ตอนที่ 587 ข้าชอบเจ้า
ม่อเป่ยกล่าวจบก็หันหลังเดินไป ลูกน้องด้านหลังสบตากัน จากนั้นก็ยักคิ้วให้กัน กล่าวเบาๆ ว่า “บุปผาในใจเจ้านายเบ่งบานหรือนี่ เมื่อก่อนไม่ยักเห็นกระตือรือร้นกับหญิงใดเช่นนี้”
“เป็นเรื่องดี”
“แต่เมื่อครู่เจ้านายเรียกนางว่าลู่เหนียงจื่อ นางเป็นหญิงมีสามีแล้ว”
ม่อเป่ยไม่ได้สนใจลูกน้องด้านหลัง ก้าวเดินออกจากโรงเตี๊ยมไปบอกลู่เจียวที่กำลังเตรียมตัวขึ้นรถม้า ว่า “เจ้าวางแผนกลับอำเภอชิงเหอใช่หรือไม่”
ลู่เจียวพยักหน้า “อืม”
ม่อเป่ยเสียงดังขึ้นว่า “ข้าส่งเจ้ากลับอำเภอชิงเหอ”
ลู่เจียวคิดว่าตนเองฟังผิด หันหน้าไปมองม่อเป่ย “ท่านว่าอันใดนะ”
ม่อเป่ยมองนางกล่าวว่า “ข้าส่งเจ้ากลับอำเภอชิงเหอ”
ลู่เจียวสีหน้าไม่เข้าใจ มองม่อเป่ยเอ่ยว่า “อยู่ดีๆ มาส่งข้ากลับอำเภอชิงเหอทำไมกัน ท่านเป็นองครักษ์อ๋องเยียน หรือว่าไม่ต้องคอยอารักขาท่านอ๋องหรือ”
“ข้างกายท่านอ๋องมีคนมากมาย ไม่สนใจข้าเพียงคนเดียวหรอก เจ้าเป็นหญิงตัวคนเดียวกลับอำเภอชิงเหอ ข้าไม่วางใจ ดังนั้นจะไปส่งเจ้ากลับ”
ม่อเป่ยกล่าวจบก็ไม่รอให้ลู่เจียวเอ่ย กล่าวต่อว่า “เจ้าช่วยท่านอ๋องไว้ หากท่านอ๋องรู้ว่าเจ้ากลับอำเภอชิงเหอตัวคนเดียว ย่อมต้องเห็นด้วยให้ข้าไปส่งเจ้ากลับอำเภอชิงเหอ”
ลู่เจียวไม่รู้ว่าคนผู้นี้ลมเพลมพัดอันใด อยู่ๆ จะมาดึงดันไปส่งนางกลับอำเภอชิงเหอทำไมกัน ข้างกายนางมีหร่วนไคกับหร่วนจู๋สองพี่น้องก็ไม่จำเป็นต้องให้เขาไปส่งแล้ว
ลู่เจียวมองม่อเป่ยกล่าวว่า “ข้างกายข้ามีคนอารักขาแล้ว องครักษ์ม่อกลับไปอารักขาอ๋องเยียนเถอะ”
ม่อเป่ยมองลู่เจียวด้วยสีหน้าดึงดัน
“ข้าจะไปส่งเจ้ากลับอำเภอชิงเหอ”
ลู่เจียวจ้องมองม่อเป่ย “เจ้าอยู่ดีๆ เป็นอันใดขึ้นมา”
ก่อนหน้านี้ยังเป็นปรปักษ์กับนางอยู่เลย ตอนนี้ถึงกับใจดีจะไปส่งนางกลับอำเภอชิงเหอ แท้จริงคิดเล่นอุบายอันใดกันแน่
ม่อเป่ยถูกลู่เจียวจ้องจนเขินอาย ไม่กล้าสบตาลู่เจียว หันหลังเดินไปที่ม้าตนเองหน้าประตู “ไปกันเถอะ ข้าจะส่งเจ้ากลับอำเภอชิงเหอ”
เขากล่าวจบก็ไม่รอให้ลู่เจียวตอบ กระโดดขึ้นหลังมาทันที ลู่เจียวขี้เกียจจะสนใจเขา หันหลังขึ้นรถม้า ทุกคนจากอำเภอชานเมืองกลับอำเภอชิงเหอ
ตลอดทางมา ความเร็วของทุกคนไม่ได้เร็วมาก พบโรงเตี๊ยมก็เข้าพัก พบร้านอาหารก็กินข้าว แต่ลู่เจียวก็ยังคงผ่ายผอมลงอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้ร่างอรชรของนาง ยามเดินราวกับกิ่งหลิ่วต้องลมไหว แม้ว่าสีหน้านางนิ่งสงบ แต่คนฉลาดก็มองความในใจของนางออกว่าน่าจะทุกข์ใจไม่น้อย ดังนั้นจึงได้ผ่ายผอมลงอย่างรวดเร็วเช่นนี้
แม้ว่าผ่ายผอมลง แต่ความงามของนางก็ยังเป็นที่สะดุดตา ทว่าทุกคนเห็นนางเช่นนี้ ในใจก็ทุกข์ใจตามไปด้วย
เฝิงจือกับหร่วนจู๋อยู่เป็นเพื่อนนาง อดกล่าวอย่างปวดใจไม่ได้ว่า
“ในเมื่อเหนียงจื่อไม่อยากแยกจากคุณชายและคุณชายน้อยทั้งสี่ เหตุใดจึงแอบจากมาเช่นนี้”
ในใจลู่เจียวก็ปวดใจอยู่มาก นางชอบเซี่ยอวิ๋นจิ่นและก็ชอบเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ ที่สำคัญที่สุดก็คือนางทะลุมิติมาในนิยายก็อยู่กับพวกเขามาตลอด ตอนนี้ต้องมาแยกจากกันกะทันหัน ไม่เพียงแต่ความรู้สึกที่ยากทนรับไหว แม้แต่จิตใจก็ยังสูญเสียที่พึ่งพิง ดังนั้นนางจึงผ่ายผอมลงอย่างรวดเร็วเช่นนี้
“ข้าไม่เป็นไร พวกเจ้าอย่าได้เป็นห่วง ไม่นานก็จะดีขึ้น”
นางตัดสินใจไปจากพวกเขา อย่างไรก็ต้องดำรงชีวิตด้วยตนเองให้ชิน
เฝิงจือกับหร่วนจู๋ยังคิดเอ่ย แต่ลู่เจียวกลับหลับตาลงพิงกำแพงนอนพัก สองบ่าวได้แต่หุบปาก
ตกค่ำกินอาหารเสร็จ ลู่เจียวนั่งอยู่บนขั้นบันไดหน้าประตู เงยหน้ามองจันทร์เสี้ยวกลางท้องฟ้าค่ำคืน ครุ่นคิดถึงเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง
นางรู้พวกเขาต้องคิดถึงนางเหมือนที่นางคิดถึงพวกเขา แต่เวลาจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นเอง ความคิดถึงพวกนี้ช้าเร็วทุกคนก็จะชินชาไปเอง
ขณะลู่เจียวกำลังคิดอยู่ บนขั้นบันไดก็มีคนนั่งลงมาอีกคน
ลู่เจียวหันไปมองด้วยสัญชาตญาณทันที พบว่าคนที่ลงนั่งข้างกายนางก็คือม่อเป่ย
ม่อเป่ยดูแลนางอย่างดีมาตลอด ยังมักเป็นเพื่อนคุยกับนางเสมอ
ความสัมพันธ์ลู่เจียวกับเขาดีขึ้นอย่างมาก ไม่ได้เจอกันก็กระทบกระเทียบเสียดสีกันเหมือนเมื่อก่อน
ม่อเป่ยเห็นลู่เจียวผ่ายผอมฮวบฮาบเช่นนี้ พอเห็นนางฝืนยิ้ม ในใจก็ทุกข์ใจอย่างมาก
ความจริงเขาชอบนาง ได้ยินว่านางหย่ากับเซี่ยอวิ๋นจิ่น เขาคิดว่าโอกาสตนเองมาถึงแล้ว ดังนั้นจึงได้ยืนยันจะตามมาส่งนางกลับอำเภอชิงเหอ
“ในเมื่อทุกข์ใจ เหตุใดจึงต้องจากมา”
ลู่เจียวยิ้มเฝื่อน นางไม่อาจกล่าวรายละเอียดในเรื่องราวเหล่านี้กับม่อเป่ยได้กระจ่าง ได้แต่กลบเกลื่อนไปว่า
“ก็บอกแล้วว่าข้าไม่ชอบชีวิตในเมืองหลวงไม่ใช่หรือ”
ม่อเป่ยมองนางอย่างรู้สึกประหลาด กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้เซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่ได้ทูลขอท่านอ๋องว่าจะออกไปรับตำแหน่งนอกเมืองหลวงแล้วหรือ เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ต้องเผชิญหน้ากับชนชั้นสูงศักดิ์ในเมืองหลวงพวกนั้นแล้ว”
“แต่ช้าเร็วก็ต้องกลับไป ข้าอยากมีชีวิตที่เรียบง่าย ไม่อยากต้องมาใช้สมองประลองอุบายกับผู้อื่น เจ้าดูสิ ครั้งนี้ข้าเข้าเมืองหลวงมา ล่วงเกินคนไปมากมายเท่าไร หากคนพวกนั้นล้วนมาวางอุบายข้าจะทำเช่นไร ข้ารังเกียจชีวิตเช่นนั้น”
แม้ว่าม่อเป่ยไม่ค่อยเข้าใจว่าหลังลู่เจียวเข้าเมืองหลวงแล้วเกิดเรื่องต่างๆ นานาอันใด แต่ก็เคยได้ยินมาบ้าง ตอนนี้ได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ก็อดสงสัยไม่ได้
เขาหันหน้าไปมองลู่เจียวกล่าวว่า “ในเมื่อหย่าแล้ว เช่นนี้เจ้าทำตัวให้เบิกบานหน่อย เจ้าเป็นเช่นนี้ พวกเราทุกคนมองแล้วปวดใจ”
ลู่เจียวสงบอารมณ์ลงแล้วก็อมยิ้มกล่าวว่า “อืม ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว ข้าใช้ชีวิตกับพวกเขามานานเช่นนั้น อยู่ๆ ต้องมาจากกัน ย่อมต้องตัดใจไม่ลง นานไปก็ดีเอง”
ม่อเป่ยได้ฟังคำพูดลู่เจียวก็รับคำเบาๆ ว่า “ข้าจะเป็นเพื่อนเจ้า”
เขากล่าวจบ ลู่เจียวพลันคิดถึงบางอย่างขึ้นมาได้ นางหันหน้าไปมองม่อเป่ย
ครั้งนี้ม่อเป่ยจ้องมองนางเขม็งอย่างดื้อดึง
ลู่เจียวครุ่นคิดคำพูดเมื่อครู่ของม่อเป่ย อดคิดมากไม่ได้ จากนั้นนางก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ “เจ้าคงไม่ใช่ว่า…”
ลู่เจียวพูดต่อไม่จบ ม่อเป่ยกลับยืนยันหนักแน่น “ใช่ ข้าชอบเจ้า คิดอยากดูแลเจ้า เจ้าไม่ชอบชีวิตในเมืองหลวงก็ไม่ต้องอยู่เมืองหลวง เจ้าไม่ชอบความวุ่นวาย บ้านข้ามีข้าคนเดียว ไม่มีความวุ่นวายอื่นใด”
สีหน้าลู่เจียวราวกับถูกสายฟ้าฟาด ระยะนี้นางเอาแต่เศร้าเสียใจ ไม่ได้คิดสาเหตุที่ม่อเป่ยว่าจะไปส่งนางกลับอำเภอชิงเหอ ตอนนี้มาคิดดู ที่แท้เจ้าหมอนี่ชอบนาง แต่นางกับเขาไม่ใช่เป็นปรปักษ์กันหรือ เหตุใดเขาจึงชอบนางได้
“เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ ข้าแต่งงานแล้ว ยังมีลูกถึงสี่คน เจ้ากลับยังชอบข้า”
ม่อเป่ยยิ้มบาง กล่าวว่า “ข้าไม่สนใจเรื่องพวกนั้น ข้ารู้เพียงว่าข้าชอบเจ้า ข้าถูกเจ้าดึงดูดไปแล้ว ข้ามักจะเอาแต่คิดถึงเจ้า ก่อนหน้านี้เพราะเจ้าเป็นภรรยาเซี่ยอวิ๋นจิ่น ข้าจึงได้ระงับความคิดไม่ดีเหล่านี้ แต่ตอนนี้พวกเจ้าหย่าแล้ว ดังนั้นข้าจึงคิดขอลองดู”
ลู่เจียวมองม่อเป่ยอย่างตกใจ นางคิดมาตลอดว่าคนโบราณหัวคิดคร่ำครึ คิดไม่ถึงว่าคนเขาไม่ใส่ใจ
“แต่พวกเราทั้งสองคนไม่ใช่ว่าเป็นปรปักษ์กันหรือ ข้าคิดว่าพวกเราแม้ไม่ใช่ศัตรู แต่ก็ไม่ถูกชะตากัน”
กล่าวถึงตรงนี้ ม่อเป่ยก็เขินอายก้มหน้าลงกล่าวว่า “ก็เป็นเพราะพวกเราทั้งสองคนเป็นปรปักษ์กัน ข้าจึงได้ค่อยๆ ถูกเจ้าดึงดูด ข้ารู้สึกว่าเจ้าน่าสนใจ เป็นหญิงมีความสามารถ ไม่เหมือนผู้หญิงในเมืองที่วันๆ เอาแต่ลอบวางอุบายล่อลวงผู้ชายพวกนั้น”



