอ๋อลิงโลด แต่นางลังเลแล้วกล่าว “คุณชาย สายตาข้า ไม่เฉียบขาดเช่นท่าน ข้าเกรงว่าข้าอาจจะเลือกชิ้นที่ดีมาไม่ได้”
“ข้าจะสอนวิชาปลุกเนตรสวรรค์เก้าให้เจ้า เพื่อที่เจ้าจะได้ปลุก เนตรและมองดูว่าสมบัติไหนควรค่า”
… ฉินมู่สอนวิชาปลุกเนตรสวรรค์เก้าให้ฮู่หลิงเอ๋อก่อนที่จะปลุก
กิเลนมังกร เขาวางผู้ใหญ่บ้านไว้บนหลังของมันแล้วกล่าว
“ผู้ใหญ่บ้าน พวกเราจะตามหาท่านปู่คนแล่เนื้อได้อย่างไร”
“ง่ายมาก เพียงแค่ข้าปลดปล่อยรัศมีออกไป และผู้มาเยือน จากเหนือฟ้าก็จะตื่นตูม ด้วยวิธีนี้คนแล่เนื้อและเฒ่าบอดก็จะถูกเร้า ความสนใจด้วยเช่นกัน และพวกเขาก็จะรู้เกี่ยวกับพวกเรา ผู้มา เยือนจากเหนือฟ้าจะต้องปลดปล่อยรัศมีของพวกเขาออกมาเพื่อ ท้าทายข้า หลังจากที่เขาไปถึงแล้ว พวกเราก็จะสามารถพบกับคน แล่เนื้อและเฒ่าบอด” ผู้ใหญ่บ้านกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย
จากนั้นเขาก็กล่าวเสริมด้วยเสียงเบา “ได้เวลาที่จะคิดบัญชีกับ ผู้มาเยือนจากเหนือฟ้าแล้ว”
เขานั้นกําลังจะเปล่งรัศมีออกมา แต่ทันใดนั้นก็เผยสีหน้าตื่น ตระหนก ผู้สันโดษชิงโยวและยอดฝีมือแกร่งแห่งนครหยกน้อยล้วน แต่มองไปยังทิศทางเดียวกันด้วยความแตกตื่น
ฉินมู่กําลังจะถามเรื่องราว และพลันรู้สึกถึงคลื่นสั่นสะเทือนอัน น่าสะพรึงกลัวแล่นมา
“เป็นเจ้าพวกจากเหนือฟ้า แปลก ข้ายังไม่ทันเปล่งรัศมีออกมา แต่พวกเขาก็เผยตําแหน่งที่อยู่ของตนเองแล้ว…ไม่ใช่แล้ว พวกเขา เริ่มลงมือต่อสู้กัน!” ผู้ใหญ่บ้านพึมพํา จากนั้นเขาก็ร้องออกมา “เทพครองแดนทั้ง 4 แห่งเหนือฟ้ากําลังฆ่าฟันซึ่งกันและกัน! มู่เอ๋อ ข้าจะล่วงหน้าไปก่อน!”
ตูม!
เสียงกึกก้องดังมาจากเก้าอี้โยก และผู้ใหญ่บ้านก็หายวับไป จากหลังกิเลนมังกร แรงสั่นสะเทือนอีกหลายระลอกกระเพื่อมมา เมื่อชิงโยว โยวเหอ และโหยวอวิ๋น 3 เซียนเฒ่า ก็ได้หายวับไปใน อากาศธาตุเช่นกัน
“มู่หรัน หลังจากชิงไต้หาตัวหลงอวี๋พบ พวกเจ้าจงรีบตามมา!” เสียงของผู้อมตะชิงโยวร้องบอกมาจากที่ไกลๆ



