ตอนที่ 225 ผู้มาเยือนท่ามกลางลมหิมะ
ภายใต้สภาพที่ทำให้ซูหมิงไม่ค่อยคุ้นเคยนี้ เขาลืมเวลาที่ผันผ่าน หลับตาทั้งสองข้างลง ดูราวกับไม่มีจิตวิญญาณ วิญญาณของเขาเหมือนออกจากร่างหลอมรวมกับฟ้าดินเป็นหนึ่งเดียว
ภายในโลกของเขาไม่มีฟ้าดิน มีเพียงความขมุกขมัวโอบล้อมดังหมอกหนาทึบ ทำให้เขามองเห็นไม่ชัด ทว่าจิตใจเขากลับสงบนิ่งยิ่งนัก สงบจนแม้แต่การเคลื่อนไหวยังช้าลง
เกล็ดหิมะตกใส่เส้นผมและเสื้อผ้าของเขา ค่อยๆ สะสมมากขึ้นเรื่อยๆ หากมองจากไกลๆ ซูหมิงจะเหมือนมนุษย์หิมะ
สี่วัน ห้าวัน หกวัน…
ตะวันขึ้นลงสับเปลี่ยนกันหลายครั้ง แสงตะวันและแสงจันทร์ตัดสลับกันสาดส่องบนตัวซูหมิง สะท้อนแสงแตกต่างกัน ร่างกายของเขายังคงนิ่งดังเดิม
ปลายยอดเขาลำดับเก้า ซูหมิงในเวลานี้ไม่รู้เลยว่าเงาคนที่เขาเห็นช่วงหลายวันก่อนยามเข้าสู่สภาพนี้ยังคงไม่จากไปไหน
เทียนเสียจื่อยืนบนปลายยอดเขาอย่างเงียบๆ สายตาของเขามองเงาร่างที่นั่งขัดสมาธิของซูหมิงตลอด ผ่านช่วงเวลาหลายวันนี้ไปพร้อมกัน และยังคงดำเนินต่อไป
จนกว่าซูหมิงจะตื่นขึ้น ตัวเขาที่เป็นอาจารย์ถึงจะจากไปได้
เพราะเขารู้ว่าสภาพการณ์เช่นนี้ เป็นขั้นตอนและการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอย่างยิ่งครั้งหนึ่งในชีวิตศิษย์คนนี้ มันคือการรู้แจ้ง
“ศิษย์ทุกคนของข้าเทียนเสียจื่อ หลังจากขึ้นเขามาแล้วล้วนรู้แจ้งเป็นครั้งแรกในช่วงเวลาที่ต่างกัน…” เทียนเสียจื่อมองซูหมิงจากไกลๆ พลางพึมพำเบาๆ
ตอนศิษย์คนแรกรู้แจ้ง เขามองอยู่
ตอนศิษย์คนรองรู้แจ้ง เขาก็มองอยู่เช่นกัน
ตอนศิษย์คนที่สามรู้แจ้ง เขายังคงอยู่ตรงนั้น มองอย่างเงียบๆ
ตอนนี้เขายืนอยู่ตรงนี้เหมือนกับสามครั้งก่อน มองซูหมิงรู้แจ้งเข้าใจ ในระหว่างการรู้แจ้งนี้ เขาจะไม่อนุญาตให้ผู้ใดมารบกวน เขาเป็นอาจารย์ เขาต้องอ้าแขนปกป้องในยามที่พวกเขาอ่อนแอ
“ข้าอยากรู้ยิ่งนักว่าเจ้าจะรู้แจ้งได้วิธีการแบบใดมาทำให้จิตใจสงบ…”
เทียนเสียจื่อเผยรอยยิ้มอ่อนโยน ภายในรอยยิ้มมีความหวัง
เขาไม่อาจลืมท่าทางสะอื้นไห้ยามศิษย์คนนี้มองแผนที่หนังสัตว์ภายในห้องลับเมื่อหลายวันก่อนได้ชั่วนิรันดร์…
เหมือนกับตอนที่เขารับศิษย์คนแรก ศิษย์สอง และศิษย์สาม
ช่วงเวลานั้น ยามที่ซูหมิงเรียกเขาว่าอาจารย์ เขามองซูหมิงเป็นศิษย์ของตนแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้เวลา บางครั้งระหว่างคนกับคน เพียงความรู้สึกชั่วพริบตาก็ทำให้รู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีได้
เทียนเสียจื่อกำลังมอง…
บนยอดเขาลำดับเก้า ศิษย์พี่สามที่ชอบเรียกตัวเองว่าท่านหู่กำลังนอนอยู่ในถ้ำ ในมือถือน้ำเต้าสุรา ดื่มลงไปทีละอึก ตอนนี้เขาเมาแล้ว เพียงแต่การเมาในช่วงหลายวันมานี้เขากลับยากจะเข้าสู่นิทรา เขาเงยหน้าบ่อยครั้ง แม้มีผนังหินถ้ำขวางการมองเห็น ทว่าหากไม่มีผนังหินตรงนี้ก็จะมองเห็นด้านนอกอย่างชัดเจน ตรงจุดที่เขามองคือแท่นราบที่ซูหมิงกำลังนั่งฌาน
“ชีวิตของท่านหู่ลำบากนัก…..ใครให้เขามาเป็นศิษย์น้องเล็กกัน ช่วยไม่ได้ๆ….แต่ต่อไปนี้หากออกไปมีเรื่องก็จะมีคนช่วยข้าแล้ว ไม่เลว ไม่เลว….” ศิษย์พี่สามกล่าวพึมพำ แสยะปากยิ้ม รอยยิ้มนั้นลำพองใจยิ่งนัก
“หึๆ ท่านหู่คนนี้ฉลาด ศิษย์น้องเล็กกำลังรู้แจ้งจากการชี้แนะโดยไม่ตั้งใจของข้า ดูหน่อยดีกว่าว่าเขาจะรู้แจ้งถึงวิธีใด…..แย่แล้ว หากเขารู้แจ้งถึงวิธีปิดด่านฝึกพลังเป็นเต่าดำเหมือนกับศิษย์พี่ใหญ่ จากนี้ท่านหู่ก็จะเหงาอีกแล้วน่ะสิ!
ต่อให้รู้แจ้งถึงนิสัยประหลาดของศิษย์พี่รอง ชอบปลูกพืชดอกก็ใช่ว่าจะดี…ดื่มสุรา อันนี้ดีที่สุด ถึงตอนนั้นข้าก็จะมีเพื่อนดื่มสุราแล้ว” ชายร่างกำยำเกาศีรษะ สีหน้าตึงเครียด
ยามนี้ ขณะเดียวกันบนยอดเขาลำดับเก้ายังมีอีกคนหนึ่ง เขาอยู่ตรงแปลงพืชดอกผืนใหญ่กลางภูเขา กำลังนั่งยองขุดดินน้ำแข็ง เอาพืชดอกจำนวนหนึ่งปลูกลงไป
ชายคนนี้สวมเสื้อขาว ใบหน้าหล่อเหลายิ่งนัก ดวงตาเปล่งประกาย เผยรอยยิ้มบางตลอดเวลา เขาเงยหน้าบ่อยครั้ง มองยังจุดนั่งฌานของซูหมิง รอยยิ้มเด่นชัดมากขึ้นเล็กน้อย
“ศิษย์น้องเล็ก สู้เขา จะเป็นคนยอดเขาลำดับเก้าได้รึไม่ก็ต้องดูว่าเจ้ารู้แจ้งได้รึไม่…” ชายคนนี้คือศิษย์พี่รอง ยามกลางวันเขาไม่นอน กระทั่งหลายวันมานี้เขาก็ยังไม่นอน จู่ๆ กลับเปลี่ยนไป ขณะดูแลพืชดอกก็เฝ้าสังเกตตรงจุดที่ซูหมิงอยู่บ่อยครั้ง
ใต้ยอดเขาลำดับเก้า ลึกไปตามรอยแยกชั้นน้ำแข็ง ใต้ภูเขาลูกนี้ ตรงจุดปิดด่านนั่งฌานของศิษย์พี่ใหญ่ มีดวงตาอ่อนโยนคู่หนึ่งราวกับกำลังมองซูหมิงเช่นกัน ภายในแววตาเฝ้ารอคอย
ซูหมิงนั่งอย่างเงียบๆ ในโลกของเขายังคงเป็นหมอกหนาทึบ มองไม่เห็นอะไรสักอย่าง เห็นเพียงหมอกลอยเคว้ง เขาไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร บางทีอาจหลายช่วงลมหายใจ อาจหลายวัน หรืออาจนานกว่านั้น
เขาไม่ขบคิดถึงเรื่องเหล่านี้ เพียงแต่มองหมอก
ภายในหมอกเขาเห็นเหมือนเงาคนกำลังนั่งสมาธิอยู่รางๆ รอบตัวค่อยๆ มีไอหนาว ภายในไอหนาวกลับมีความร้อนระอุแฝงอยู่
นี่คือศิษย์พี่ใหญ่ที่ซูหมิงวาดออกมาจากความรู้สึก
“ใช้พลังของการปิดด่านพันธนาการร่างกาย รวมจิตใจเอาไว้ ดังนั้นจึงบรรลุถึงระดับจิตใจสงบ…นั่งฌานทำสมาธิ ตระหนักรู้ในสัจธรรมเคล็ดวิชา สร้างเส้นทางของตัวเองขึ้นมา…นี่ก็คือศิษย์พี่ใหญ่” ซูหมิงพึมพำกับตัวเอง นี่คือศิษย์พี่ใหญ่ในความเข้าใจเขา
“ระดับนี้ข้าเองก็ทำได้เหมือนกัน…เพียงแต่เพราะข้ามองเห็น ฉะนั้นหากเลือกก็จะมิใช่การสร้าง….แต่เป็นเส้นทางของคนอื่น เดินตามหลังเงาของศิษย์พี่ใหญ่” ซูหมิงเงียบอยู่นาน ก่อนส่ายศีรษะช้าๆ
ไม่นานในสายตาของซูหมิง หมอกในโลกตรงหน้าเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นภาพใหม่ ภาพใบนี้มีแค่ซูหมิงที่ได้เห็น หากยามนี้โลกของเขามีคนอื่นอยู่ จะเห็นเพียงแต่หมอก ไม่เห็นอย่างอื่นอีก
บอกว่าเป็นหมอก ทว่าความจริงเป็นความคิดของซูหมิง
ในภาพใบใหม่เขาเห็นศิษย์พี่รอง เห็นพืชดอกจำนวนมากบนยอดเขาลำดับเก้า และเห็นพลังในการสร้างชีวิต
“เพราะทุ่มให้กับพืชดอกอย่างเต็มที่ ฉะนั้นจึงทุ่มให้กับจิตใจได้อย่างเต็มที่ ชีวิตของพืชดอกฟ้าดินมอบให้ แต่กลับผ่านมือของศิษย์พี่รอง และ…ถูกทำลายด้วยมือของเขาเช่นกัน…..” ซูหมิงตัวสั่นสะท้าน เขาอยู่ในสภาพตระหนักรู้ พลันเข้าใจพฤติกรรมเล็กน้อยของศิษย์พี่รอง
สิ่งเหล่านี้บางทีอาจไม่ถูกต้อง ทว่าก็เป็นสิ่งที่ซูหมิงเข้าใจในตอนนี้
“การสร้างแบบนี้บรรลุถึงระดับที่หยั่งลึกมากแล้ว…ศิษย์พี่รอง…” ซูหมิงพึมพำ เขาเงียบไปพักหนึ่ง ทว่าก็ยังคงส่ายศีรษะ
‘เส้นทางแบบนี้ไม่เหมาะจะเป็นคำตอบของอาจารย์ ความหมายของการสร้าง…’
ซูหมิงมองหมอกตรงหน้า ความจริงเขามีคำตอบสำหรับคำถามของเทียนเสียจื่อแล้ว แต่คำตอบนี้อยู่เพียงในใจ มิอาจพูด หากพูดก็คือผิด
‘คำตอบของศิษย์พี่ใหญ่น่าจะเป็นตัวเขาเองคือการสร้าง’
‘คำตอบของศิษย์พี่รองก็น่าจะเป็นคำพูดแบบเดียวกัน’
‘ส่วนศิษย์พี่สาม บางทีคำพูดอาจต่างกันเล็กน้อย ทว่าความหมายน่าจะเหมือนกัน…พวกเขาตอบแบบนี้ได้ เพราะพวกเขาหาวิธีทำจิตใจสงบพบ หาการสร้างของตัวเองพบ’
‘ข้าพูดมิได้เพราะข้ายังหาไม่พบ หากเลียนแบบเส้นทางของศิษย์พี่รอง ข้าก็จะไม่อาจพูดประโยคนี้ไปชั่วนิรันดร์…เว้นแต่วันหนึ่งข้าจะเดินออกจากเส้นทาง’ ซูหมิงส่ายศีรษะ
หมอกตรงหน้าเปลี่ยนไปอีกครั้ง ภายในภาพที่คนนอกมองไม่เห็นครานี้ เป็นศิษย์พี่สามที่ชอบเรียกตัวเองว่าท่านหู่ สายตามึนเมาดูเกียจคร้าน กำลังดื่มสุราเอนกายนอนกับพื้น ยิ้มมุมปากซื่อๆ อีกทั้งยังมีสุราไหลมาตามมุมปาก ได้ยินเสียงกรนดังแว่วเบาๆ
ประหนึ่งเขาอยู่ในความฝัน มีโลกบางอย่างที่ทำให้เขามีความสุข ในโลกใบนั้นเหมือนมีคนจำนวนมากกำลังดื่มสุราเป็นเพื่อน และมีอีกหลายคนที่กำลังรอให้เขาทุบตี…
ท่าทางมีความสุขแบบนั้นทำให้ซูหมิงอดยิ้มขึ้นมามิได้
เขาคิดว่าบางทีการรู้แจ้งของศิษย์พี่สามอาจง่ายและธรรมดาที่สุด กระทั่งมีความเป็นไปได้สูงว่าศิษย์พี่สามคนนี้จะไม่เคยรู้แจ้งอะไรเลย เพียงแค่เมาสุราแล้วนอนหลับเพ้อฝัน จากนั้นก็กลายเป็นวิธีทำจิตใจสงบเองโดยธรรมชาติ
‘หากวันหนึ่งฝันของศิษย์พี่สามเป็นจริง เช่นนั้นความสำเร็จของเขาน่าจะไม่ด้อยไปกว่าศิษย์พี่รอง…ส่วนศิษย์พี่ใหญ่ เส้นทางของเขายังมีบางอย่างที่ข้าอ่านไม่ออก’ ท้ายที่สุดซูหมิงยังคงเลือกส่ายศีรษะ ไม่เลือกเดินเส้นทางของศิษย์พี่สาม
‘ไม่รู้ว่าการรู้แจ้งของอาจารย์คืออะไร…’ ซูหมิงไม่ทราบปมของเรื่อง และไม่ขบคิดถึงมันมากนัก ไม่นานหมอกตรงหน้าเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ การเปลี่ยนของพวกมันเป็นตัวแทนว่าซูหมิงกำลังคิดอย่างลึกซึ้ง
สิ่งที่เขาไตร่ตรองคือการรู้แจ้งของตัวเอง วิธีทำจิตใจสงบที่เป็นของตัวเอง
เวลาผ่านไปหลายวัน ซูหมิงยังคงนั่งฌานอยู่บนแท่นราบ เข้าสู่วันที่ยี่สิบเจ็ดแล้ว
ในยี่สิบเจ็ดวันนี้ มีลมหิมะพัดผ่านบ่อยครั้ง ทว่าหิมะก็ยังตกน้อยอยู่ แต่ถึงกระนั้นก็ยังทำให้รอบตัวและร่างกายเขาเหมือนเชื่อมกับลมหิมะ
หลังจากผ่านคืนวันที่ยี่สิบเจ็ดไป ยามรุ่งอรุณวันที่ยี่สิบแปดมาเยือน ตามมาด้วยแสงตะวันยามรุ่งเช้าพร้อมกับพายุหิมะครั้งใหญ่
สภาพอากาศลมพายุหิมะใช่ว่าจะพบเห็นได้ยากในสำนักเหมันต์สวรรค์ มันจะเกิดขึ้นบ่อยครั้ง และวันนี้ก็เป็นช่วงลมพายุหิมะมาเยือน เสียงลมหนาวลากยาวเข้ามา ม้วนหิมะจำนวนมากปลิวว่อนราวกับจะปกคลุมโลกทั้งใบ เหมือนกับสัตว์ยักษ์ยุคบรรพกาลกำลังง้างกรงเล็บแล้วตะปบใส่แผ่นดิน
ช่วงที่ลมพายุหิมะส่งเสียงลากยาว ใต้ตีนเขานอกยอดเขาลำดับเก้า
มีบุคคลหนึ่งค่อยๆ เดินมาจากไกลๆ เขาสวมงอบหนา ปิดบังทั้งตัวไว้ เดินอยู่ท่ามกลางลมพายุหิมะ
พลังน่าสะพรึงแผ่ขยายมาจากในตัว ทำให้ลมหายุหิมะคล้ายไม่กล้าเข้าใกล้ ม้วนตัวถอยไปอยู่รอบตัว ทำให้เงาคนที่กำลังเดินมานี้ หากมองไกลๆ จะเหมือนกับงูดินกำลังคืบคลานเข้ามา
“ซูหมิง….” บุคคลนี้พลันกล่าวอยู่ใต้ยอดเขาลำดับเก้าด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก