Skip to content

สู่วิถีอสุรา 130

ตอนที่ 130 ทุ่งหญ้าสีแดง

ด้านนอกไม่ใช่ค่ำคืนมืดมิด แม้จะกล่าวเช่นนั้น ในป่าฝนก็ยังคงมืดสลัว เสียงฟ้าร้องดังแว่วมาแต่ไกลแฝงด้วยเสียงคำรามของสัตว์ปีก ราวกับในป่าฝนห่างไกลเกิดเหตุการณ์น่าสะพรึงขึ้น

ซูหมิงยืนอยู่ข้างปากถ้ำ มองอย่างใจจดใจจ่อด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า เสียงฟ้าร้องดังสนั่นต่อเนื่อง ทั้งยังเหมือนขยับเข้ามาใกล้ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ราวกับมีคนกำลังตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว

ซูหมิงกำหมัดขวา นัยน์ตาฉายแววเย็นชาทีละน้อย แต่ยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงปากถ้ำประดุจกลายเป็นรูปปั้น

ผ่านไปนาน ในช่วงที่เสียงฟ้าร้องราวกับอยู่ไม่ไกล มันค่อยๆ สงบนิ่งลง ทว่าความสงบนิ่งเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ พลันเกิดเสียงดังสนั่นยิ่งกว่า ซูหมิงมองผ่านรอยแยกระหว่างใบไม้แน่นขนัดในป่าฝน พบว่าบนท้องฟ้าด้านนอกมีเงาคนยืนอยู่ เขาอยู่ห่างจากซูหมิงไปไกล เห็นเพียงเลือนรางเท่านั้น

เงาคนแหงนหน้าร้องขึ้นฟ้า ภายในเสียงร้องแฝงไว้ด้วยความเกรี้ยวกราดอย่างที่ไม่อาจบรรยาย ก่อนกลายเป็นสายรุ้งยาวห้อเหยียดไกลห่าง ไม่นานก็หายลับไป

บุคคลนี้คือเสวียนหลุน

จนกระทั่งอีกฝ่ายห่างไปไกล ซูหมิงจึงผ่อนคลายลง ประกายแสงเย็นชาในแววตาเลือนหาย เขาเลือกอยู่ในป่าฝน ตอนแรกก็ลังเลเกี่ยวกับการตัดสินใจของตัวเอง ทว่าพอได้ตรึกตรองแล้ว แม้ในป่าฝนจะเป็นจุดอันตรายมากที่สุด ก็เป็นจุดที่ถูกมองข้ามมากที่สุดเช่นกัน

อีกทั้งแดนแห่งนี้ยังกว้างใหญ่ แม้เป็นขั้นชำระล้าง การค้นหาทั้งป่าก็ไม่ใช่เรื่องง่าย กระทั่งมีความเป็นไปได้ว่าจะทำไม่สำเร็จ

เห็นเสวียนหลุนออกห่างไปไกล ซูหมิงยังไม่ผลีผลาม แต่กลับเข้าไปในถ้ำอย่างเงียบๆ เขาตัดสินใจแล้วว่าหากไม่ปลอดภัยจริงๆ จะไม่ออกไปเด็ดขาด

ขณะขบคิด เขานั่งขัดสมาธิลง มองเหอเฟิงที่หมดสติอย่างซับซ้อน หลังจากประสบเรื่องของเหอเฟิง ทำให้เขาเข้าใจถึงความชั่วร้ายของจิตใจมนุษย์มากขึ้น

เขานวดคลึงระหว่างคิ้ว ภายในถ้ำมืดเงียบสงบแห่งนี้ ใบหน้าซูหมิงดูเหนื่อยล้า ที่เหนื่อยล้าไม่ใช่ร่างกายแต่เป็นจิตใจ

ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาจึงตั้งมั่นสมาธิ หยิบหนังสัตว์ที่กำลังตรวจสอบเมื่อครู่มาวางไว้ตรงปลายจมูกแล้วสูดดมอีกครั้ง กลิ่นคาวเลือดลอยกระทบใบหน้า

“เดิมทีตัวหนังสัตว์มีกลิ่นคาวเลือดอยู่เล็กน้อย ทว่ากาลเวลากลับทำให้มันอ่อนลงเรื่อยๆ จนกระทั่งหายไป เห็นได้ชัดว่าหนังสัตว์ผืนนี้อยู่มานาน บนตัวมันไม่มีทางมีกลิ่นคาวเลือดเข้มข้นแบบนี้แน่” แววตาซูหมิงเป็นประกาย มองหนังสัตว์ในมือพลางกล่าวพึมพำ

‘เว้นแต่คนที่ครอบครองหนังสัตว์จะราดโลหิตสดเป็นประจำ ฉะนั้นถึงได้มีกลิ่นเช่นนี้เหลืออยู่ หากมันเป็นของต่างหน้าเพื่อคะนึงคิดถึงชนเผ่าจริงก็ไม่น่าจะทำเช่นนี้…’ ซูหมิงเงยหน้ามองเหอเฟิง แววตาขบคิด

‘บางทีข้าอาจจะเดาพลาดก็ได้ แต่หากข้าเดาถูก สิ่งนี้จะต้องไม่ธรรมดาเหมือนภายนอกอย่างแน่นอน!’ ซูหมิงยืนขึ้น ถือหนังสัตว์มาอยู่ข้างเหอเฟิง ลังเลใจเล็กน้อย ทว่าไม่นานก็มั่นใจ ใช้นิ้วกดไปบนแขนของเหอเฟิงแล้วกรีดเป็นรอยแผล บีบเค้นโลหิตที่เหลือไม่มากจากในตัวเขา ซูหมิงลังเลครู่หนึ่ง ไม่ได้ใช้โลหิตทั้งหมด แต่ใช้เพียงเล็กน้อยป้ายไปบนหนังสัตว์ จากนั้นถอยหลังมาหลายก้าว เฝ้าสังเกตอย่างใจจดจ่อ

ในช่วงที่เพิ่งป้ายลงไป โลหิตเหอเฟิงบนหนังสัตว์พลันถูกดูดซึมเข้าไปด้านใน ขณะซูหมิงถอยออกมาเฝ้าสังเกต ก็พบว่าหนังสัตว์ดูดซึมโลหิตเหอเฟิงจนหมดแล้ว ด้านบนปรากฏฟองอากาศ ทั้งยังมีไอดำแผ่กระจาย หนังสัตว์ทั้งผืนราวกับมีฟองผุดขึ้นมาจำนวนมาก ไม่นานจึงแผ่ขยายไปทุกส่วน ไอดำเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

ซูหมิงคลายมือโยนหนังสัตว์ลงบนพื้นทันที นัยน์ตาวาววับ ในสายตาของเขา ไอดำปรากฏเพียงชั่วครู่ก่อนบรรลุถึงจุดเข้มข้นสุด ปกคลุมหนังสัตว์เอาไว้ด้านใน

ซูหมิงโคจรโลหิตในร่างกาย ตื่นตัวตลอดเวลา เมื่อเวลาผ่านไป ไอดำเหมือนกับไม่มีท่าทีจะขยายใหญ่ขึ้น มันค่อยๆ จางหาย หดตัวลงอย่างเชื่องช้าจนหายไปในที่สุด หนังสัตว์บนพื้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ

เขาขมวดคิ้วกวาดสายตามองหนังสัตว์ พบว่าโลหิตที่เขาป้ายไปเมื่อครู่ ยามนี้หายไปแล้ว

‘โลหิตไม่พอหรือ…’ ซูหมิงมองเหอเฟิง ในความคิดผุดภาพเหตุการณ์ไอดำจากหนังสัตว์ ครั้งนี้เขาไม่ลังเล กัดปลายลิ้นพ่นโลหิตลงไปบนหนังสัตว์ตรงหน้า

ในช่วงที่โลหิตสาดลงบนหนังสัตว์พลันเกิดฟองอากาศจำนวนมาก เทียบกับก่อนหน้านี้แล้ว ไอดำขยายตัวเร็วมากกว่าครึ่ง เห็นได้ชัดว่านั่นเป็นสาเหตุมาจากโลหิตไม่เพียงพอ

พริบตาเดียวหมอกดำที่ปกคลุมหนังสัตว์แผ่ขยายไปรอบตัว กลายเป็นระลอกคลื่นวงแหวนสีดำ ขยายไปถึงสิบจั้ง ก่อนจะหายไปในผนังถ้ำเขาแห่งนี้

ซูหมิงหายใจกระชั้นถี่ เพราะเบื้องหน้าเขาเมื่อหมอกจางหายเผยให้เป็นหนังสัตว์ผืนเดิม ทว่าด้านบนไม่มีตัวอักษร เป็นเพียงภาพสัญลักษณ์ซับซ้อน ไม่รู้ว่ามันคืออะไร เหมือนกับขาดหายไปหลายส่วน อีกทั้งยังเป็นสีแดงทั้งหมด

ในช่วงที่ซูหมิงเพ่งมองภาพสัญลักษณ์บนนั้น หนังสัตว์พลันแผ่ขยายไปรอบทิศด้วยความเร็วระดับสายตา พริบตาเดียวก็แผ่ขยายผ่านเหอเฟิง ผ่านใต้เท้าซูหมิง ปกคลุมโดยรอบในระยะสิบจั้ง ทำให้ในระยะสิบจั้งกลายเป็นโลกสีแดง

ซูหมิงไม่หลบ เขายืนอยู่ในระยะสิบจั้ง เมื่อครู่นี้เขาเกิดความไม่แน่ใจ ในความคิดเกิดเป็นภาพประหลาดขึ้น

ภายในภาพเหมือนเขาอยู่ในแดนพิลึกแห่งหนึ่ง เขาเห็นที่ราบ บนที่ราบมีชายลักษณะเลือนรางยืนอยู่ เขาสวมเสื้อยาว บนใบหน้ามีหน้ากากสีดำ ยืนเอามือไพล่หลังราวกับกำลังมองท้องฟ้า

บนท้องฟ้าพลันมีสายรุ้งหลายร้อยสายลากยาวผ่าน ภายในทุกสายล้วนขับกลิ่นอายพลังไม่อ่อนไปกว่าชำระล้าง กระทั่งมีบางสายแข็งแกร่งยิ่งกว่ามาก

ในช่วงที่สายรุ้งยาวหลายร้อยสายเข้าใกล้ บนท้องฟ้ามีสีสันแพรวพราว ลำแสงจากเคล็ดวิชาปรากฏขึ้นเป็นเส้นๆ ผนึกรวมกันเป็นผืนตรงเข้าใส่ชายเบื้องล่าง ภาพดังกล่าวน่าตะลึงยิ่งนัก

ซูหมิงจิตใจสั่นไหว มองทุกสิ่งด้วยความสับสน ทว่าทันใดนั้น เขาเห็นชายสวมหน้ากากสีดำคุ้นเคยบนที่ราบยกมือขวาขึ้น มือขวาของเขาปรากฏเป็นหนังสัตว์ใหญ่ยักษ์ผืนหนึ่ง เขาจับมันด้วยเพียงมือเดียว ก่อนวางแผ่ลงกับพื้น

ในช่วงที่หนังสัตว์ตกลงสู่พื้น ผืนดินพลันสั่นสะเทือน หนังสัตว์พองบวมอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็แผ่ขยายไปไกลหนึ่งร้อยลี้

ผืนดินในระยะหนึ่งร้อยลี้ไม่ใช่ที่ราบอีกต่อไป แต่กลายเป็นดินแดนสีแดง ด้านบนมีพืชสีแดงขึ้นอยู่เต็มไปหมด ทำให้นอกและในระยะร้อยลี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง กลิ่นอายความรู้สึกน่าสะพรึงลอยมากระทบใบหน้า

ลำแสงจากเคล็ดวิชานับร้อยสายพลันเข้าประชิด ทว่ายังไม่ทันเข้าใกล้ชายสวมหน้ากาก พวกมันพลันแหลกสลายอยู่บนน่านฟ้าราวกับติดม่านพลังไร้รูปบางอย่าง

ทันใดนั้นชายสวมหน้ากากใช้มือขวาคว้าอากาศ เขี้ยวสัตว์น่าสยดสยองยาวเจ็ดฉื่อปรากฎอยู่ในมือเขา ก่อนปักไปบนพื้นทุ่งหญ้าสีแดงข้างกายอย่างแรง

ในช่วงที่ปักลงไป เขี้ยวสัตว์พลันกลายเป็นสีแดง มังกรโลหิตสามเศียรก่อรูปขึ้นจากเขี้ยวสัตว์ มันแผดเสียงคำรามตรงเข้าใส่สายรุ้งนับร้อยบนท้องฟ้า

ขณะเดียวกัน ชายสวมหน้ากากหยิบเขี้ยวแหลมขึ้นมาอีกชิ้นแล้วปักไปบนทุ่งหญ้าสีแดงอีกด้านหนึ่ง เขี้ยวพลันกลายเป็นสีแดงทุกส่วน ด้านบนมีเงาร่างก่อตัวขึ้น มันปล่อยกลิ่นอายพลังชั่วร้ายเหมือนกับช่วงที่ปี้ถูอัญเชิญหมานชั่วร้ายในตอนนั้นหลายส่วน เงารางเลือนดังกล่าวก้าวเท้ายาว ทะยานเข้าใส่สายรุ้งหลายร้อยบนท้องฟ้า

ฟ้าดินส่งเสียงดังก้องกังวาน ซูหมิงพลันลืมตาขึ้น ตรงหน้าผากมีเม็ดเหงื่อผุดพราย หอบหายใจกระชั้นถี่ สายตาค่อยๆ ชัดเจนขึ้น เขามองไปรอบๆ พบว่าตัวเองยังอยู่ในถ้ำ ทว่าใต้ฝ่าเท้าในระยะสิบจั้งกลับเป็นทุ่งหญ้าสีแดง มันเหมือนกับในภาพที่เขาเห็น นอกจากเรื่องระยะแล้ว ทุกอย่างเหมือนกันหมด

ซูหมิงหัวใจเต้นแรง ผ่านไปนานจึงสงบลง เขามองทุ่งหญ้าแดงใต้ฝ่าเท้าในระยะสิบจั้ง ดวงตาเริ่มเป็นประกายวาววับ ขยับไปตัวเบื้องหน้า เหยียบผ่านระยะสิบจั้งมาถึงปากถ้ำ ในช่วงที่หันกลับไปมอง ภายในถ้ำไม่มีสีแดงแม้แต่น้อย เหมือนทุกอย่างเป็นเพียงภาพลวงตา กระทั่งเหอเฟิงในถ้ำยังหายไป ภายในถ้ำว่างเปล่า

ซูหมิงถอยหลังกลับหลายก้าว เดินเข้ามาในระยะสิบจั้งก่อนหน้านี้ ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม เหอเฟิงยังคงนอนหมดสติอยู่ตรงนั้น

‘มิน่าเล่า หลังจากชนเผ่าเหอเฟิงถูกทำลายเขาถึงมีชีวิตรอดมาถึงตอนนี้ หนีการล่าสังหารของเสวียนหลุนมาได้หลายครั้ง แม้เขาจะมีสติปัญญาล้ำเลิศ ทว่าหากไม่มีสมบัติชิ้นนี้ เกรงว่าคงจะไม่รอดมาจนถึงตอนนี้!

สิ่งนี้บางทีอาจมีอานุภาพเหมือนที่ข้าเห็นเมื่อครู่ ทว่าตอนนี้เห็นได้ชัดว่ามันชำรุด แม้เป็นเช่นนั้น พลังอำนาจที่ซ่อนอยู่ของมันกลับน่าตะลึงยิ่งนัก เหอเฟิงคนนี้…มีสมบัติทั้งตัวจริงๆ!’ ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก เขาเติบใหญ่มาถึงขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เขาครอบครองสมบัติล้ำค่ามากมาย ทว่าส่วนใหญ่เดิมทีเป็นของเหอเฟิง

‘ไม่รู้ว่าเหตุใดครั้งนี้เขาถึงไม่ใช้เจ้าสิ่งนี้เพื่อซ่อนตัวจากเสวียนหลุน”

ซูหมิงมองทุ่งหญ้าสีแดงในระยะสิบจั้ง ขยับตัวออกไปด้านนอกอีกครั้ง หลังออกไปนอกถ้ำ ไม่นานก็ห้อเหยียดกลับมา ด้านหลังเขามีแมงป่องยาวหลายจั้งตัวหนึ่งกำลังไล่ตามมาอย่างดุร้าย ในช่วงที่ซูหมิงเข้าไปในระยะทุ่งหญ้าสีแดง แมงป่องตัวนั้นก็ตามเข้ามาเช่นเดียวกัน

นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกายวูบไหว จ้องแมงป่องที่เขาล่อมา พบว่าหลังจากแมงป่องเข้ามาในระยะสิบจั้งแล้ว กลับเดินวนหลายรอบราวกับมองไม่เห็นซูหมิง

จนกระทั่งผ่านไปครู่หนึ่ง แมงป่องจึงแผดเสียงร้องอย่างร้อนใจ สีหน้าซูหมิงดูตื่นเต้น เขามั่นใจแล้วว่าประสิทธิภาพในการซ่อนตัวของหนังสัตว์ผืนนี้น่าจะยอดเยี่ยมยิ่งนัก ยามนี้เขายกมือขวาชี้ไปทางแมงป่อง หัวของมันพลันระเบิดกระจาย ร่างบิดเบี้ยวก่อนตายไป ทว่าในช่วงที่มันตาย นัยน์ตาซูหมิงพลันมีประกายวาบผ่าน เผยความประหลาดใจ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!