ตอนที่ 325 ฝึกฝนร่างกายใหม่
ชาวเผ่าเชมันผู้นี้เห็นอะไรไม่มีใครรู้ พวกเขาหายตัวไปตรงชายแดนอรุณใต้ในคืนนั้น พบเพียงของวิเศษชำรุดหลายชิ้นบนแผ่นดินห่างไปหลายร้อยลี้ นอกจากนี้แล้วไม่มีเบาะแสอะไรอีก
ทั้งหมดแปดคนหายตัวไปสิ้น
กระทั่งในคืนที่พวกเขาหายตัวไป ภายในชนเผ่าเชมันห่างจากทะเลมรณะไปไม่ไกลนักยังไม่มีใครได้ยินเสียงอะไร แม้แต่คลื่นพลังการต่อสู้ยังไม่พบแม้แต่น้อย
ราวกับว่าชาวเผ่าเชมันเหล่านี้ถูกความว่างเปล่ากลืนกิน
ณ แผ่นดินเชมัน เมื่อหลายเดือนก่อนเริ่มถูกความกลัวเข้าครอบงำ ความกลัวที่ว่าตอนนี้ยังไม่หายไป กลับรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แผ่กระจายไกลออกไป ทำให้ชนเผ่าเชมันที่ติดกับทะเลมรณะจำนวนมากเริ่มอพยพ
ที่ตรงนี้อยู่ไม่ได้แล้ว
บนแผ่นดินเผ่าเชมันจะปรากฏสายรุ้งวิบวับลากยาวเป็นบางครั้ง ในสายรุ้งนั้นเป็นสัตว์หัวมังกร ทว่าตัวเป็นม้า สัตว์ตัวนี้ไม่ใหญ่นัก แม้บอกว่ามีขนาดเพียงหลายสิบจั้ง ทว่าความดุร้ายที่แผ่จากจากในตัวมันกลับทำให้ผู้เข้าใกล้ต้องหวาดกลัว
จุดเด่นที่เห็นชัดที่สุดของสัตว์ตัวนี้คือใต้เท้าทั้งสี่จะมีเปลวเพลิงสีฟ้าลุกโชติช่วง ท้องฟ้าที่สัตว์ร้ายตัวนี้วิ่งผ่าน ตอนสายรุ้งจากตัวมันหายไป จะทิ้งรอยเท้าเพลิงไว้ตลอดทางก่อนค่อยๆ เลือนหาย
เพียงแต่ว่าเมื่อคนเผ่าเชมันเห็นสัตว์ตัวนี้ ส่วนใหญ่จะมีสีหน้าศรัทธา สองมือกอดอกโค้งตัวคำนับ กระทั่งมีหลายคนคุกเข่าลงแสดงความเคารพ
สัตว์ตัวนี้มีชื่อเฉพาะอยู่นั่นคือม้าเชมัน ทั้งแผ่นดินเผ่าเชมันมีอยู่เพียงที่วิหารเทพเชมันเท่านั้น
ทว่าช่วงหลายเดือนมานี้ ม้าเชมันเช่นนี้เริ่มปรากฏตัวมากขึ้นบนน่านฟ้าเผ่าเชมัน ภายในสายรุ้งลากยาวเหล่านั้นมีสัตว์ร้ายแบบนี้มากกว่าหลายร้อยตัว พวกมันมุ่งหน้าไปยังมุมต่างๆ ของแผ่นดินเชมันเพื่อส่งข่าวและแยกกันไปทำภารกิจของตน
หลังจากข่าวลือทะเลมรณะแพร่งพราย ม้าเชมันเคลื่อนไหวส่งสาร ทั้งแผ่นดินเผ่าเชมันก็เริ่มมีแผนอพยพ
ภัยพิบัติกำลังมาเยือน!
ตรงจุดที่ใกล้กำแพงหมอกนภา ความจริงภัยพิบัติมาเยือนแล้ว เสียงเข่นฆ่าดังสะเทือนนภา ท้องฟ้ามืดครึ้ม แผ่นดินส่งกลิ่นคาวเลือดหลังจากเลือดสดเปื้อนดิน
สงครามเริ่มต้นขึ้นอย่างรวดเร็วและกะทันหัน โดยที่ชาวเผ่าหมานยังมิได้เตรียมพร้อม บนกำแพงหมอกนภายืดยาวหลายจุด โดยเฉพาะที่เมืองหมอกนภา ยามนี้มีเสียงเข่นฆ่าสังหารกึกก้อง
ด้านหลังกำแพงหมอกนภาเป็นแผ่นดินเผ่าหมาน บนท้องฟ้ากว้างใหญ่ใสสะอาดประหนึ่งผิวน้ำ ชั้นเมฆแผ่กระจายคล้ายเกล็ดปลา ราวกับมีลางบอกเหตุ กลางท้องฟ้ามีกระบี่ยักษ์หมื่นจั้งกำลังทะลวงอากาศด้วยความเร็วสูง เกิดเป็นเสียงลากยาวน่าสะพรึงขณะมุ่งหน้าตรงไปทางเมืองหมอกนภา เทียบกับความตึงเครียดและหวาดกลัวของแดนเชมันแล้ว แผ่นดินเผ่าหมานถือว่าสงบสุข
ต่อให้ตอนนี้เผชิญหน้ากับมหาสงครามหนึ่งร้อยปี เผ่าหมานจำนวนมากก็ล้วนเคยชินกับการต่อสู้แบบนี้แล้ว จึงไม่ได้ต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายจริงๆ แต่สู้เพื่อฝึกฝน
พวกเขาเชื่อว่ามีกำแพงหมอกนภาอยู่ เผ่าจะเชมันจะไม่มีทางเข้ามาได้
พวกเขาเชื่อว่าสงครามจะยุติลงในอีกหลายปีหลังจากนี้ เมื่อสงครามสิ้นสุด พวกเขาจะกลับไปใช้ชีวิตอยู่บนแผ่นดินบ้านเกิดของตนต่อไป
รวมถึงคนจำนวนมากบนกระบี่ยักษ์ส่งเสียงกึกก้องที่กำลังทะลวงผ่านท้องฟ้ายามนี้ ก็ล้วนคิดแบบนี้เช่นเดียวกัน นี่คือการฝึกฝน เป็นสงครามที่สร้างผลงานโดดเด่นได้
“ฝึกฝนร่างกาย มิใช่แบบที่เจ้าคิด ต่อให้เจ้าแบกน้ำหนักมากกว่านี้ นอกจากจะทำให้ตัวเองเบาขึ้นอย่างที่ต้องการแล้วก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ อีก!” บนปลายกระบี่ยักษ์ ซูหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิ ใบหน้าซีดขาว กัดฟันยืนหยัดอยู่ ตรงที่เขาอยู่มีพายุกระทบใบหน้า ถาโถมใส่แทบทุกจุดของร่างกาย ทำให้เลือดเนื้อเขาสั่นไหว กระทั่งการโคจรโลหิตในร่างกายยังเหมือนเจอแรงต้านหนักหน่วง หัวใจเหมือนจะหยุดเต้น
ด้านหลังซูหมิง ชายชราแซ่จิ่งนั่งอย่างสงบนิ่งพร้อมกล่าวช้าๆ
“ทว่านกบนท้องฟ้าตัวเบา ฉะนั้นจึงใช้ความเร็วได้ไม่จำกัด นี่มิใช่ผลจากการฝึกรับน้ำหนักของข้าหรอกรึ!” ซูหมิงปากสั่น หายใจกระชั้นถี่ ทว่ากัดฟันกล่าวออกไป
“ความคิดน่าหัวร่อ เจ้าเห็นแต่นกบินรึ? เช่นนั้นเจ้าเคยเห็นสัตว์ร้ายตัวยักษ์ตอนมันบินบนท้องฟ้าหรือไม่ ความเร็วของมันกระทั่งนักรบหมานระดับข้ายังตามไม่ทัน คิดว่าพวกมันตัวเบาอย่างนั้นรึ?” ชายชราแซ่จิ่งยิ้มเยาะกล่าว
ซูหมิงเงียบงัน เถียงไม่ออกไปพักหนึ่ง ในความคิดเขาผุดภาพนกใหญ่ทองคำตัวนั้น ร่างกายอันใหญ่ยักษ์จะต้องหนักเป็นแน่ แต่มันกลับรวดเร็วจนน่าอัศจรรย์
“การแบกรับน้ำหนักมีทั้งถูกและไม่ถูก จะเรียกมันว่าก้าวแรกก็ได้ ทว่าวิธีแบบนี้มีข้อเสียเยอะเกินไป การฝึกร่างกายที่แท้จริงคือการควบคุมกฎของลม สามารถควบคุมทิศทางแรงต้านของลม ใช้สองพลังงานนี้ผลักดันร่างกาย เมื่อผสมผสานกันอย่างต่อเนื่องแล้ว จะเหยียบขึ้นสวรรค์เก้าชั้นได้ราวกับเดินบนที่ราบ
แต่วิธีแบบนี้ ต่อให้เป็นข้าก็ยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ ตอนนี้เจ้าเลิกคิดถึงมันไปก่อน ทว่านี่ก็เป็นเส้นทางสายหนึ่ง เส้นทางของเจ้าต้องถูกต้องถึงจะไปตามทางนั้นได้ หากมันผิดตั้งแต่เริ่มก็รังแต่จะเสียเวลาเจ้าเปล่าๆ” ชายชราแซ่จิ่งกล่าวเสียงหนักแน่น ยกมือขวาชี้ตรงหน้าซูหมิง
เมื่อเขาชี้นิ้ว ม่านแสงคุ้มกันนอกปลายกระบี่ตรงหน้าซูหมิงพลันเกิดรอยแยกเล็กๆ ทันทีที่เกิดรอยแยก ซูหมิงตัวสั่นอย่างรุนแรง เขารู้สึกว่าพายุที่ถาโถมใส่ใบหน้าอยู่พลันรุนแรงขึ้นหลายเท่า ความรู้สึกเจ็บปวดจากการที่ร่างกายถูกฉีกเด่นชัดขึ้น
“คิดจะไปทางนี้ก็ต้องเดินให้ถูกทาง ตอนนี้เจ้าจินตนาการว่าตัวเองเป็นสายลม และรับรู้ถึงแรงลมที่ถาโถมเข้ามา สัมผัสถึงปฏิกิริยาทุกส่วนของร่างกายเจ้าเมื่อพลังงานสองชนิดมากระทบกัน”
ซูหมิงมีโลหิตไหลจากมุมปาก เขาไม่อาจทนรับความเจ็บปวดทางร่างกายไหว สายลมถาโถมเข้ามาตรงหน้า ประหนึ่งดาบเฉือนลงบนตัวเขา เจ็บปวดไปทุกส่วน ร่างกายในท่านั่งขัดสมาธิโคลงเคลง ราวกับจะถูกลงพัดจนกระเด็นไปได้ทุกเมื่อ
“ไม่ได้เรื่อง!” ชายชราแซ่จิ่งขมวดคิ้ว กล่าวอย่างเย็นชา
“หากไม่เห็นแก่หน้าไป๋ฉางไจ้ ข้าจะไม่สนใจเจ้าเด็ดขาด! ข้าเคารพผู้อาวุโสเทียเสียจื่อ ทว่าเจ้าเป็นศิษย์เขา กลับทำให้ข้ารู้สึกว่าเจ้าไม่ค่อยคู่ควร” ชายชราแซ่จิ่งแค่นเสียงหึ
ยามนี้ซูหมิงตัวสั่น มุมปากมีโลหิตไหลอีกครั้ง ตัวเขาในท่านั่งขัดสมาธิถูกพัดจนถอยไปครึ่งจั้ง ใบหน้าซีดขาว ความเจ็บปวดทั่วตัวทำให้แม้แต่แรงจะยืนยังหมดไป โดยเฉพาะภายใต้พายุโหมกระหน่ำนี้ การโคจรพลังโลหิตในร่างกายยากเข็ญยิ่งนัก แม้แต่การโคจรพลังชำระล้างยังช้าลงเหมือนถูกขัดด้วยพลังแกร่งกล้า
ภายใต้สภาพแบบนี้ ตัวเขายากจะหยุดนิ่งอยู่ที่เดิม
“ขยะก็คือขยะ เจ้ามันโง่เขลา!” ชายชราแซ่จิ่งยกมือขวา ชี้ไปยังม่านแสงคุ้มกันตรงปลายกระบี่อีกครั้ง รอยแยกก่อนหน้านี้ขยายใหญ่ขึ้นอีกเล็กน้อย
พายุคลั่งที่ถาโถมใส่ซูหมิงพลันรุนแรงขึ้นอีกหลายเท่า เขายังไม่ทันปรับสภาพร่างกายก็ถูกผลักออกไปอีกครั้ง ทั้งยังกระอักโลหิต
โลหิตที่พ่นมาถูกพายุคลั่งพัดหายไปทันใด แต่ที่น่าแปลกคือ ขณะเดียวกับที่โลหิตถูกพัดหาย บางส่วนกลายเป็นหมอกโลหิต ลอยค้างอยู่ตรงหน้าซูหมิงหลายลมหายใจก่อนค่อยๆ หายไป
“ก็ยังเป็นขยะ หนึ่งก้านธูปจากนี้ ข้าจะขยายรอยแยกม่านแสงคุ้มกันอีกเล็กน้อย หากเจ้าทนไม่ไหวก็ไสหัวกลับไปอยู่ตรงขอบกระบี่เสีย” ชายชราแซ่จิ่งขมวดคิ้ว มีสีหน้าเย็นชา
ซูหมิงหน้าซีดขาว ภายใต้พายุคลั่ง แม้แต่ลืมตาหรือหลับตายังยาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการหายใจเลย เขาตัวสั่นเทิ้ม ยามนี้มาถึงขีดจำกัดแล้ว ทว่าสายตาเขากลับจ้องจุดที่หมอกโลหิตลอยค้างอยู่เมื่อครู่เขม็งโดยไม่กะพริบตา
‘จินตนาการว่าตัวเองเป็นลม…เรื่องนี้เหมือนง่าย ทว่าจะทำอย่างไร….’ ซูหมิงรู้สึกขมขื่นในใจ แต่าก็ยังไม่ยอมแพ้และกัดฟันยืนหยัดต่อไป
ทว่าเขารู้ดีว่า การยืนหยัดแบบนี้ไม่มีผลอะไรมากนัก
‘หมอกโลหิตนั่น…..ภายใต้พายุขนาดนั้น เหตุใดมันถึงหยุดอยู่หลายลมหายใจก่อนถูกพัดหายไป…’ ขณะขบคิดซูหมิงพลันกัดปลายลิ้น พ่นโลหิตอีกครั้ง สายตาจ้องเพียงโลหิตของตนโดยไม่สนสิ่งอื่นใด เหมือนว่าภาพทุกอย่างที่เห็นช้าลง เขาเห็นอย่างแจ่มชัดว่าโลหิตกระทบสายลมแล้วจะกลายเป็นหมอกลอยหายไป
ทว่ากลับมีหมอกโลหิตส่วนหนึ่ง หลังจากสายลมผ่านซอกเล็กๆ ระหว่างพวกมันแล้ว ถึงค่อยพัดพวกมันหายไป
ทันใดนั้นนัยน์ตาซูหมิงเผยความกระจ่างแจ้ง หลับตาลง ตัวเขาค่อยๆ ถูกสายลมพัดถอยหลังไปอีกครั้ง
“เหตุใดไป๋ฉางไจ้ถึงสนใจขยะอย่าง…” ชายชราแซ่จิ่งเริ่มหงุดหงิดแล้ว ทว่ายังกล่าวไม่จบ เขาก็พลันเบิกตากว้าง
ซูหมิงที่กำลังลอยถอยหลังท่ามกลางสายลมยามนี้กลับหยุดนิ่ง ไม่เพียงแค่นั้น ในสายตาชายชรา ซูหมิงหลับตาแล้วยืนขึ้น เดินหน้าไปหลายก้าวจนกลับมาถึงที่เดิม แล้วก็นั่งลงไปใหม่อย่างไม่ลังเล
ช่วงที่นั่งลง ผมซูหมิงปลิวไสวอย่างรวดเร็ว อาภรณ์โบกสะบัด ทว่าตัวเขากลับไม่ถอยเพราะแรงลมอีก แม้ยังสั่นไหวอยู่ แต่เทียบกับตอนแรกแล้วต่างกันโดยสิ้นเชิง
“หืม?” ชายชราแซ่จิ่งมองอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าเริ่มดูประหลาดใจ เขายกมือขวาชี้ไปยังม่านแสงคุ้มกันนอกปลายกระบี่อีกครั้ง ทำให้รอยแยกขยายใหญ่ขึ้นไม่น้อย สายลมรุนแรงขึ้น
หากเป็นก่อนหน้านี้ ร่างกายซูหมิงไม่มีทางทนรับไหว ต้องถูกอัดจนปลิวเป็นแน่ ทว่ายามนี้เขากลับนั่งอย่างมั่นคงอยู่ตรงนั้น ปล่อยให้สายลมถาโถมใส่ตรงๆ หลังจากนั้น…ก็ทะลวงผ่านตัวเขาไป…



