ตอนที่ 1263 ข้าสาบาน…..
ภายในโลกที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายมรณะหยินประหนึ่งอัดแน่นไปด้วยแสงสว่าง หยางแบบของสามรกร้าง ทว่าคนที่นี่กลับยากจะสังเกตเห็นและแยกแยะแห่งนี้ก็มี สี่โลกแท้จริงเหมือนกัน
นามพวกมันต่างกัน ดาราสัจธรรมเรียกว่าพรรคเซียน หยินศักดิ์สิทธิ์เรียกว่า หยางมายา จักรพรรดิยมโลกเรียกว่าดาราโบราณ ส่วนโลกแท้จริงที่สี่มีนามว่าอาณาจักรพิชัย
ตอนนี้ในโลกแท้จริงอาณาจักรพิชัย ในพระราชวังกลางอากาศแห่งหนึ่ง มีร่างเงาหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ เขาเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง มองอายุจากใบหน้าไม่ออก รู้สึกเพียงรางๆ ว่ามีฝุ่นละอองแห่งกาลเวลาอบอวลอยู่รอบๆ
เขากำลังหลับตา สีหน้ำเย็นชา หากซูหมิงอยู่ที่นี่จะต้องมองออกในแวบแรกแน่ว่านี่…คือ เขาอีกคนในโลกนี้ หน้ำตาเหมือนกันทุกประการ
เขาที่นั่งขัดสมาธิอยู่เดิมทีมีสีหน้าสงบนิ่ง แต่ชั่วพริบตาเดียวก็ตัวสั่น พลันลืมตาขึ้น ตอนนี้เองจะเห็นได้ชัดว่าในดวงตามีเงามายาของผีเสื้ออยู่
ขณะที่เขาตัวสั่น กลิ่นอายพลังพลันเพิ่มขึ้น เหมือนมีพลังอย่างหนึ่งพุ่งเข้าไป ในร่างกาย ทำให้ระดับชีวิตและดวงจิตเขาพลันเพิ่มขึ้น
ขั้นตอนนี้กินเวลาไปราวหนึ่งชั่วยามถึงค่อยๆ สงบลง ดวงตาชายหนุ่มเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย สำหรับเขาแล้ว หนึ่งชั่วยามนี้เรียกได้ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ พลังเขาเพิ่มขึ้นมาก ภายในสีหน้าเรียบนิ่งมีความมึนงง เพราะเขาไม่เข้าใจมากว่า เหตุใดขั้นพลังถึงเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน
“เกิดอะไรขึ้น…” ชายหนุ่มขมวดคิ้วแล้วพึมพำกับตัวเอง หนึ่งชั่วยามก่อนขั้นพลังเขายังเทียบเท่าขั้นเกิด แต่ตอนนี้กลับเหมือนทะลวงสู่ขั้นดับ เดิมทีการเพิ่มพลังแบบนี้จะทำให้รู้สึกไม่ชิน ถึงอย่างไรก็เป็นพลังภายนอก แต่ชายหนุ่มรู้สึกว่าไม่ใช่อย่างนั้น มันคล้ายว่าพลังนี้เดิมทีเป็นของเขา
ชั่วขณะที่ชายหนุ่มกำลังตรึกตรอง ดวงตาเขาวาววับพร้อมเงยหน้าขึ้นมองไปนอกพระราชวัง เพียงไม่กี่ลมหายใจพลันมีร่างเงาหนึ่งบินเข้ามาจากในพระราชวังอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็กลายเป็นชายชราตรงหน้าชายหนุ่ม เขาสวมเสื้อคลุมดำ บนเสื้อคลุมปักลายผีเสื้อ พอเข้ามาใกล้ก็คุกเข่าคารวะ
ชายชราคนนี้มีพลังไม่ธรรมดา เป็นถึงขั้นดับคนหนึ่ง ทว่าการคุกเข่าคารวะ ชายหนุ่มกลับไม่ได้ดูติดขัดหรือไม่พอใจแม้แต่น้อย แต่กลับดูซื่อสัตย์เหมือนคารวะบรรพบุรุษรุ่นแรก
“คารวะท่านบุตรแห่งซาง โลกแท้จริงพรรคเซียนแห่งมหาโลกซางเซียงของเราเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทั้งโลกแท้จริงกลายเป็นซากปรักหักพังในหนึ่งชั่วยาม…ดวงดาวมากกว่าครึ่งพังลง ซ้ำยังเกิดพายุหมุน กระทั่งในนั้นยังปรากฏช่องโหว่ยักษ์ช่องหนึ่ง!” ชายชรากล่าวอย่างเร็วไวด้วยสีหน้าร้อนรน
“ข้ารู้แล้ว” ชายหนุ่มคนนั้นตอบกลับช้าๆ ด้วยสีหน้าปกติ
ชายชราเหมือนจะกล่าวแต่ก็เงียบไป เขาไมได้พูดอะไรอีก แต่ยืนขึ้นกำลังจะเอ่ยลา ทว่าตอนนี้เองชายหนุ่มพลันกล่าวขึ้นมาประโยคหนึ่ง
“บุตรแห่งซางอีกสองท่านมีการเคลื่อนไหวอะไรหรือไม่?”
“ตอนนี้ยังไม่มีขอรับ” ชายชราตอบกลับด้วยความเคารพ เห็นชายหนุ่มตกอยู่ในห้วงความคิดและไม่ได้จะสั่งอะไรอีก เขาจึงถอยออกจากพระราชวังใหญ่
‘หนึ่งชั่วยามเท่ากัน อีกทั้งโลกแท้จริงพรรคเซียน…เรื่องนี้ลึกลับ!’ ชายหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่งแล้วยิ้มเยาะมุมปาก ตัวเขาเป็นหนึ่งในสามร่างจุติของดวงจิตซางเซียง มีความสามารถสื่อสารกับดวงจิตซางเซียงได้ตั้งแต่เยาว์วัย และเพราะแบบนี้เองเขาถึงกลายเป็นหนึ่งในบุตรแห่งซางสามคน
อีกทั้งยังเป็นตัวแทนดวงจิตซางเซียงในมหาโลกนี้ มีฐานะสูงส่ง เอ่ยเพียงคำเดียวก็ตัดสินความตายของหมื่นคน เอ่ยอีกคำทำให้จักรวาลคลุ้มคลั่ง นี่คือสิทธิ์และอำนาจของเขา เพราะเขาที่เป็นร่างจุติของซางเซียงถูกคิดว่ารวมขึ้นจากดวงจิตซางเซียงที่ มหาโลกนี้
‘หรือว่าเคราะห์ภัยของข้าจะมาเยือน…’ ชายหนุ่มหลับตาลงเงียบๆ ยกสองมือขึ้นกดตรงระหว่างคิ้ว ทันใดนั้นเองเขาตัวสั่นสะท้าน ก่อนค่อยๆ ปรากฏเงามายาผีเสื้อขึ้นข้างหลัง วนเวียนรอบตัวชายหนุ่มเป็นพายุหมุน
ผีเสื้อบินอยู่ในพายุหมุน สุดท้ายก็หลอมรวมเข้าไปในพายุหมุนอย่างสมบูรณ์แบบ กลบร่างชายหนุ่มเข้าไปข้างใน นี่คือคุณสมบัติของบุตรแห่งซางที่สามารถสื่อสารแบบง่ายๆ กับดวงจิตซางเซียงได้ หรืออาจพูดได้ว่า…เขากำลังใช้พลังที่ทรงพลังที่สุดของร่างจุติซางเซียง…ใช้พลังของซางเซียง!
นี่คือความสามารถที่มีเพียงเขากับบุตรแห่งซางอีกสองคนเท่านั้นถึงจะมี และเพราะความสามารถนี้เองที่ทำให้แม้ก่อนหน้านี้เขาจะมีพลังเพียงขั้นเกิด แต่ก็ยังสังหารขั้นดับได้ในพริบตา!
…………
มหาโลกซางเซียง ในโลกแท้จริงพรรคเซียน ภายใต้การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างกะทันหันเมื่อครู่นี้ ทั้งโลกแท้จริงกลายเป็นซากปรักหักพัง ดาวนับไม่ถ้วนพังลง ทำให้ผู้ฝึกฌานที่นี่ต่างพากันใจสั่นสะท้าน
ดีที่กลางมหาโลกซางเซียงแห่งนี้ ตั้งแต่โบราณมาโลกแท้จริงพรรคเซียนยังคงรักษาความลับและขีดจำกัดที่มั่นคงมาตลอด อย่างเช่นที่นี่จะไม่อนุญาตให้ผู้ฝึกฌานอยู่มากเกินไป และรอบๆ น้ำวนแสงสว่างหยางยังถูกเรียกว่าแดนต้องห้าม
ดังนั้นมหันตภัยที่กวาดล้างไปทั้งโลกแท้จริงพรรคเซียนจึงทำลายล้างตัวโลกแท้จริงเป็นส่วนใหญ่ ส่งผลไปถึงผู้ฝึกฌานไม่มาก
ตอนนี้บนดาวแท้จริงที่แตกออกเป็นสองส่วนดวงหนึ่งตรงชายขอบโลกแท้จริงพรรคเซียน ข้างภูเขาสูงหมื่นจั้งในอดีตลูกหนึ่งที่ยามนี้กลายเป็นหุบเขา มีผู้ฝึกฌาน วัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังยิ้มเฝื่อนพลางมองไปรอบๆ
รอบตัวเขามีอยู่เจ็ดคนล้อมรอบอยู่ด้วยสีหน้ำเย็นชา สายตาจ้องเขาตาเขม็ง
“เหตุใดเหล่าสหายต้องลำบากไล่ตามมาอีก แซ่เฉียนไม่ได้ขโมยด้ายหยกของสำนักพวกเจ้าจริงๆ …ไม่ได้ขโมยจริงๆ …เมื่อครู่นี้ข้าก็สาบานไปแล้ว ข้า…” ชายวัยกลางคนมองเจ็ดคนพลางอธิบายด้วยรอยยิ้มเจื่อน
“หุบปาก หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่คำสั่งของศิษย์พี่ใหญ่ พวกข้าคงเอาตัวเจ้ากลับสำนักไปแล้ว ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว เจ้ายังกล้าพูดถึงเรื่องสาบานอีกรึ!” เจ็ดคนนี้หน้าเปลี่ยนสีเด่นชัด พวกเขาเดินหน้ามาล้อมชายวัยกลางคนพร้อมกัน หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นทันทีด้วยความตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง
พวกเขาไม่กล้าให้ชายวัยกลางคนผู้นี้กล่าวต่อไป พวกเขาไม่มีวันลืมความน่าสะพรึงกลัวเมื่อครู่นี้ไปชั่วนิรันดร์ เมื่อครู่…
พวกเขาสิบคนไล่ตามชายวัยกลางคนตรงหน้าในโลกแท้จริงพรรคเซียน ด้วยความที่อีกฝ่ายมีความสัมพันธ์บิดาและบุตรกับศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักพวกเขา ดังนั้นพวกเขาเลยไม่ได้สร้างความลำบากใจให้ เพียงแค่ให้อีกฝ่ายอธิบายเรื่องราวให้กระจ่าง ส่วนจะพากลับสำนักหรือไม่นั้นก็ต้องดูที่สถานการณ์ ถึงอย่างไร
คนที่พวกเขาต้องสืบสวนในครั้งนี้ก็มีทั้งหมดหกคน คนตรงหน้าเป็นเพียงหนึ่งในนั้น
เรื่องราวดำเนินไปอย่างราบรื่นมาก หลังอีกฝ่ายอธิบายแล้วก็เหมือนกังวลว่าพวกเขาจะไม่เชื่อ จึงสาบานว่า…หากที่เขาพูดเป็นเท็จ ขอให้ฟ้าดินพังพินาศลง…
แน่นอนว่าเจ็ดคนย่อมไม่สนใจคำสาบานเหล่านี้ อีกทั้งยังมีคำเล่าลือว่าชาย วัยกลางคนมีคุณลักษณะประจำตัวคือเขาจะเอ่ยคำสาบานกับต่างคนกันในแทบทุกวัน
ทว่า…สิ่งที่ทำให้พวกเขาไม่คาดคิดคือ แทบเป็นทันทีที่ชายวัยกลางคนพูดจบ… ฟ้าดินถล่มทลายลง
หากเพียงเท่านี้คงไม่เท่าไร ทว่าตอนนั้นชายวัยกลางคนมีไหวพริบเร็วมากจึงเปลี่ยนคำสาบาน บอกว่าหากพูดโกหกขอให้ดาวพังพินาศ!
ผลสุดท้ายเมื่อเขากล่าวจบ ดวงดาวพลันพังทลายลง…
จนกระทั่งชายวัยกลางคนสาบานอีกครั้งด้วยความตื่นกลัว บอกว่ามวลอากาศระเบิดเป็นเสี่ยงๆ ดังนั้น…จึงเกิดพายุหมุนกลางอากาศ ราวกับจะทำลายผืนฟ้าจริงๆ ทำให้ทั้งโลกพรรคเซียนกลายเป็นวันสิ้นโลก
เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแค่พวกเขาเจ็ดคนที่อึ้งงัน แม้แต่ชายวัยกลางคนยังดูเหลือเชื่อราวกับเห็นผี จากนั้นเขาก็หนีไปภายใต้การเปลี่ยนแปลงของฟ้าดิน
ตอนนี้ถูกไล่ตามทันแล้ว โดยเฉพาะพอได้ยินเสียงตะโกนด้วยความตื่นตระหนกอย่างยิ่ง ชายวัยกลางคนจึงหน้านิ่วคิ้วขมวด ในใจกลัดกลุ้มยิ่งกว่าเดิม ตลอดชีวิตนี้เขาสาบานมามาก แต่ไม่มีครั้งใดที่เป็นจริง ทว่าเมื่อครู่นี้เขาตกใจจริงๆ ไม่คิดเลยว่าคำพูดของตนจะทำให้ฟ้าดินพังพินาศลงจริงๆ
อีกทั้งดูจากลักษณะแล้ว ที่ฟ้าดินทั้งโลกแท้จริงพรรคเซียนพังลง มวลอากาศระเบิดเป็นเสี่ยงๆ ทุกอย่างเหล่านี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนกับว่า…สวรรค์กำลังลงโทษเขา
‘แต่ว่า…การลงโทษมันแรงเกินไป ข้าเป็นเพียงคนต่ำต้อยคนหนึ่ง ขะ…ข้าแค่ชอบสาบานเอง ไม่เห็นจะต้องเตือนกันด้วย
การทำลายหนึ่งโลกแท้จริงเลย…’ ชายวัยกลางคนกังวลในใจอย่างยิ่ง ตอนนี้เห็นเจ็ดคนเดินเข้ามาล้อมตนด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร เขาจึงรีบเอ่ยออกไปโดยจิตใต้สำนึก
“ข้าสาบานว่า…”
“หุบปาก เจ้ายังกล้าสาบานอีกรึ! จะให้พวกข้าจับเจ้าหรือจะตามพวกข้าไปดีๆ !”
เจ็ดคนนี้เห็นเขาจะกล่าวอีกจึงพากันหน้าเปลี่ยนสีอย่างเด่นชัด ซ้ำยังมีหลายคนประสานมุทราหมายจะใช้อภินิหาร
“ข้าสาบาน สมควรตาย ข้าสาบานว่าหากข้าขโมยด้ายหยกของสำนักพวกเจ้าจริงๆ ขอให้ข้า…ขอให้ท่านบุตรแห่งซางมาลงโทษข้าด้วยตัวเอง!” เห็นเจ็ดคนกำลังจะลงมือ ชายวัยกลางคนแซ่เฉียนจึงตะโกนเสียงดัง ในเสียงตะโกนเต็มไปด้วยความคับอกคับใจ เขาสาบานแบบนี้เป็นครั้งแรก เพราะในมหาโลกซางเซียงนี้ การสาบาน ด้วยบุตรแห่งซางมีความร้ายแรงอย่างยิ่ง เหมือนกับสาบานด้วยดวงจิตสามรกร้างในมหาโลกสามรกร้าง
ไม่ว่าจะเป็นจริงหรือไม่ แต่คำสาบานคือการตัดสินใจแน่วแน่ในตัวมันเอง
แต่พอเจ็ดคนนั้นได้ยินกลับหยุดชะงักพร้อมกัน พวกเขากลัวจริงๆ แล้ว พวกเขารู้สึกว่าคนตรงหน้าผิดปกติเกินไปหน่อย แทบทุกคำสาบานเป็นจริง ตอนนี้พอได้ยินคำพูดชายแซ่เฉียน มีคนหนึ่งในเจ็ดคนแทบจะเงยหน้ามองฟ้าโดยจิตใต้สำนึก
แทบเป็นทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้น ร่างเขาสั่นสะท้านโดยพลัน สูดลมหายใจเข้าด้วยความตกใจ เสียงสูดลมหายใจยังแฝงไว้ด้วยความกลัวในใจตอนนี้
เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น ชายวัยกลางคนแซ่เฉียนจึงเงยหน้าขึ้นเช่นกัน พวกเขาเห็นว่า…
ตอนนี้บนฟ้ามีสายรุ้งยาวสายหนึ่งพุ่งลงมา พอเข้ามาใกล้ทุกคนแล้วก็เผยเป็นใบหน้าซูหมิง ทันทีที่คนเหล่านี้เห็นใบหน้าซูหมิงชัดก็ต่างสูดลมหายใจเข้าด้วยความตกตะลึงพร้อมกัน
“ศิษย์สำนักบูรพาหิมันต์คารวะท่านบุตรแห่งซาง!” เจ็ดคนนั้นคุกเข่าคารวะพร้อมกัน ชายแซ่เฉียนหน้าขาวซีด แทบจะล้มลงกับพื้น เขาพลันรู้สึกว่าการชดใช้กรรมของตนมาถึงแล้ว…