ตอนที่ 265 ล่าสังหาร
ซูหมิงอ่านขั้นพลังของชายชราผู้นั้นไม่ออก ทว่าบุคคลนี้มอบความรู้สึกถึงอันตรายอย่างยิ่งให้เขา โดยเฉพาะการวาดที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา บุคคลนี้ยังไม่ได้ลงมือจริงๆ เลย แต่ใช้วิชาที่ซูหมิงไม่เข้าใจปล่อยหมอกก่อตัวขึ้นเป็นกิ้งก่ายักษ์
เป็นเพียงการใช้ลิ้นของกิ้งก่าเข้าปะทะเท่านั้น แม้บอกว่าลิ้นของกิ้งก่าแตกกระจุย ทว่ากลับทำให้การโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของซูหมิงสังหารได้เพียงคนเดียว!
ที่สำคัญกว่าคือซูหมิงมีความรู้สึกแปลก ราวกับว่าการวาดของตนเมื่อครู่ สาเหตุที่อีกฝ่ายใช้เพียงลิ้นของกิ้งก่าจากหมอกควันเข้าปะทะ นอกจากจะลดทอนอานุภาพพลังแล้วยังมีความหมายแฝงอยู่
ความรู้สึกนี้เด่นชัดยิ่งนัก เขารู้สึกว่าขณะลายเส้นปะทะกับอีกฝ่าย เหมือนมีดวงตาไร้รูปจำนวนมากปรากฏอยู่โดยรอบ กำลังจ้องกิริยาการวาดทุกอย่างของเขาเขม็ง
ราวกับ…กำลังศึกษา!
ความรู้สึกต่างๆ กลายเป็นภัยอันตราย ทำให้ซูหมิงหลบหนีไปอย่างไม่ลังเล พริบตาเดียวก็ห้อเหยียดหายไปในป่าทึบ
เขารู้ดีว่าหากฝืนลงมือตรงนั้น ต่อให้ใช้กลวิธีทุกอย่างที่มีเพื่อยื้อชายชราเอาไว้ ก็ยังมีชาวเผ่าเชมันคนอื่นๆ ฉะนั้นศึกนี้จึงรอดยาก
เมื่อเป็นเช่นนี้ สู้ใช้โอกาสหลบหนีและล่อให้ตามมาจะดีกว่า บางทีอาจมีโอกาสโจมตีสวนกลับ
หลังจากซูหมิงไป ทั้งหกคนที่ยังไม่ตายบนท้องฟ้ามองไปทางจ้าวเชมันที่เป็นผู้นำสูงสุดในชนเผ่าพวกเขา
ชายชรามีสีหน้าทะมึน ค่อยๆ หลับตาลง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงลืมตาขึ้น ช่วงที่เขาลืมตา กิ้งก่ายักษ์ลิ้นขาดที่ลอยอยู่ข้างกายเขาพลันเงยหน้าแผดเสียงร้อง
ท่ามกลางเสียงร้องของมัน โดยรอบปรากฏเส้นควันจำนวนมาก ควันส่วนใหญ่มาจากจุดที่ลิ้นของมันปะทะกับลายเส้นของซูหมิง ควันรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว และหลั่งทะลักเข้าไปในตัวกิ้งก่ายักษ์ ไม่นานกิ้งก่าก็มีลิ้นกลับมาดังเดิม!
ตอนที่ลิ้นมันปรากฏ กิ้งก่าแลบลิ้นเบาๆ แล้ววาดลักษณะเส้นโค้งของสายฟ้ากลางอากาศ รูปร่างและวงโคจรของเส้นโค้ง หากซูหมิงอยู่ตรงนี้จะต้องมองออกว่ามันคล้ายลายเส้นของเขามาก ทว่าก็แค่คล้ายเท่านั้น
“ไม่คิดเลย…ชาวเผ่าหมานที่บุกเข้ามาในแผ่นดินเชมันของเราจะเข้าใจถึงขนาดนี้ การโจมตีเมื่อครู่ต่างจากของเผ่าหมานคนอื่นๆ ที่ข้าเคยพบ…หมานคนนี้ข้าจะจับมันด้วยตัวเอง ข้าต้องการเป็นๆ จะหลอมเป็นหุ่นเชมันเพื่อรับใช้วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของชนเผ่าเรา!” ขณะชายชรากล่าว ในดวงตาทั้งสองเขาปรากฏลูกตาคู่หนึ่งที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ หากมองแวบแรกจะทำให้เกิดความรู้สึกตาลายและไม่กล้าสบตา
เขายิ้มมุมปากชั่วร้าย คล้ายการตามล่าครั้งนี้ทำให้เขาตื่นเต้นยิ่งนัก ก่อนเคลื่อนตัววูบผ่านไปตามทิศทางหลบหนีของซูหมิง
คนอื่นๆ มองสลับกันไปมา ท่ามกลางความเงียบก็พบว่าในดวงตาของแต่ละคนมีความเคารพยำเกรงต่อเหตุการณ์เมื่อครู่ ผ่านไปพักใหญ่พวกเขาจึงกลายเป็นสายรุ้ง ประคองคนบาดเจ็บบินกลับชนเผ่าตนอย่างเร็ว
ภายในป่าทึบ ซูหมิงหายใจกระชั้นถี่ ตัวเขาเหมือนกับเงามายาสายหนึ่ง ห้อวิ่งอยู่ในป่าทึบดินเลนที่เต็มไปด้วยใบไม้เน่าเหม็น บ้างกระโดดขึ้น ทะยานผ่านต้นไม้แต่ละต้น ตอนที่ลงมาสองเท้าแทบไม่ติดพื้น เหมือนกับบินใกล้ผืนดิน ความเร็วของเขาแทบไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ซูหมิงคุ้นชินกับป่าทึบก็จริง ทว่ายามนี้ระหว่างกำลังห้อเหยียด ความรู้สึกระทึกรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เขาไม่ต้องแผ่ขยายจิตสัมผัสก็รู้ว่าด้านหลังต้องมีคนตามมาอย่างแน่นอน
‘ไม่รู้ว่าตามมากี่คน…’ นัยน์ตาซูหมิงขยับประกาย ในมือปรากฏเหรียญหินสีทองเหรียญหนึ่ง เขาลังเลครู่หนึ่ง ก่อนเปลี่ยนเป็นเหรียญหินสีขาว เมื่อกำเอาไว้ในมือแล้วเหรียญหินก็คล้ำลงอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวกลายเป็นเถ้าถ่านปลิวหายไป ทว่าจิตสัมผัสของซูหมิงขยายขึ้นหลายเท่า และแผ่ขยายไปด้านหลังพร้อมกับความเจ็บปวดในสมองทันที
ร้อยจั้ง พันจั้ง หลายพันจั้ง…..สอดส่องทุกอย่าง
หนึ่งก้านธูปต่อมา ซูหมิงหรี่ตาลง หลังจากเขาแผ่ขยายจิตสัมผัสจนสุดแล้วก็ต้องใช้เหรียญหินอีกหลายเหรียญ ถึงจะเห็นเงาทะมึนทึบด้านหลังไกลๆ
“มาคนเดียว…” ซูหมิงขนลุกทั้งตัว สีหน้าตื่นตัว เขาพบว่าคนที่ไล่ตามหลังมาคือชายชราคนนั้น อีกทั้งชายชรายังชำนาญป่านี้มากกว่าตน นี่ยังไม่เท่าไร สิ่งที่ทำให้จิตใจซูหมิงดิ่งลงอย่างแท้จริงมิใช่เพียงแค่ความชำนาญป่าของชายชรา แต่ยังมีทักษะการสะกดรอยที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง
ซูหมิงห้อเหยียดตลอดทาง สร้างร่องรอยที่รบกวนการสะกดรอยของอีกฝ่ายไว้หลายจุด แต่อีกฝ่ายกลับไม่เปลี่ยนทิศทางแม้แต่น้อย พุ่งตรงมาทางเขาตลอด ในจุดนี้เขารู้สึกถึงมันได้อย่างชัดเจนท่ามกลางวิกฤติอันตรายที่เด่นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งหลังจากขยายจิตสัมผัสไปจนสุดก็ยังเห็นได้ชัดด้วย
‘ขั้นพลังของบุคคลนี้จะต้องเทียบเท่าขั้นเซ่นไหว้กระดูกแน่ อีกทั้งพลังของเขายังมิใช่เซ่นไหว้กระดูกธรรมดา…เป็นไปได้สูงมากที่จะเทียบเท่าเซ่นไหว้กระดูกตอนปลาย! ทว่าข้าแผ่ขยายจิตสัมผัสไปเมื่อครู่เขากลับไม่มีท่าทีสังเกตเห็นแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือว่าเสแสร้ง…’
ซูหมิงยังไม่ทะลวงถึงขั้นเซ่นไหว้กระดูก จึงวิเคราะห์ได้ไม่แม่นยำนัก ทำได้เพียงคาดเดาเท่านั้น การคาดเดานี้แม้เขาจะเตรียมใจมาก่อนแล้วก็ยังคงตึงเครียด
ห่างจากซูหมิงหลายพันจั้ง ชายชราซูบผอมยิ้มมุมปากชั่วร้าย ก้าวเดินอยู่ในป่าทึบ เขาอาศัยอยู่ในป่ามาตั้งแต่เยาว์วัย ต่อให้รับตำแหน่งจ้าวเชมันของชนเผ่าแล้ว ในชนเผ่าเขาก็มีน้อยคนนักที่จะชำนาญป่านี้มากกว่าเขา
การล่าสัตว์ป่าจากร่องรอยในป่าทึบเป็นกิจกรรมที่เขาชอบมากที่สุด ทุกๆ ช่วงหลายวัน เขาจะนำชาวเผ่าออกล่าหนึ่งครั้งด้วยตัวเอง
ตอนนี้ตามจับเหยื่อเพียงลำพัง สำหรับเขาแล้วมิได้ยากเย็นเลย
“ดูท่าหมานน้อยคนนี้จะชำนาญป่าเช่นกัน วางร่องรอยเอาไว้หลายจุด ยอดเยี่ยมจริงๆ ทว่า…..ยังอ่อนหัดเกินไป” ชายชราเลียริมฝีปาก เดินหน้าหนึ่งก้าวก็วูบผ่านไปหลายร้อยจั้ง
“วิ่งสิ วิ่งให้เร็วอีก…” รอยยิ้มชายชราเหี้ยมเกรียมมากขึ้น เพียงแต่ว่าเขาตรวจไม่พบจิตสัมผัสที่กวาดผ่านของซูหมิง
ซูหมิงอยู่ในป่าทึบ ใบหน้าซีดขาว ตรงหน้าอกมีโลหิตซึม การหลบหนีติดต่อกันแบบนี้ทำให้เขาเหนื่อยล้า กลิ่นอายชั่วร้ายในดวงตาทั้งสองข้างเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
เขาหยิบเม็ดโอสถขึ้นมาหลายครั้ง แต่แววตาเขาขยับประกาย อดกลั้นไม่ยอมใช้มัน
“ยังไม่ถึงเวลา…..เดิมทีข้าอ่อนแอกว่าอีกฝ่ายอยู่แล้ว ตอนนี้รวมกับอาการบาดเจ็บอีก ในความรู้สึกของชายชราคงจะอ่อนแอยิ่งกว่า” ซูหมิงพึมพำเบาๆ ความเร็วช้าลงเรื่อยๆ
จากความเร็วที่ช้าลง ในจิตสัมผัสของซูหมิง เขาสังเกตเห็นทันทีว่าชายชราที่ตามมาเร็วขึ้นไม่น้อย ระยะห่างระหว่างสองคนกำลังบีบเข้ามาอย่างรวดเร็ว
‘หากข้าพลันหันหลังกลับ อีกฝ่ายจะต้องคิดว่าข้าจะสู้สุดชีวิตแน่ ทว่ายิ่งข้าอ่อนแอเท่าไร อีกฝ่ายก็จะประมาทมากเท่านั้น!’ พลังชั่วร้ายในดวงตาเคลื่อนไหว เขาพลันหยุดชะงักกลับทิศทาง ไม่หนีอีก แต่ห้อเหยียดไปทางชายชราที่ตามมาแทน
แม้ทั้งสองคนไม่เห็นตัวกันในป่าทึบ ทว่าความรู้สึกถึงพลังยังมีอยู่ ช่วงที่ซูหมิงหันกลับห้อทะยานเข้ามา ชายชราพลันสัมผัสได้ มุมปากเผยรอยยิ้มเหี้ยมโหด เร่งความเร็วยิ่งขึ้นอีก
‘คิดจะสู้สุดชีวิตรึ เช่นนั้นข้าจะสนับสนุนเจ้าเต็มที่!’ ขณะชายชราห้อเหยียด ระยะห่างจากซูหมิงจากหลายพันจั้งพลันลดลง…
จนกระทั่งระยะห่างของทั้งสองคนเหลือเพียงหลายร้อยจั้ง โดยมีต้นไม้แต่ละต้นและใบไม้จำนวนมากในป่าทึบที่แสงตะวันเข้าไม่ถึงเป็นตัวกั้น ซูหมิงกระโดดข้ามต้นไม้ใหญ่ พลังชั่วร้ายในดวงตาทั้งสองข้างขยับประกาย ช่วงที่ดิ่งตัวลงไป เขายกมือขวาพลันตบลงไปทางพื้น
การตบครั้งนี้ปรากฏหนังสัตว์ผืนหนึ่งระหว่างพื้นดินกับมือขวาของซูหมิง
หนังสัตว์พลันแผ่ขยายออกกลายเป็นทุ่งหญ้าสีแดงในระยะสิบกว่าจั้ง ในสายตาซูหมิงทุ่งหญ้านี้เหมือนสีแดง ทว่าในสายตาคนนอกกลับเหมือนป่าทึบโดยรอบไม่ผิดเพี้ยน
ขณะเดียวกับที่ทุ่งหญ้าปรากฏ ซูหมิงหยุดชะงักแล้วนั่งขัดสมาธิลง หยิบเม็ดโอสถรักษาหลายเม็ดขึ้นมากินอย่างรวดเร็ว เม็ดโอสถเหล่านั้นกลายเป็นกระแสธารอุ่นบำรุงในร่างกาย
เมื่อกินเม็ดโอสถแล้ว นัยน์ตาซูหมิงฉายประกายเย็นชา เขายกมือขวาขึ้น ในมือปรากฏเกล็ดปลาสีขาว
เจ้าสิ่งนี้อาจารย์อาไป๋มอบให้เขา ภายในแฝงไว้ด้วยพลังโจมตีของอาจารย์อา นี่คืออาวุธสังหารชิ้นสุดท้ายของซูหมิง
ตรากระบี่สีดำตรงระหว่างคิ้วขยับแสง รอบตัวเขามีสายฟ้าไหลเวียน บนตัวมีหมอกดำโอบล้อมกลายเป็นเกราะมายา ขณะเดียวกันระฆังเขาหานในร่างกายเขาก็ขยับไปมา!
อีกทั้งข้างกายซูหมิง ยังมีโอสถชิงวิญญาณที่เขานำออกมาลอยอยู่กลางอากาศ เปล่งแสงพิลึกราวกับมีแรงดูดไร้ที่สิ้นสุด ตัวมันเหมือนอุโมงค์มายา ดูดทุกสิ่งรวมถึงกลิ่นอายพลังของซูหมิงเข้าไป
บนท้องฟ้ามีเมฆดำปกคลุม ยามโพล้เพล้มาเยือนแล้ว มีดวงจันทร์รางๆ กับตะวันยามอัสดงเกิดขึ้นพร้อมกัน แสงสว่างสาดส่องไม่มาก ทว่าก็ยังยากจะลอดผ่านใบไม้ป่าทึบเข้ามา แต่ถึงกระนั้นในสายตาซูหมิง นอกจากพลังชั่วร้ายกับความสุขุมแล้ว ยังมีดวงจันทร์ที่เหมือนกำลังลุกโชนเพิ่มเข้ามาด้วย
นัยน์ตาซูหมิงฉายแววเย็นเยือก เขาหยิบเหรียญหินสีทองที่เทียนหลันเมิ่งให้เขาขึ้นมาอีกครั้งแล้วกำมันเอาไว้ในมือซ้าย พลังวิญญาณมหาศาลหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกาย เคลื่อนไปตามเส้นลมปราณที่เพิ่งเปิด ขณะโคจรก็แปรเปลี่ยนเป็นจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งของซูหมิง กักเก็บไว้เตรียมพร้อม!
ลมหายใจซูหมิงค่อยๆ กลับเป็นปกติ จนท้ายที่สุดแทบจะไม่ได้ยินอะไรเลย แววตาของเขาสุขุมอย่างยิ่ง พลังชั่วร้ายสะสมอยู่ในดวงตาขวา ราวกับกำลังรอช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด
ทุ่งหญ้าสีแดงข้างใต้ซูหมิงทำให้กลิ่นอายพลังเขาหายไปในชั่วพริบตา
ชายชราจ้าวเชมันที่กำลังตรงเข้ามาพลันมีสีหน้าตะลึงงัน เพียงแต่ว่าระยะห่างระหว่างเขากับซูหมิง ยามนี้ถึงสองร้อยจั้งแล้ว ช่วงที่ชายชราตะลึงงัน จิตสัมผัสมหาศาลพร้อมกับกระบี่น่าสะพรึงพลันเข้ามาตรงหน้าเขา มันแฝงไว้ด้วยจิตสังหารที่สะท้อนจากความสุขุมและพลังสำหรับการปลิดชีพ