ตอนที่ 96-2
จะชายหรือหญิง คุณชายก็สังหาร!
วังหลวงแคว้นฉิน หลังจากที่ฉินจิ่นเฉินจัดการธุระสำคัญเสร็จแล้วก็กลับไปพักในตำหนักชั่วคราวของตนเอง
เพิ่งจะเดินเข้าไป เขาก็พลันได้พบกับร่างหนึ่งอย่างไม่คาดฝัน
ร่างกายอันผอมบางของนาง เมื่อยืนอยู่ใต้เงาแสงจากดวงสุริยา ประหนึ่งเป็นเพียงแค่กลุ่มควันจางๆ
“ฉางเล่อ?” ฉินจิ่นเฉินเดินเข้าไปเรียกชื่อของคนผู้นั้น
ฉินอี้เหยาหันกลับมาอย่างช้าๆ สายตาอันเย็นเยียบหยุดอยู่ที่ฉินจิ่นเฉิน “เสด็จพี่ วันนี้ข้าได้ใปเยี่ยมเหลียนเหลียนมา”
ฉินจิ่นเฉินเดินข้าลง ค่อยๆ พยักหน้าให้กับคำพูดของฉินอี้เหยา และไม่รู้ว่าควรจะตอบเช่นไรดี
ฉินอี้เหยามองเขา หลังจากพินิจเป็นเวลานาน จึงพูดว่า “ข้าไม่คิดเลยว่า สุดท้ายจะเป็นท่าน แต่ท่านกลับสละบัลลังก์อย่างง่ายดายและไม่ใส่ใจเช่นนี้”
ในแววตาอันเย็นชาของฉินจิ่นเฉิน ไม่เผยให้เห็นถึงความรู้สึกอันใด
เขาผุดรอยยิ้มตรงมุมปากที่ยังคงเย็นเยียบ “เจ้าคงคิดว่า ข้าเป็นคนที่เจ้าแผนการมากที่สุด”
“ไม่” ฉินอี้เหยาส่ายหน้าเบาๆ “หากท่านหมายตาในบัลลังก์นี้ ในตอนนี้ก็คงไม่มีการสละบัลลังก์เช่นนี้”
“เหตุใดเจ้าไม่คิดว่า ที่ข้ายกบัลลังก์ให้องค์ชายเจ็ดก็ พื่อควบคุมทุกอย่างอยู่เบื้องหลัง?” สายตาอันแนบนิ่ง ของฉินจิ่นเฉินจับจ้องบนตัวนาง บรรยากาศภายในตำหนักราวกับเย็นยะเยือกลงหลายองศา
ฉินอี้เหยายิ้มขื่นและก้มหน้าลง “จะใช่หรือไม่ใช่ก็ไม่ เกี่ยวกับข้า ที่ข้ามาพบท่านในวันนี้เพียงแค่มีเรื่องจะขอร้อง”
สายตาของฉินจิ่นเฉินแฝงความสงสัย เขาเม้มปากโดยไม่พูดอะไร
ฉินอี้เหยามองเขา ใช้นํ้าเสียงที่แสดงถึงความตั้งใจที่ไม่เคยมีมาก่อนพูดว่า “ลบชื่อข้าออกจากราชวงศ์แคว้นฉิน ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป วังหลวงแคว้นฉินจะไม่มีคนชื่อฉินอี้เหยาอีกต่อไป”
ฉินจิ่นเฉินหรี่ตา เขาเดาจุดประสงค์ของนางออก “เจ้าคิดจะทำการใด เจ้าจะไปจากที่นี่และไม่กลับมาอีกอย่างนั้นหรือ”
ฉินอี้เหยายิ้มอย่างโศกเศร้า “กลับมาทำไม ที่นี่ยังมีอะไรควรค่าที่ข้าควรจะระลึกถึงอีกเล่า”
“เจ้าคิดจะไปที่ใด? แล้วมู่ชิงเกอล่ะ? เจ้าจะไม่พบเขาอีกแล้วหรือ” ฉินจิ่นเฉินยังคงไม่หยุดถาม
ขนตาอันยาวงอนของฉินอี้เหยากระตุกทีหนึ่ง นางพยายามหลบหน้าจากสายตาของฉินจิ่นเฉิน “ไปไหน? ข้ายังไม่ได้คิด หลินชวนกว้างใหญ่ไพศาลถึงเพียงนี้ ต้องมีที่ให้ข้าชอบเป็นแน่และสำหรับเขา…ตอนนี้ข้าควรจะเผชิญหน้ากับเขาอย่างไร”
“เจ้าเกลียดเขาหรือไม่” ฉินจิ่นเฉินเดินเข้ามาหนึ่งก้าว โดยไม่ละสายตาจากทุกอาการที่นางแสดงออกมา ฉินอี้เหยาตัวเริ่มสั่น นางกัดริมฝีปากเรียวบางของตน ในแววตาเปี่ยมล้นไปด้วยความรู้สึกสับสนพลันพูดว่า “เกลียดอย่างนั้นหรือ? ข้าจะเกลียดได้อย่างไร? เพียงข้าเกลียดเขาก็จะสามารถฆ่าเขาได้เลยหรืออย่างไร? หรือฆ่าเขาแล้วข้าจะหายเกลียด?”
“หากเจ้ามิอาจลืมเขาได้ เหตุใดจึงไม่อยู่ต่อ เขาไปชิงตัวเจ้าเพื่อความสุขของเจ้า ซึ่งบ่งบอกว่าในใจของเขามีเจ้าอยู่…….. ”
“อยู่ต่อรึ ให้ข้าคิดเสียว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นและอยู่กับเขาโดยที่ไม่มีอะไรค้างคาใจอย่างนั้นหรือ” ฉินอี้เหยาตัดบทคำพูดของฉินจิ่นเฉิน
หากอยู่ต่อ นางจะต้องเป็นทุกข์
หากยังวนเวียนอยู่ในวังวนแห่งความรักและความเกลียดต่อไป นางรู้ว่าตนเองไม่มีทางที่จะแก้แค้นมู่ชิงเกอได้และก็ไม่สามารถที่จะอยู่เคียงข้างมู่ชิงเกอราวกับไม่ เคยมีอะไรเกิดขึ้นได้เช่นกัน
ฉะนั้นการจากไปจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะสำหรับตนเองหรือมู่ชิงเกอ ฉินจิ่นเฉินมองฉินอี้เหยาที่จากไปจนลับสายตาไป แผ่นหลังอันเย็นเยียบนั้น ทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก
เขาไม่ชอบยุ่งเรื่องของผู้อื่นมาแต่ไหนแต่ไร แต่ทว่าหากพบกับคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับมู่ชิงเกอ เขาก็คล้ายดั่งสูญเสียความเป็นตัวเอง
ฉินจิ่นเฉินขมวดคิ้วหนา พลันหันหลังและเดินจากไป เรื่องการขึ้นครองบัลลังก์ยังมีรายละเอียดอีกมากมายที่เขายังต้องไปจัดการ แต่จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่ค่อย กระจ่างว่าตนเองได้ก้าวขึ้นเรือลำเดียวกันกับมู่ชิงเกอไปแล้ว อีกทั้งยังต้องคอยตามจัดการปัญหาที่นางก่อเอาไว้
แคว้นถู แคว้นที่ห่างไกลที่สุดในทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของหลินชวน ที่แห่งนี้ เป็นพื้นทะเลทรายที่เกิดพายุบ่อยครั้งและเป็น ทุ่งหญ้าอันกว้างขวาง ในช่วงที่ไม่เกิดพายุ จะเห็นภาพทิวทัศน์อันสวยงาม ลมพัดเย็นสบาย เหล่าวัวและแพะ ต่างพากันออกมากินหญ้า แต่ทว่าหากเป็นช่วงที่มีพายุนั้น จะรู้สึกราวกับอยู่ในนรก
สภาพอากาศของที่นี่ หากหนาวก็จะหนาวมาก หากร้อนก็จะร้อนมาก ในแต่ละวันจะต้องพบเจอกับอากาศทั้งสองแบบ
สำหรับแคว้นถูนี้ ในสายตาของแคว้นอื่น ๆ เป็นคำนามที่แสดงถึงความป่าเถื่อนและโหดร้ายเป็นอย่างมาก
ประชาชนของพื้นที่แห่งนี้ ชอบการทำสงคราม การปล้น ชิงทรัพย์ สำหรับคนที่นี่แล้วคุณธรรมเป็นสิ่งที่ไร้สาระ มากที่สุดเลยก็ว่าได้
เมืองหลวงของแคว้นถู ถูกเรียกว่า หวังถิง
กลางดึก ภายในหวังถิงยังคงครึกครื้นอีกเช่นเคย ชายหนุ่มแคว้นถู มักจะดื่มด่ำความสุขไปพร้อมกับสุราในทุกคํ่าคืน บรรดาหญิงสาวต่างก็นั่งล้อมกันเป็นวงกลม ชื่นชมความเก่งกาจของชายหนุ่มของตนเอง
ถึงขั้นว่า หากต่างฝ่ายต่างสมยอม หนุ่มสาวแคว้นถูสามารถหาที่ลับตาคนเพื่อแสดงความใคร่ของตนเองออกมาได้
ภายในตำหนักรัชทายาทแห่งหวังถิง อาคารหยาบกว้างขวาง เมื่ออยู่ในยามคํ่าคืน เป็นดั่งสัตว์ป่าตัวใหญ่ที่คืบคลานอยู่บนพื้นดิน ภาพสัตว์นานาชนิดที่สลักเพื่อ ตกแต่งอยู่บนเสายิ่งเพิ่มความน่าสยดสยอง คานตำหนักที่อยู่สูงขึ้นไปกลบแสงสว่างจากกระถางไฟที่ใช้ขับไล่ความมืดภายในตำหนัก รวมทั้งกันความหนาว เย็นจากภายนอก
ภายในวังหลวง บนพื้น มีหนังสัตว์แผ่นหนาปูอยู่ ในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นคาว และกลิ่นเหล้าที่ปะปนกันมา
ด้านหลังฉากบังลมที่ทำจากหนังสัตว์ มีเสียงกระเส่าดังลอยมา
ทำให้อุณหภูมิภายในตำหนักเพิ่มขึ้นหลายส่วน แสงไฟที่ส่องสว่างก็เพิ่มความงดงามขึ้นหลายระดับ
ในมุมมืดภายในตำหนัก สาวน้อยสิบกว่าคนที่อยู่ในชุดบางนั่งขดตัวอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มก้อน สายตาของพวกนางเต็มไปด้วยความเฉยชา ทุกครั้งที่มีเสียงหอบหายใจ อันน่าดึงดูดดังออกมา สายตาของพวกนางก็เต็มไปด้วย ความหวาดกลัว ตัวสั่นไม่หยุด ต่างก็กอดร่างของตนเองไว้แน่น
อ้า——— !
ทันใดนั่น เสียงแหลมโหยหวนก็ดังออกมา
สีหน้าของเหล่าหญิงสาวพลันเปลี่ยนไปในทันที ความตื่นตระหนกในแววตามากขึ้นเป็นทวีคูณ ครู่หนึ่งเสียงสะอื้นที่พยายามกดเอาไว้ก็ดังขึ้น หญิงสาวจำนวนไม่ น้อยก้มหน้าลงและหลบอยู่ตรงเข่าของตนเอง เพื่อปกปิดความกลัว
“หึ ใช้ไม่ได้ เล่นแค่นี้ก็ตายเสียแล้ว” เสียงอันเย็นเยียบและโหดเหี้ยมดังขึ้น นํ้าเสียงอันบ้าคลั่งทำให้เหล่าหญิงสาวตัวสั่นมากกว่าเดิม
ราวกับว่า คนพูดเป็นปีศาจในใจของพวกนาง
ทันใดนั้น ศพเปลือยเปล่าของหญิงสาวก็ถูกคนลากตัวออกมาจากหลังฉาก
ทหารผู้เลือดเย็นลากเพียงขาข้างเดียวของนางประหนึ่ง ลากเศษขยะออกมาอยู่ตรงหน้าเหล่าหญิงสาว
ร่างที่ดวงตาถลนออกมาจากเบ้า หว่างขาทั้งสองข้างเต็มไปด้วยเลือด ทำให้เหล่าหญิงสาวต่างตัวสั่นดั่งนั่งอยู่บนก้อนนํ้าแข็ง พลันถอยหลังไปเรื่อยๆ
ในที่สุดร่างไร้วิญญาณของหญิงสาวก็ลับสายตาของพวกนางไปและถูกลากเข้าไปในห้องมืดห้องหนึ่ง แต่ว่าภายในห้องมีเสียงคำรามอันบ้าคลั่งดั่งเสียงของ สัตว์ป่าดังออกมา ยิ่งทำให้พวกนางทั้งกลัวและหมดหวัง ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณร่างนั้นจะเป็นสภาพของพวกนางในอีกไม่ช้านี้