Skip to content

สู่วิถีอสุรา 25

ตอนที่ 25 จุดเริ่มต้นจันทร์โลหิต

หลังจากรออยู่หน้ากระโจมหนังอยู่นาน เขาจึงถูกเรียกให้เข้าไปด้านใน ชายตาเดียวเข้าไปด้วยสีหน้านบนอบ กระทั่งผ่านไปครึ่งชั่วยาม เขาจึงเดินออกมาพร้อมกับใบหน้าปีติยินดี ก่อนเดินจากไปอย่างนอบน้อม

ในกระโจมหนังสีม่วงมีผู้อาวุโสนั่งอยู่สองคน เส้นผมขาวเป็นสีดอกเลา ทว่าดวงตาทั้งสองข้างกลับแวววาว เบื้องหน้าพวกเขามีขวดเล็กธรรมดาตั้งอยู่ ด้านในกลวงเปล่า

หนึ่งในสองคนมีผู้อาวุโสชุดคลุมขาว เขากำลังใช้นิ้วมือคีบเม็ดโอสถหนึ่งเม็ด หลังจากพินิจอยู่นาน แววตาเป็นประกาย ทั้งแปลกใจและลังเล

เขาครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ ก่อนยกขึ้นระดับจมูกแล้วสูดดมกลิ่น หลับตาทั้งสองข้างอยู่นานก่อนพลันลืมตาขึ้นอีกครั้ง

“เป็นอย่างที่มันว่า มีประสิทธิผลที่ยากจะเชื่อได้จริงๆ! ข้าอยู่ในเผ่าร่องลมมานานหลายปี ไม่เคยเห็นโอสถชนิดนี้มาก่อน อีกทั้งลักษณะของมันยังไม่เหมือนกับโอสถโบราณ ไม่มีร่องรอยของกาลเวลา แต่เหมือนเพิ่งหลอมได้ไม่นาน! มันคืออะไรกันแน่?….”

“น่าเสียดายที่เวลาผ่านมานานแล้ว ทว่าหมานชั่วร้ายผู้นั้นก็ไม่อาจล่วงเกินได้ มิเช่นนั้นคงได้ทราบถึงที่มาของมัน” ผู้อาวุโสอีกคนกล่าวขึ้นอย่างช้าๆ

“อย่าผลีผลาม คนที่ครอบครองเจ้าสิ่งนี้ได้ เกรงว่าจะไม่ใช่นักรบระดับสูงขั้นรวมโลหิต แต่เป็นหมานชั่วร้ายขั้นพลังสูงกว่าจากต่างแดน พี่โจ้ว ของล้ำค่าชิ้นนี้ข้าจะนำกลับเผ่า บางทีจ้าวหมานแห่งเผ่าร่องลมอาจจะรู้จักมัน” ผู้อาวุโสชุดคลุมขาวใส่เม็ดโอสถลงขวดเล็ก จากนั้นจึงสะบัดมือขวา ขวดเล็กพลันหายไปทันที

“ก็ควรจะเป็นเช่นนั้น” ชายชราเบื้องหน้าพยักหน้า

“สิ่งนี้สำคัญยิ่งนัก ข้าจะล่วงหน้าไปก่อน หากได้ความอะไรจะแจ้งกลับมาอีกที”

ผู้อาวุโสชุดคลุมขาวยันกายขึ้น แล้วประสานมือคำนับคนแซ่โจ้ว ก่อนเดินออกจากกระโจมม่วงไปอย่างเร่งรีบ เพียงก้าวฝีเท้าร่างของเขาพลันบิดเบือนกลายเป็นหมอกขาวลอยสู่ฟ้า หายวับไปอย่างไร้ร่องลอย

ยามตะวันเริ่มทอแสง ณ ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ห่างจากตลาดไปเพียงเล็กน้อย มีชนเผ่าขนาดมหึมาดั่งหนึ่งเมืองตั้งรกราก โดยรอบห้อมล้อมไปด้วยหกเผ่าเล็กขนาดเดียวกับเผ่าเขาทมิฬ ตำแหน่งใจกลางเป็นเมืองหินโคลนใหญ่ยักษ์เมืองหนึ่ง!

เมืองแห่งนี้โออ่าแข็งแกร่งราวกับสัตว์ยักษ์ปกคลุมแผ่นดินใหญ่ เพียงแค่คนในเมืองก็มีเกินกว่าหลายพันคน เผ่าเขาทมิฬไม่อาจเทียบเคียงได้

ส่วนเผ่านอกเมืองหินโคลนทั้งหกเป็นเมืองขึ้นโดยตรง หนึ่งในนั้นพ่ายให้แก่เผ่าร่องลม และด้วยเหตุไม่คาดฝันบางอย่างจึงมาย้ายมาที่นี่เพื่อขอให้คุ้มครอง ท้ายที่สุดจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของเผ่าร่องลม

เผ่าร่องลมเป็นเผ่าขนาดกลาง ทว่ากลับอ่อนแอที่สุดในหมู่เผ่าขนาดเดียวกัน ถึงอย่างไรเผ่าหมานในแถบเขาทมิฬล้วนเป็นแค่เศษเสี้ยวที่อยู่ไกลโพ้นเท่านั้น และด้วยเหตุนี้จึงทำให้เผ่าร่องลมเป็นเจ้าถิ่นปกครองแปดทิศ รับส่วยจากเผ่าเล็กจำนวนมาก นอกจากนี้เผ่าร่องลมยังเป็นสมาชิกเผ่าเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถติดต่อกับเบื้องบนได้

ยามนี้ตะวันแรกโผล่ขึ้นตรงขอบฟ้าไกล หมอกสีขาวห้อเหยียดเข้ามา ก่อนรวมตัวขึ้นเป็นผู้อาวุโสชุดคลุมขาว

เขาเดินเข้าไปในเมืองหินโคลนด้วยสีหน้าเคร่งขรึมทันที ระหว่างทางพบชาวเผ่าร่องลมจำนวนมาก พวกนั้นต่างหยุดทำความเคารพเขาด้วยความนอบน้อมกันทุกคน

ณ ใจกลางเมืองมีแท่นบวงสรวงสีดำตั้งอยู่ มันเป็นแท่นลักษณะห้าเหลี่ยม สูงราวสิบจั้ง ด้านบนแกะสลักสัญลักษณ์รูปนกจำนวนหนึ่ง อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกที่เก่าแก่

ผู้อาวุโสชุดคลุมขาวยืนโค้งคารวะใต้แท่นบวงสรวง ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงนุ่มนวลพลันดังลงมาจากด้านบนแท่นบวงสรวง

“สือไห่ มีเรื่องอะไร?”

“เรียนจ้าวหมาน สือไห่เจอโอสถที่ไม่เคยเห็นมาก่อนจากในตลาดของโจ้วหรั่น มันมีสรรพคุณที่พิสดารยิ่งนัก….” ผู้อาวุโสชุดคลุมขาวสูดลมหายใจเข้าลึก กล่าวเสียงหนักแน่น

“หืม? เอามาให้ข้าดู” เสียงนุ่มนวลบนแท่นบวงสรวงดังขึ้นเนิบนาบ

ผู้อาวุโสชุดคลุมขาวชูมือขวา แสงขยับวูบวาบในมือของเขา ก่อนขวดเล็กปรากฏขึ้น ราวกับมันถูกพลังงานพิลึกบางอย่างฉุดดึง ค่อยๆ ลอยขึ้นไปบนแท่นบวงสรวงอย่างเชื่องช้า

โดยรอบเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมพัดผ่าน จนชายเสื้อผู้อาวุโสชุดคลุมขาวปลิวไสว เขายืนรออย่างสงบนิ่ง

ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงนุ่มนวลดังขึ้นอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้แฝงไว้ด้วยความสงสัยและตะลึง!

“สิ่งนี้มีเพียงหนึ่งเม็ดหรือ?”

“มีเพียงหนึ่งเม็ด” ผู้อาวุโสชุดคลุมขาวกล่าวขึ้นทันที

“ข้าไม่เคยเห็นโอสถลักษณะนี้มาก่อน…ข้างในมันแฝงไว้ด้วยส่วนประกอบที่ข้าไม่เข้าใจ…อีกทั้งยังเห็นได้ชัดว่าเพิ่งหลอมเมื่อไม่นานมานี้…..ใครกันที่นำมันมาแลก?” น้ำเสียงนุ่มนวลแฝงด้วยความจริงจัง

“เป็นหมานชั่วร้ายผู้หนึ่ง” ผู้อาวุโสชุดคลุมขาวกล่าวเสียงต่ำ

“ทุ่มกำลังทุกอย่างที่มีหาเขาให้พบ! แล้วบอกเขา หากเข้าร่วมกับเผ่าร่องลมของเรา ข้าจะให้ตำแหน่งแขกคนสำคัญ!” น้ำเสียงนุ่มนวลพลันดังขึ้น

ผู้อาวุโสชุดคลุมขาวสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วขานรับอย่างนอบน้อม แม้เขาจะทราบดีว่าโอสถชนิดนี้ไม่ธรรมดา ทว่ากลับไม่นึกเลยว่าจ้าวหมานจะเชิญบุคคลดังกล่าวให้มาเป็นแขกคนสำคัญของเผ่าร่องลม ตำแหน่งนี้สูงส่งยิ่งนัก นอกจากจ้าวหมานและจ้าวเผ่าแล้ว มันสามารถเทียบเคียงได้กับผู้นำในตำแหน่งอื่นๆ

เมื่อผู้อาวุโสชุดคลุมขาวก้าวถอยออกไป ข่าวสารนี้เริ่มแพร่กระจายไปทั้งเผ่าร่องลม ประดุจกางตาข่ายใหญ่เพื่อตามหาผู้ที่พวกเขาคิดว่าเป็นหมานชั่วร้าย!

ทว่ายามนี้ซูหมิงอยู่ในเรือนของตน ครุ่นคิดตัดสินใจอย่างเด็ดขาด เมื่อตะวันทอแสง เขาจึงทะยานร่างออกจากเผ่าเพียงลำพัง ห้อเหยียดในป่าทึบตรงสู่ยอดเขาเพลิงทมิฬ

ซูหมิงกระโดดไปมาในป่า หลังจากที่เขาทะลวงสู่ลำดับสองขั้นรวมโลหิตแล้ว ทำให้ความปราดเปรียวและความเร็วของร่างกายเพิ่มขึ้นไม่น้อย แม้แต่เหลยเฉินยังต้องเร่งสุดกำลังถึงจะตามได้ทัน และด้วยความชินทางทำให้ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นไปอีก ยามเที่ยงวันเขาก็มาถึงใต้ยอดเขาเพลิงทมิฬแล้ว

ซูหมิงพาร่างกระโดดขึ้นไปบนยอดเขาเพลิงทมิฬ ตรงไปยังถ้ำภูเขาไฟที่เขาใช้หลอมสมุนไพร ก่อนวางตะกร้าสานลง ในนั้นมีสมุนไพรอยู่ไม่น้อย ล้วนเป็นวัตถุดิบที่เขาเตรียมมาเพื่อหลอมสมุนไพรในครั้งนี้

เสี่ยวหงไม่อยู่ในถ้ำ คาดว่ามันน่าจะออกไปเที่ยวเล่น ซูหมิงเลยปัดกวาดรอบๆ ถ้ำ มั่นใจแล้วว่าสะอาดจึงนั่งขัดสมาธิและโคจรโลหิตในกาย เส้นเลือดเส้นที่สิบขยับแสงวูบวาบ ทำให้ทั้งในและนอกร่างกายถึงจุดที่ดีพร้อมที่สุดในยามนี้

กระทั่งซูหมิงยังเกิดความรู้สึกรางๆ ว่าใกล้จะทะลวงพลัง ราวกับเส้นเลือดเส้นที่สิบเอ็ดกำลังรวมตัวกันจนสมบูรณ์

“ท่านปู่ช่วยข้าชี้นำหมานอย่างแท้จริง ทั้งยังบอกว่าอีกไม่นานข้าจะทะลวงสู่ลำดับสาม….ทว่าตอนนี้ผ่านไปไม่เท่าไร ข้ากลับสัมผัสได้ถึงโลหิตที่เหลือแล้ว…..เคล็ดวิชาหมานบรรพกาลมหัศจรรย์ยิ่งนัก” ซูหมิงลืมตาขึ้น ในแววตาขยับแสงวาบผ่าน ในหัวเกิดภาพสิ่งปฏิกูลสีดำที่ถูกขับจากร่างของตนในตอนนั้น

“เช่นนั้นเว้นเรื่องหลอมสมุนไพรไปก่อน ตอนนี้ข้าต้องทะลวงผ่านลำดับสองไปให้ได้!” ซูหมิงขบคิดในใจ พลางหยิบว่านหินฟ้าจากอกเสื้อ มองมันแวบหนึ่งก่อนกลืนโอสถชำระล้าง แล้วเด็ดใบว่านมาหนึ่งใบกินตามลงไป

ซูหมิงหลับตานั่งสมาธิอีกครั้ง ผ่านไปครู่หนึ่ง ทั่วร่างขับเม็ดเหงื่อ แสงโลหิตสาดส่องโดยรอบ เส้นเลือดเส้นที่สิบเอ็ดขยับวูบวาบ

หลายชั่วยามผ่านไป มีเสียงอู้อี้ดังจากในตัวซูหมิง เส้นเลือดเส้นที่สิบเอ็ดพลันปรากฏขึ้นสมบูรณ์ พลังโลหิตแกร่งกล้าระเบิดออกจากตัวซูหมิง

ซูหมิงเปิดเปลือกตา ในแววตาเป็นประกาย

“ขั้นรวมโลหิตลำดับสาม!” ซูหมิงพึมพำพลางชันกายขึ้น สีหน้าแสดงความตื่นเต้น หลังจากยืดเส้นยืดสายจึงค่อยเริ่มหลอมโอสถวิญญาณผาตามขั้นตอนที่เห็นในความทรงจำ

ซูหมิงในยามนี้ไม่ได้ทึ่มทื่อเฉกเช่นเมื่อหลายเดือนก่อน เขาชำนาญในด้านการหลอมสมุนไพรอย่างมาก ยิ่งเรื่องการคุมเปลวเพลิงเขายิ่งมีประสบการณ์ ด้วยอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น ซูหมิงจึงถอดเสื้อหนังออก แล้วเปลือยท่อนบนเอาไว้ เขายืนอยู่ข้างหม้อฮวง บางครั้งก็หยิบสมุนไพรขึ้นมาดม บางครั้งก็ใช้มือหักสมุนไพรให้ละเอียดก่อนโยนลงใส่หม้อ

กาลเวลาหมุนเวียนไปโดยไม่รู้ตัว ท้องฟ้าด้านนอกค่อยๆ มืดครึ้ม ในป่าทึบเงียบสงัดลงอย่างช้าๆ แม้แต่เสียงนกยังเบาลงจนไม่อาจสังเกตได้

ดวงจันทร์ลอยขึ้นสูงตามความมืดมิดของท้องฟ้า เพียงแต่ดวงจันทร์ในค่ำคืนนี้กลับผิดแปลกไป แสงจันทร์ส่องเป็นสีแดงชัดเจน เพียงมองไปดูราวดวงจันทร์โลหิตบนท้องฟ้าก็มิปาน

ปรากฏการณ์พิสดารนี้ เหมือนมีกลิ่นอายพิลึกปกคลุมไปทั้งแผ่นดินใหญ่ โดยเฉพาะรอบๆ เผ่าเขาทมิฬก็ยังเป็นเช่นนี้ เสียงนกเงียบหาย แม้แต่เสียงร้องเบาๆ ยังพลันหยุดชะงัก ราวกับไม่กล้าส่งเสียงใดๆ

ในป่าทึบใต้ยอดเขาเพลิงทมิฬ มีเงาแดงขยับแสงผ่าน เงาแดงดังกล่าวคือเจ้าลิงน้อย สีหน้าของมันเคร่งขรึม แววตาดูตื่นตัว บางครั้งก็แหงนหน้าขึ้นมองแสงจันทร์โลหิตแล้วเผยสีหน้าตื่นตระหนก

ขณะทะยานไปเบื้องหน้าเกิดความลังเลครู่หนึ่ง มันในตอนนี้ยังไม่ทราบว่าซูหมิงกลับมา จึงเปลี่ยนเส้นทางจากยอดเขาเพลิงทมิฬเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ในป่าทึบ

ยิ่งท้องฟ้ามืดมิดลง แสงจันทร์กลับยิ่งแดงสดขึ้น ถึงที่สุดพอมองจากที่ไกลๆ ทั่วทั้งเขาทมิฬราวกับเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน

ในช่วงนั้นเอง เสียงร้องเบาๆ หลากเสียงดังขึ้นจากในเขาทมิฬ และเริ่มดังขึ้นตามการหมุนเวียนของเวลา ดังจนออกนอกเขตเขาทมิฬในที่สุด

เสียงร้องคำรามราวกับเคียดแค้นไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อแล่นเข้าสู่โสตประสาททำให้ผู้คนต้องใจสั่น เหมือนดั่งวิญญาณถูกเขย่าขวัญ กระทั่งหากฟังอย่างต่อเนื่อง จะรู้สึกว่าโลหิตในกายพลันเดือนพล่าน อดหวาดกลัวมิได้

เสียงร้องคำรามดังก้องกังวานฟ้าดิน คล้ายดั่งสะท้อนแสงกับจันทร์โลหิตบนท้องฟ้า ทำให้ทั้งเขาทมิฬถูกปกคลุมอยู่ท่ามกลางความลี้ลับพิสดาร

ค่ำคืนนี้ สามเผ่าใกล้เคียงภูผาทมิฬต่างอยู่ในอาการระแวดระวัง ณ เผ่าเขาทมิฬ ชาวบ้านธรรมดาล้วนอยู่ภายใต้การคุ้มกันจากนักรบหมาน

พวกเขารีบกลับเรือนของตนแต่หัวค่ำและเก็บตัวอยู่ในนั้น อีกทั้งนักรบหมานทั้งหมดต่างเฝ้าระวังโดยรอบโดยมีจ้าวเผ่าลงมาบัญชาการด้วยตนเอง

ท่านปู่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของเผ่า มันเป็นแท่นที่สร้างขึ้นจากซุงไม้ใหญ่ ในมือเขาถือไม้เท้ากระดูกสีดำ มองทอดไกล ในแววตาแฝงความวิตก

เขาสัมผัสได้ว่าซูหมิงออกจากเผ่าไป แต่ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะเป็นค่ำคืนจันทร์โลหิตที่จะอุบัติขึ้นในทุกสามปี อีกทั้งดวงจันทร์โลหิตในครั้งนี้ยังปรากฏขึ้นก่อนล่วงหน้าหลายเดือน เหตุการณ์พิลึกเช่นนี้ยิ่งทำให้เขายิ่งตื่นตระหนกมากกว่าเดิม

“ไฟ!” ผ่านไปนาน ท่านปู่พลันกล่าวขึ้น เหล่าชาวเผ่าที่โอบล้อมอยู่ต่างโยนคบเพลิงลงไปใต้ซุงไม้ใหญ่ ทำให้เปลวเพลิงลุกโชติช่วง ท่านปู่ยังอยู่ด้านบนตรงใจกลางทะเลเพลิง ทว่าสีหน้ากลับสงบนิ่ง ปากขยับพึมพำบริกรรมคาถาประหลาด

ไม่เพียงแค่เผ่าเขาทมิฬเท่านั้น ยามนี้อีกฝากหนึ่ง เผ่ามังกรทมิฬก็เกิดเหตุการณ์แบบเดียวกัน ท่านปู่ของเผ่ามังกรทมิฬสวมชุดคลุมตัวใหญ่ เส้นผมยุ่งเหยิง กระทั่งมองไม่ออกว่าเป็นบุรุษหรือสตรี ในมือถือกะโหลกศีรษะสัตว์แปลกที่มีหนึ่งเขางอกออกมา ก่อนชูเหนือหัว เสียงแหลมเสียดแก้วหูพลันดังจากปากของมัน

กลางฝูงชนในเผ่ามังกรทมิฬ มีเด็กสาวใบหน้างดงามหยาดเยิ้มยืนอยู่คนหนึ่ง ยามนี้ใบหน้าของนางขาวซีด แหงนหน้าขึ้นมองดวงจันทร์โลหิตบนท้องฟ้า

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!