ตอนที่ 260 สามวัน
ชายชราผู้สื่อวิญญาณร้องด้วยความตกใจ สีหน้าจากทึ่งกลายเป็นตื่นตะลึง
เขาไม่เคยคิดเลยว่าคนที่เผ่าใหญ่เชมันให้เขามาจัดการจะมี…สัตว์ศักดิ์สิทธิ์เผ่าเชมัน!
ต่อให้เป็นเผ่าเชมันอย่างพวกเขาเองก็ใช่ว่าจะเรียกสัตว์ศักดิ์สิทธิ์กันได้ง่ายๆ ทว่าตอนนี้กลับอยู่ในมือของชาวเผ่าหมาน สำหรับเขาแล้วมันหมือนกับถูกฟ้าผ่า มีเสียงระเบิดดังขึ้นในความคิด นอกจากตะลึงแล้วทุกอย่างก็ขาวโพลนไปหมด
คนที่ตื่นตะลึงเช่นเดียวกันยังมีคู่ดาราผู้หล่อเหลา เวลานี้ทั้งสองคนเปลี่ยนสีหน้าเป็นเหลือเชื่อในพริบตา สีหน้าเช่นนี้พบเห็นได้ยากยิ่งจากชายทั้งสอง
เขาสองคนกับชายชราผู้สื่อวิญญาณถูกส่งมาที่นี่เมื่อสิบห้าปีก่อน เป้าหมายคือรอคนที่จะมาล่าสังหารในเขตนี้ทุกสิบกว่าปี
พอวันนี้ได้พบเทียนเสียจื่อ เดิมทีทุกอย่างราบรื่นดียิ่ง ทว่าช่วงเวลาสำคัญที่สุด ประโยคหนึ่งของเทียนเสียจื่อกลับทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปเหมือนกลับตาลปัตร
‘สัตว์ศักดิ์สิทธิ์นกใหญ่ทองคำ…มิน่าล่ะ เผ่าเชมันของข้าเคยส่งชาวเผ่าไปที่รังของมันหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่เคยได้รับการยอมรับ ที่แท้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์นกใหญ่ทองคำ…มีเจ้าของแล้ว!
ทว่านี่…จะเป็นไปได้อย่างไร! เขาเป็นชาวเผ่าหมาน ไม่ได้ฝึกฝนวิชาเผ่าเชมัน เหตุใดนกใหญ่ทองคำถึงยอมรับ!’ ขณะคู่ดาราสูดหายใจตกตะลึง นกใหญ่ทองคำที่เมื่อครู่ยังอยู่ไกลออกไปกลับบินเข้ามาใกล้ในชั่วพริบตา การมาของมันทำให้เกิดลมพายุคลั่ง ให้ความรู้สึกเหมือนยอดเขามายาไร้รูปจำนวนมากกดทับลงมา
ชาวเผ่าเชมันที่ปิดล้อมซูหมิงกับเทียนเสียจื่อ เมื่อพวกเขาเห็นนกใหญ่ทองคำปรากฏก็ล้วนหมดแรงต่อต้าน ได้แต่ตื่นกลัวท่ามกลางความสับสน มิกล้าลงมือ
“สัตว์ศักดิ์สิทธิ์นกใหญ่ทองคำ!”
“สวรรค์ ไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นนกใหญ่ทองคำ!”
เสียงฮือฮาดังขึ้น ชาวเผ่าเชมันยำเกรงต่อสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เหมือนเผชิญหน้ากับอำนาจสวรรค์ นั่นคือสัตว์ที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ประจำเผ่าเชมันของพวกเขา แล้วจะไปต่อต้านได้อย่างไร
ยามนี้ท่ามกลางลมพายุคลั่งจากนกใหญ่ทองคำ ผู้คนกระเด็นถอยราวใบไม้ปลิวว่อนในอากาศ ถูกลมซัดออกไปไกล เสียงระเบิดดังกังวาน ชาวเผ่าที่ปิดล้อมอยู่หายไปในชั่วพริบตา
ขณะซูหมิงกำลังตกตะลึง เขาเห็นนกใหญ่ทองคำเข้ามาใกล้ ร่างกายใหญ่ยักษ์ของมันมากกว่าหนึ่งพันจั้ง ก่อให้เกิดเป็นแรงต้าน ท้องฟ้าในยามเช้าตรู่พลันมืดลงด้วยถูกร่างของนกใหญ่ทองคำบดบังจนมิด
เทียบกับมันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้คนที่ถูกพายุคลั่งอัดจนกระเด็นหรือตัวซูหมิงเองก็ตาม ทั้งหมดดูเล็กจ้อยจนแทบจะเมินเฉยได้ นกใหญ่ทองคำตัวนี้ใช้วิธีที่โอหังอย่างยิ่งแทรกเข้ามาอยู่ในสายตาของทุกคนตรงนี้
ช่วงที่มันเข้ามาใกล้ นกใหญ่สง่างามตัวนี้เปล่งแสงสีทองทั้งตัวจนดูเหมือนกับรูปปั้นนกใหญ่ทองคำ จึงไม่สามารถมองตรงๆ ได้ โดยเฉพาะดวงตาเย็นชาของมัน ยามกวาดสายตามอง มวลอากาศเกิดเป็นเสียงดังเปรี๊ยะๆ ราวกับทนรับไม่ไหว
ซูหมิงไม่สงสัยเลยว่าความฉลาดของมันมีมากกว่าสัตว์ร้ายทุกตัวที่เขาเคยพบ ต่อให้เป็นหนอนไม้พลองก็ยังด้อยกว่าเล็กน้อยในด้านนี้
ทว่าถึงอย่างไรหนอนไม้พลองก็ยังเยาว์วัย เป็นธรรมดาที่มันไม่อาจเทียบได้กับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์นกใหญ่ทองคำที่มีชื่อเสียงในเผ่าเชมัน
นกใหญ่ทองคำกวาดสายตามองไปรอบๆ ตอนที่มองซูหมิงกลับหยุดชะงักเล็กน้อย ประกายแสงสีทองในแววตาพลันเด่นชัด ทำให้ซูหมิงตื่นตะลึง เกิดความรู้สึกเหมือนถูกมองทะลุทั้งในและนอก
หากเปลี่ยนเป็นชาวเผ่าหมานธรรมดา ยามนี้คงเสียสติที่ใช้คิดพิจารณาไปแล้ว แต่นอกจากซูหมิงจะฝึกฝนการสร้างของเผ่าหมาน เขายังมีวิธีการหลอมปราณกล่อมเกลาจิตสัมผัสของต่างแดน ความแข็งแกร่งของจิตสัมผัสเขาอาจไม่ค่อยเท่าไรเมื่ออยู่ต่างแดน ทว่าในคนรุ่นเดียวกันของเผ่าหมาน สิ่งนี้กลับเป็นพรสวรรค์โดยกำเนิด
ยามนี้จิตสัมผัสในสมองเขา แม้ว่ายังไม่อาจต่อต้านสายตาของนกใหญ่ทองคำได้ แต่กลับทำให้ซูหมิงสัมผัสได้ถึงสาเหตุที่นกใหญ่ทองคำเพ่งมองเขา
ซูหมิงสังเกตเห็นว่านกใหญ่ทองคำมิได้มองตัวเขา แต่มองระฆังเขาหานในร่างกายเขา!
อาจกล่าวได้ว่าในระฆังเขาหานมีสิ่งหนึ่งที่นกใหญ่ทองคำสัมผัสได้จึงอยากมองให้ชัด!
แทบจะเป็นช่วงที่นกใหญ่ทองคำเพ่งมองมา หนอนงูลักษณะเหมือนไม้พลองที่กำลังนอนคว่ำรักษาตัวอย่างช้าๆ ในระฆังเขาหานพลันหดตัวลง แหงนหน้าขึ้นมองในชั่วพริบตา ดวงตามืดสลัวของมันพลันเป็นประกายดุร้ายอีกครั้ง
ประกายแสงนี้ราวกับสะท้อนกลับ ดูเหมือนเด่นชัด ทว่าความจริงแล้วกระจายเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นตรงส่วนลึกในประกายแสงกลับเผยให้เห็นความหยิ่งยโสของมัน
ความหยิ่งยโสเช่นนี้คล้ายอยู่ในสายเลือด อยู่ในจิตวิญญาณของมัน สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่นจนถึงปัจจุบันก็ยังคงอยู่ ไม่มีวันถูกลบเลือน
ความหยิ่งยโสที่ซ่อนอยู่ในความดุร้าย เหมือนกับว่าหากตัดเรื่องความต่างของพลังออกไป นกใหญ่ทองคำกับมันก็ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน เพราะความหยิ่งยโสของมันสะท้อนความบ้าอำนาจและพลังที่ตนคิดว่าแข็งแกร่งที่สุด!
ซูหมิงสังเกตเห็นพลังเช่นนี้ จิตใจเขาก็สั่นไหว เห็นนัยน์ตานกใหญ่ทองคำเป็นประกายสั่นไหวในชั่วพริบตา ในแววตาของมัน ซูหมิงเหมือนเห็นความลังเล และเห็นความยำเกรงที่ซ่อนอยู่ใต้ความลังเลนั้น
ทันใดนั้น ซูหมิงพลันรู้สึกว่าหนอนไม้พลองเหมือนกับลูกพยัคฆ์ แม้ยังไม่เติบโตและบาดเจ็บ ทว่าต่อให้พบกับหมาป่าเดียวดาย พยัคฆ์ตัวน้อยก็ยังคงแหงนหน้าปลดปล่อยพลังที่เป็นเอกลักษณ์ของมัน
ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตา เมื่อนกใหญ่ทองคำเบนสายตาไปทางอื่น มันก็หายไปอย่างรวดเร็ว ผู้คนโดยรอบต่อให้เป็นเทียนเสียจื่อก็ยังไม่สังเกตเห็น
ถึงอย่างไรสายตาของนกใหญ่ทองคำก็จ้องซูหมิงเพียงชั่วครู่เท่านั้น ในความรู้สึกของซูหมิงเหมือนนาน ทว่าความจริงแล้วเป็นเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น
เมื่อนกใหญ่ทองคำกวาดสายตามองไปรอบๆ จนครบ ลมพายุคลั่งก่อตัวขึ้นกลางฟ้าดิน นกใหญ่ทองคำเงยหน้าขึ้นแล้วอ้าปากแผดเสียงคำรามขึ้นฟ้า
เสียงคำรามที่ว่าเดิมทียังไม่ดังสนั่นหูมากนัก ทว่าพริบตาเดียวก็ทะยานถึงขีดสุด ก่อเป็นคลื่นเสียงที่ไม่อาจบรรยายแผ่กระจายไปรอบทิศ
เมื่อได้ยินเสียงคำราม ชาวเผ่าเชมันที่ถูกพายุคลั่งม้วนกระเด็นเหล่านั้นร้องโหยหวนออกมา ขณะโลหิตไหลจากทวารทั้งเจ็ด ร่างกายพลันระเบิดกระจุยเป็นเศษเนื้อ
ส่วนสัตว์ร้ายที่พวกเขาขี่อยู่ตัวสั่นตั้งแต่นกใหญ่ทองคำเข้ามาใกล้แล้ว ยามนี้พวกมันนอนหมอบนิ่งอยู่กลางอากาศ
คลื่นเสียงแฝงไว้ด้วยพลังที่ทำให้เกิดเสียงโครมดังขึ้นในความคิดซูหมิง ทำให้จิตสัมผัสเขาขาวโพลนในชั่วขณะนั้น ตอนที่ได้สติกลับมา เขาเห็นชายชราผู้สื่อวิญญาณบนพื้นร้องโหยหวน ศีรษะระเบิดกระจุยเป็นเศษเลือดเนื้อ ทั้งตัวอาบด้วยโลหิตสีดำ ก่อนล้มลงด้านข้าง
นอกจากชาวเผ่าเชมันโดยรอบที่ร้องโหยหวนและตายตกแล้ว ซูหมิงยังเห็นคู่ดาราสองคนมีโลหิตไหลจากทวารทั้งเจ็ด สีหน้าย่ำแย่ กำลังห้อเหยียดหนีด้วยความตื่นกลัว ทว่าระหว่างพวกเขากำลังหลบหนี กลับมีคนหนึ่งไม่อาจต้านทานเสียงของนกใหญ่ทองคำได้ เขากระอักโลหิตขณะตัวสั่นเทา ยามเดินหน้าร่างกายแตกเป็นเสี่ยงๆ เดินไปไม่ถึงสิบจั้งก็สลายเป็นเศษเนื้อ เหลือเพียงมือขวาที่คนรักของเขายังจับอยู่
บุรุษรูปงามอีกคนมองมือขวาในมือของตัวเองแล้วแผดเสียงร้องด้วยความสิ้นหวัง เขาไม่หันกลับไปมอง แต่ห้อเหยียดหนีอย่างบ้าคลั่ง บนตัวเขาอาบไปด้วยหมอกโลหิตจำนวนมาก ระหว่างนั้นใบหน้าหล่อเหลาเริ่มเน่าเปื่อย พริบตาเดียวจากใบหน้าหล่อเหลาก็กลายเป็นอัปลักษณ์น่าสะพรึง ทว่าเขากลับยังมีชีวิตรอด หนีหายลับไปจากสายตาซูหมิง
ขณะเดียวกัน ภายใต้เสียงคำรามของนกใหญ่ทองคำ เค้าโครงเงาคนยักษ์ที่รวมขึ้นจากวิญญาณอาฆาตรอบตัวเทียนเสียจื่อระเบิดกระจายกลับไปเป็นใบหน้าเคียดแค้น แล้วค่อยๆ เลือนหาย
เทียนเสียจื่อลืมตาขึ้น
“ศิษย์สี่เคยสังหารคนรึไม่!” เทียนเสียจื่อสูดดมกลิ่นคาวเลือดโดยรอบ ก่อนกล่าวอย่างสงบนิ่ง
นี่เป็นครั้งแรกที่ซูหมิงเห็นการสังหารครั้งใหญ่เช่นนี้ เห็นเทียนเสียจื่อต่อสู้ และเห็นความแข็งแกร่งของนกใหญ่ทองคำ
“เคย…” ซูหมิงเงียบไปชั่วครู่แล้วพยักหน้า
“ตามไป อาจารย์จะรอเจ้าอยู่ตรงนี้” เทียนเสียจื่อมองซูหมิงแวบหนึ่ง แล้วเดินขึ้นไปบนหลังของนกใหญ่ทองคำอย่างสงบ นกใหญ่ทองคำหลับตา ปล่อยให้เทียนเสียจื่อขึ้นมานั่งบนหลังของมัน
“เมื่อคู่ดาราร่วมมือกันจะมีพลังเทียบเท่ากับขั้นวิญญาณหมานของเผ่าหมาน ตอนนี้ตายไปหนึ่ง เหลืออีกหนึ่ง อีกทั้งยังบาดเจ็บ ขั้นพลังน่าจะอยู่ประมาณเซ่นไหว้กระดูก
สำหรับเผ่าเชมันแล้ว คู่ดารามิได้พบเห็นกันง่ายๆ การจะหามาหนึ่งคู่เป็นเรื่องยากยิ่ง อีกอย่างเขาก็น่าจะเคลื่อนไหวเร็วมาก เจ้าเสียเวลาขนาดนี้แล้ว ถ้าจะตามให้ทันก็คงต้องเข้าไปในส่วนลึกของเผ่าเชมัน ศิษย์สี่ เจ้ากล้ารึไม่?”
เทียนเสียจื่อกล่าวเนิบช้า
ซูหมิงก้มหน้า แววตาเป็นประกาย ไม่กล่าวคำใด แต่หมุนตัวกลายเป็นสายรุ้งยาวตามคนที่กำลังหลบหนีไป
“อาจารย์จะรอเจ้าสามวัน สามวันหลังจากนี้หากเจ้ายังไม่กลับก็ไม่ต้องกลับมาแล้ว”
เสียงของเทียนเสียจื่อลอยมาตามลมจนเข้าถึงหูซูหมิง ซูหมิงกลับไม่ชะงักแม้แต่น้อย ก่อนหายลับไปจากที่ไกลๆ ในชั่วพริบตา
เทียนเสียจื่อค่อยๆ หลับตา นั่งรออยู่ตรงนั้นอย่างสงบนิ่ง
ดินแดนเผ่าเชมันเวิ้งว้าง เสียงสายลมเหมือนมีคนสะอื้นไห้อย่างรวดร้าว เสียงนั้นพัดผ่านแผ่นดินใหญ่ พัดผ่านอากาศ มอบความรู้สึกไม่คุ้นชินและความอึดอัดใจให้
ซูหมิงห้อเหยียดอยู่บนน่านฟ้าเผ่าเชมัน เขาบินมาได้ครึ่งชั่วยามกลับขมวดคิ้ว ก้มหน้าลงมองแผ่นดินด้านล่างแวบหนึ่ง บริเวณนี้เป็นป่าทึบเชื่อมติดกันไม่เห็นปลายขอบเขต
นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกายวาววับ เขาดิ่งตัวลงพื้น ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ลงมาเหยียบอยู่บนพื้นดินเลน หลับตาลงแผ่ขยายจิตสัมผัส ผ่านไปอีกพักหนึ่งจึงลืมตาขึ้น แล้วเคลื่อนตัวหายลับไป เงาร่างของเขาล่องลอยเหมือนกับเส้นควัน ไม่นานก็มาปรากฏตัวอยู่ข้างต้นไม้แก่ต้นหนึ่ง นั่งยองลงคลำดินเปียกชื้นบนพื้น ตรงนั้นมีหยดโลหิตอยู่
“กลัวว่าจะถูกล่าสังหารเลยไม่ไปทางอากาศ แต่ใช้ป่าทึบปกปิด ใช้ความคุ้นชินในภูมิประเทศอำพรางตัว ดังนั้นเวลาในการรักษาอาการบาดเจ็บ…” ซูหมิงพึมพำเบาๆ ก่อนยิ้มมุมปาก
ป่าทึบเป็นบ้านของเขา!



