Skip to content

สู่วิถีอสุรา 156

ตอนที่ 156 บางคำก็ไม่ควรพูด

ท้องฟ้ากระจ่างดาวไร้ยามกลางวันแห่งนี้ทำให้ผู้คนสับสนด้านเวลา ทำได้เพียงคำนวณในความคิดอย่างเงียบๆ และไม่ปล่อยให้ตนเผอเรอเรื่องเวลาจนเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ไม่อาจควบคุมได้

สองชั่วยามผ่านไป ณ แดนนั่งฌานละสังขารของบรรพบุรุษเขาหาน นอกเขตที่ราบที่ถูกปกคลุมด้วยหมอก ตรงจุดหนึ่งกลางหุบเขานับไม่ถ้วน พวกหนานเทียนหกคนเดินหน้าอย่างเงียบเชียบ

การมาถึงแดนลับแห่งนี้ของพวกเขา บางทีอาจมีคนสังเกตเห็น หรือบางทีอาจไม่มีใครรู้สึกได้

“สหายเสวียน สหายโม่ ตรงนี้แหละที่ตอนนั้นข้าพบโดยบังเอิญ เดิมทีตรงจุดนี้มีสมุนไพรขึ้น แต่ข้าเก็บพวกมันไปหมดแล้ว หลังจากนั้นก็ไม่ค่อยมีใครมาอีก”

หนานเทียนอยู่นอกหุบเขาไม่สะดุดตา กล่าวกับเสวียนหลุนและซูหมิงอย่างนุ่มนวล

“เจ้าเข้าไปดู” เสวียนหลุนมองเข้าไปในหุบเขา ท่ามกลางหุบเขามีหมอกบางๆ โอบล้อม ทำให้มองเห็นไม่ชัด หลังเสวียนหลุนกล่าว ชายชราผู้ติดตามข้างกายเขาลังเลครู่หนึ่ง ก่อนกัดฟันเดินเข้าไปในหุบเขา

เห็นเสวียนหลุนระวังตัว หนานเทียนเผยรอยยิ้มมองไปทางโฉ่วนู่ที่ด้านหลัง โฉ่วนู่ติดตามเขามาหลายปี ทราบว่าหนานเทียนคิดอะไร เมื่อพยักหน้าแล้วจึงเดินไปพร้อมกับผู้ติดตามของเสวียนหลุน

ตงฟางหวายังคงอยู่ด้านหลังซูหมิง ยามนี้มองซูหมิงด้วยสายตาลังเล เห็นซูหมิงมีสีหน้าเรียบเฉย ไร้การเปลี่ยนแปลง ยากจะคาดเดาความคิดได้ ทว่าเขาตัดสินใจติดตามซูหมิงแล้ว ยามนี้ควรจะแสดงให้เห็น

ตงฟางหวาสูดลมหายใจเข้าลึก สีหน้าจริงจัง กำลังจะเดินเข้าไปพร้อมกับอีกสองคนเพื่อสำรวจ ทว่าในช่วงที่เขาเพิ่งก้าวเท้า แผ่นดินพลันสั่นสะเทือน มีเสียงอึกทึกดังแว่วมาไกลๆ หน้าดินขยับขึ้นลงเหมือนแผ่นดินไหว

เสียงดังก้องอยู่นานไม่เลือนหาย กระทั่งหุบเขาจำนวนมากมีเศษหินร่วงหล่นระหว่างสั่นไหว เหตุการณ์กะทันหันเช่นนี้ทำให้หนานเทียนกับเสวียนหลุนพลันมองเป็นทางเดียวกัน ตรงนั้นอยู่ห่างไกล

“ท่านโม่ซู แขกพิเศษกลุ่มที่สี่ มาแล้ว…นี่เป็นระลอกคลื่นจากการเปิดเส้นทางลับ”

ตงฟางหวากล่าวเสียงเบา

ซูหมิงหยักหน้าเล็กน้อย แววตาสงบนิ่ง

“น่าสนใจ ในกลุ่มที่สามของเผ่าบูรพาสงบไม่มีชาวเผ่าของพวกเขา ตามข้อจำกัดแล้วชาวเผ่าบูรพาสงบจะเข้ามาได้เพียงคนเดียวเท่านั้น กลุ่มที่เข้ามาในครั้งนี้มีความเป็นได้สูงมากที่จะเป็นหานชางจื่อ!” หนานเทียนยิ้มมุมปาก กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม

“ชาวเผ่าผู่เชียงกลุ่มแรกมาถึงแล้วเช่นกัน แต่ตอนนี้ตายไปแล้ว ในกลุ่มที่สี่ ข้าแซ่เสวียนไม่รู้ว่าเป็นใคร…” เสวียนหลุนละสายตากลับ มองไปที่ห่างไกล พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

“ไม่ว่าใครจะมา ข้าก็พอทราบว่าเหตุใดระหว่างทางถึงไม่มีใครเข้ามาขวางพวกเราและไม่เจอแขกพิเศษเผ่าเหยียนฉือเลย ดูท่าคนพวกนั้นน่าจะอยู่นอกเส้นทางลับแล้ว” หนานเทียนยิ้ม

ยามนี้ในหุบเขาด้านข้าง โฉ่วนู่กับผู้ติดตามเสวียนหลุนห้อเหยียดออกมา กล่าวกระซิบหนานเทียนกับเสวียนหลุน

ซูหมิงมีสีหน้าเรียบเฉย แม้ตงฟางหวาจะเข้าไปในหุบเขาไม่ทัน ทว่าด้วยเคล็ดวิชาตราประทับของเขาที่แผ่ขยายในขอบเขตสองร้อยจั้ง ทุกอย่างในหุบเขาจึงอยู่ในความคิดเขา

“สหายทั้งสอง เชิญ!” หนานเทียนมองซูหมิงกับเสวียนหลุนแวบหนึ่ง ขณะยิ้มเดินนำเข้าไปในหุบเขา เสวียนหลุนกับผู้ติดตามเดินตามเข้าไป ซูหมิงยังคงเงียบงัน เดินตามอยู่ด้านหลัง

ภายในหุบเขาไม่ใหญ่นัก เพียงแต่บนผนังหินมีรอยแยกใหญ่สิบกว่าเส้น มองดูแล้วให้ความรู้สึกวังเวง หนานเทียนสาวเท้าเข้ามาไวๆ กวาดสายตามองรอยแยกเหล่านั้น เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ใช้มือขวาผลักอากาศไปเบื้องหน้า กระดูกสีดำรอบตัวเขาพลันกระจัดกระจาย ขยับแสงวูบวาบเด่นชัดสะท้อนออกมา

ภายใต้แสงดังกล่าว ซูหมิงเห็นรอยแยกแปดเส้นบนผนังหินด้านขวาบิดเบี้ยวประดุจระลอกคลื่นบนผิวน้ำ ทั้งแปดเส้นค่อยๆ หายไป ท้ายที่สุดก็กลายเป็นทางเส้นเดียว

ขนาดของรอยแยกเพียงหนึ่งเดียวบนผนังด้านขวาไม่ใหญ่นัก พอให้คนผ่านเข้าไปได้ ภายในมืดทึบ ไม่รู้ว่าไปสู่ที่แห่งใด

แววตาเสวียนหลุนเป็นประกาย ผู้ติดตามด้านหลังเขาแอบอุทาน ก้าวเดินหน้าห้อเหยียดอย่างรวดเร็ว ตรงเข้าไปในเส้นทางเพียงหนึ่งเดียวบนผนังหินด้านขวา

ก่อนหน้านี้ตงฟางหวามิทันได้เข้ามาสำรวจก่อน ขณะกำลังจะตามเข้าไป เขาเพิ่งก้าวเท้าซูหมิงก็ยกแขนขวาขึ้นมาขวางด้านหน้าไว้

“ท่านโม่ซู?” ตงฟางหวามึนงง

เสวียนหลุนเห็นดังนั้นจึงขมวดคิ้วขึ้น มองไปทางหนานเทียน

หนานเทียนกะพริบตา เผยรอยยิ้มเฝื่อน ถอนหายใจมาทางเสวียนหลุน ก่อนกล่าวอย่างจนปัญญา “สหายเสวียน ผู้ติดตามเจ้าคงจะรีบร้อนเกินไปหน่อย…”

“หนานเทียน เจ้าหมายความว่าอย่างไร!” เสวียนหลุนมีสีหน้าบึ้งตึง น้ำเสียงเย็นเยือกยิ่งขึ้น แทบจะเป็นช่วงที่เขากล่าว มีเสียงร้องโหยหวนดังมาจากในทางแยกเพียงหนึ่งเดียวบนผนังด้านขวา เสียงนั้นพลันดังขึ้นและเงียบหายไปทันที

เสวียนหลุนสีหน้าเปลี่ยน จ้องหนานเทียนเขม็ง ทว่าเขาก็เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นชำระล้าง มีพลังในการควบคุมตัวเอง จึงมิได้บันดาลโทสะในทันที แต่กล่าวอย่างเย็นชา “บอกเหตุผลที่ข้าไม่ควรลงมือมา!”

“สหายเสวียน ข้ายังไม่เคยพูดเลยว่าต้องเข้าทางเส้นนี้ เส้นทางด้านขวาของหุบเขาเป็นกับดัก เพื่อกันไม่ให้คนเข้ามาพบโดยบังเอิญและมองออกถึงตำแหน่งที่ข้าวางเอาไว้ ทางเส้นนี้คือของปลอม หากเข้าไปด้านใน ผู้ต่ำกว่าขั้นชำระล้างต้องตายอย่างแน่นอน…”

หนานเทียนฝืนยิ้ม สีหน้าสำนึกผิดเล็กน้อย แต่กลับเดินไปทางซูหมิงหลายก้าว

เห็นดังนั้น เสวียนหลุนหรี่ตาลงเล็กน้อยจนแทบไม่สังเกตเห็น ยามนี้เขานึกเสียใจภายหลังยิ่งนัก ก่อนหน้านี้เขาไม่ควรแสดงท่าทีไม่เป็นมิตรและเผยจิตสังหารกับซูหมิง

เสวียนหลุนไม่ใช่คนธรรมดา ยามนี้เขามองออกถึงแผนการที่หนานเทียนอาศัยท่าทีของตนกดดันโม่ซูให้ตามมาด้วย

ตอนนี้ยังใช้โม่ซูเพื่อมาข่มเขาอีก ทำให้ผู้ติดตามเขาตายตก อีกทั้งเขายังเรียกร้องอะไรมิได้ ถึงอย่างไรหนานเทียนก็ยังไม่ได้พูดจริงๆ ว่าต้องเข้าไปทางนั้น

“ในเมื่อไม่ได้เข้าไปทางนั้น แล้วเหตุใดเจ้าถึงต้องเปิดมัน!” เสวียนหลุนพยามระงับโทสะ กล่าวเสียงหนักแน่น

“สหายเสวียนอย่างเพิ่งโกรธ เฮ้อ เรื่องนี้แซ่หนานผิดเองที่ไม่ได้กล่าวให้ชัดเจนก่อน อีกทั้งเมื่อครู่ข้าแสดงวิชาหมานก็เลยห้ามไม่ทันด้วย แต่ว่าที่ข้าเปิดเส้นทางด้านขวานี้เพราะมีเหตุผล หากไม่เปิดทางเส้นนี้ก่อนพวกเราจะเข้าไปในทางที่แท้จริงไม่ได้” หนานเทียนประสานมือคารวะเสวียนหลุน สีหน้าสำนึกผิดหนักขึ้น

ตงฟางหวามีเม็ดเหงื่อผุดตรงหน้าผาก อายุเขาไม่น้อยแล้ว มีประสบการณ์เหลือล้น ยามนี้มองออกถึงความสัมพันธ์ซับซ้อนระหว่างสามคน

เขานึกถึงใบหน้าเหี้ยมเกรียมของหนานเทียน นึกถึงความชั่วร้ายของเสวียนหลุน และยังนึกถึงตอนที่ซูหมิงยกมือขวางตนเอาไว้เมื่อครู่ สายตาที่เขามองซูหมิงจึงมีความซาบซึ้งใจ

เสวียนหลุนจ้องหนานเทียนและมองซูหมิง ตัวเขาเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นชำระล้าง น้อยนักที่จะเจอกับเหตุการณ์น่าอับอายเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเขาดันพูดไม่ออกจริงๆ ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะตัวเขาเอง

เสวียนหลุนนิ่งเงียบ ใบหน้าเริ่มมีเส้นเลือดดำปูดโปน เขาจ้องหนานเทียนพลางหรี่ตาลง

หนานเทียนยังคงแสดงสีหน้าสำนึกผิด น้อมคำนับไม่หยุด

“เจ้า…..” เสวียนหลุนเดินหน้าไป ทว่าเพิ่งกล่าวได้เพียงคำเดียว น้ำเสียงเย็นชาจากซูหมิงกลับดังขัดขึ้นก่อน

“คำบางคำก็ไม่ควรพูด หากพูดผิดแล้วคือผิดเลย แถมมีราคาที่ต้องจ่าย”

“อีกอย่าง เสวียนหลุน ผู้ติดตามของเจ้าตายหรือยังก็ไม่รู้ ถึงอย่างไรก็ยังไม่เห็นศพ”

เสวียนหลุนชะงักเท้า สีหน้าเปลี่ยน ทว่าผ่านไปไม่นานเขาก็สูดลมหายใจเข้าลึก ประสานมือคารวะหนานเทียน

“สหายหนาน ก่อนหน้านี้แซ่เสวียนบุ่มบ่ามเกินไปเอง เชิญนำทาง”

หนานเทียนเผยรอยยิ้มบาง ประสานมือคารวะเช่นกัน เขากล่าวขอโทษและอธิบายเล็กน้อย จากนั้นเหลือบตามองซูหมิงที่ยังคงสงบนิ่งแวบหนึ่ง ในใจเกิดความตื่นตระหนก

‘เขามองออกถึงสิ่งผิดปกติและห้ามผู้ติดตามของเขาได้ทัน เห็นได้ชัดว่าความคิดเขาละเอียดรอบคอบยิ่งนัก ไม่ยอมให้คนของตนเข้าไปเสี่ยงเลย…น่าเสียดายที่เรื่องนี้ทำให้ผู้ติดตามเขาซาบซึ้งใจ ตรงจุดนี้ข้าเองก็ทำได้เหมือนกัน แต่เขามองเห็นกับดักจริงๆ หรือแค่รอบคอบอย่างที่ข้าคาดเดากันแน่…

เรื่องนี้พักไว้ก่อนดีกว่า คำพูดของเขาเมื่อครู่มีค่าพอให้ทบทวน จิตสังหารระหว่างเสวียนหลุนกับเขาก่อนหน้านี้ไม่เหมือนแสร้งทำ…ทว่าเมื่อครู่เขาตั้งใจเตือนเสวียนหลุน นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาใช้เรื่องที่ข้าทำมาสงบศึกกับเสวียนหลุน อีกทั้งมีความเป็นไปได้ว่าทั้งสองคนนี้อาจร่วมมือกัน…

สมควรตาย มาก่อกวนแผนการรับมือเสวียนหลุนของข้า กระทั่งเรื่องนี้อาจทำให้เสวียนหลุนระแวงต่อข้ามากขึ้น และที่สำคัญเขายังไม่ต้องเอาตัวเข้ามาพัวพัน…’

หนานเทียนไม่เผยความคิดแม้แต่น้อย หลังจากพยักหน้าและยิ้มให้ซูหมิงแล้วจึงมองผนังหินด้านซ้าย บริเวณนั้นมีรอยแยกเจ็ดทาง หนานเทียนขยับร่างกาย ทะยานไปในเส้นทางที่สาม โฉ่วนู่ซึ่งอยู่ด้านหลังตามไปติดๆ

เสวียนหลุนมองซูหมิง ลังเลครู่หนึ่ง แล้วจึงพยักหน้าให้ก่อนก้าวเดินเข้าไป

ซูหมิงเดินตามอย่างสงบนิ่ง เขามองไม่ออกถึงความคิดของหนานเทียน คิดเพียงว่าก่อนเข้าไปในทางเส้นนี้ หนานเทียนไม่มีทางยอมให้เกิดเหตุวิวาทเป็นแน่ เพราะนั่นจะทำให้เสียการใหญ่

ทว่ากลับเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น เรื่องนี้มีค่าพอให้ตรึกตรอง ซูหมิงมองไม่ออกถึงความคิดของหนานเทียน แต่เขาก็ทำลายมันได้

‘เทียบกับเสวียนหลุนแล้ว หนานเทียนผู้มีแผนการหยั่งลึกคนนี้ จะต้องระวังเขาไว้ให้มาก’ ซูหมิงสงบเงียบ ตามหลังทุกคนเข้าไปในทางเส้นที่สาม

ทางแยกแห่งนี้ค่อนข้างยาว ตลอดทางไม่มีใครพูดอะไร หลังผ่านไปนาน เบื้องหน้าทุกคนปรากฏเส้นทางไม่ใหญ่นักเส้นหนึ่ง ทางเส้นนี้มุ่งหน้าไปยังส่วนลึก เลี้ยวลดคดเคี้ยว มีร่องรอยฝีมือมนุษย์เด่นชัด เห็นได้เลยว่ามีคนสร้างมันขึ้นมา

“ทางเส้นนี้หากไม่ใช้วิธีการพิเศษเปิดเส้นทางด้านขวาของหุบเขาก่อนก็จะไม่ปรากฏให้เห็น ต่อให้มีคนเข้ามาโดยบังเอิญ มันก็จะเป็นเส้นทางเหมือนเขาวงกต ยากจะพบตำแหน่งแท้จริง นี่คือเคล็ดวิชาหมานเฉพาะของชนเผ่ามนต์เมฆาของข้า” หนานเทียนกล่าวอธิบายเบาๆ

“ทางเส้นนี้เชื่อมไปถึงสุสานของบรรพบุรุษเขาหาน ปลายทางมีผนึกกั้นหนึ่งชั้น หากทำลายผนึกก็จะเข้าไปในแดนนั่งละสังขารของบรรพบุรุษเขาหานได้”

หนานเทียนกล่าว พลางทะยานไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว

ภายในเส้นทางมืดทึบ แต่ในสายตาของพวกซูหมิงมิได้เป็นเช่นนั้น ถึงแม้เลือนรางทว่าก็เห็นอย่างชัดเจนยิ่ง สิ่งที่สะดุดตาคือบนพื้นของทางเส้นนี้เป็นสีแดง ต่างจากเส้นทางในหุบเขาก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง

ราวกับโลกที่ต่างกันสองใบ

ซูหมิงเห็นสีแดงบนพื้นเส้นทางเบื้องหน้า แววตาแอบเป็นประกาย เขาเดินไปด้านหน้า ทว่าในช่วงที่เพิ่งเหยียบพื้นสีแดงลงไปก้าวแรก

“ในที่สุด…เจ้า…ก็มา…แล้ว…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!