Skip to content

สู่วิถีอสุรา 351

ตอนที่ 351 สนใจ! 1

บนสนามรบกว้างใหญ่ ท้องฟ้ามีหมอกเขียวหมุนตลบ ภายในมีเสียงครึกโครมดังอย่างต่อเนื่อง เห็นได้ชัดว่าภายในมีเหล่าผู้แข็งแกร่งของเผ่าหมานและเชมันกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด แพ้ชนะของพวกเขาสามารถตัดสินทิศทางต่อไปของสงครามด้านล่างได้ ทว่าขณะเดียวกัน การเข่นฆ่าบนแผ่นดินก็ตัดสินได้ว่าผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ควรจะอยู่หรือไป

สองฝ่ายนี้ขาดไปอย่างหนึ่งไม่ได้

กล่าวได้ว่า ช่วงต้นของสงครามก็ถูกแบ่งเป็นสองส่วนแล้ว ส่วนหนึ่งอยู่บนท้องฟ้า อีกส่วนอยู่บนผืนดิน ทว่าส่วนบนแผ่นดินค่อยๆ ถูกเผ่าหมานแบ่งเป็นสี่เขต หรือก็คือเขตสนามรบทั้งสี่

ซูหมิงอยู่เขตสนามรบทางใต้

ยามนี้ หลังจากแผ่นไม้ทั้งสี่ของชายแซ่โจวเผาไหม้และบินไป ตรงส่วนลึกของเขตสนามรบทางเหนือ ภายในเขตที่มีชาวเผ่าหมานโอบล้อมคุ้มกันจำนวนมาก มีชายชราผู้หนึ่ง เขามีรอยย่นเต็มใบหน้า ยามนี้ขมวดคิ้ว ยกมือขวานับนิ้ว บ้างก็เดินไปหลายก้าว สายตาวาววับคอยสังเกตการณ์ทั้งสนามรบทางเหนือ

เขตตรงนี้มิได้อยู่สูงมากนัก ตามแนวคิดปกติแล้ว บริเวณนี้ยากจะมองเห็นสถานการณ์การรบทั้งเขตสนามรบทางเหนืออย่างชัดเจน แต่ชายชราผู้นี้ใช้วิธีการพิเศษบางอย่าง ไม่ต้องมองไปก็เห็นได้รอบแปดทิศ

ราวกับว่าเขาใช้วิชาแห่งฟ้าดินจากการนับคำนวณนิ้ว ผ่านไปครู่หนึ่งก็พลันเงยหน้าขึ้น ขณะยกมือขวา ในมือปรากฏป้ายกระดูกหนึ่งชิ้น

ป้ายกระดูกนี้มีขนาดยาวเจ็ดชุ่น เป็นสีขาวทุกส่วน ประดุจทำมาจากเขี้ยวสัตว์ร้ายบางชนิด ชายชราสะบัดป้ายกระดูกนี้ออกไป แสงสีขาวขยับวูบวาบ ป้ายกระดูกตรงไปยังสนามรบไกลๆ แล้วหายลับไปในแผ่นดิน

หลังจากเพิ่งโยนป้ายกระดูก ชายชรากำลังจะก้มหน้านับนิ้วต่อก็พลันสีหน้าเปลี่ยน มีแผ่นไม้เผาไหม้ลอยมาทางอากาศ เมื่อลอยอยู่ตรงหน้าชายชราแล้วจึงปรากฏเป็นร่างมายาของโจวเต๋อแห่งเขตสนามรบทางใต้

ขณะเดียวกัน หน้าเมืองหมอกนภา ห่างไปไกลจากสนามรบยิ่งนัก เป็นเขตสนามรบตะวันออกแห่งหมอกนภา ในเขตนี้เข่นฆ่ากันดุเดือดที่สุด อีกทั้งเผ่าหมานในเขตนี้ยังกล้าหาญกว่าเขตอื่นๆ มาก กระทั่งหากสังเกตดีๆ จะมองออกว่าในเขตนี้มีการจัดระเบียบกันเป็นขั้นตอน

แม้พื้นที่จะใหญ่ ทว่ากลับเหมือนมีแบบแผน ทุกกลุ่มในเขตนี้ล้วนสังหารกันอย่างเป็นขั้นตอน มีคำสั่งจากใจกลางเขตสนามรบตะวันออกนี้อย่างต่อเนื่อง มีนักล่าส่งมาที่นี่โดยเฉพาะ และนำคำสั่งของผู้บัญชาการเขตนี้มารายงานแก่ทุกกลุ่ม

ในเขตสนามรบตะวันออกนี้เป็นเขตที่สังหารเผ่าเชมันมากที่สุด และมีผู้บาดเจ็บล้มตายมากที่สุดเช่นกัน คำสั่งต่างๆ ล้วนเด็ดขาดและไร้ปรานี

ตรงใจกลางเขตสนามรบแห่งนี้มีสตรียืนอยู่ผู้หนึ่ง นางมีเส้นผมยาวปลิวไสว สวมเสื้อสีดำ แววตาเย็นชา ข้างกายมีนักล่าแห่งเผ่าหมานยืนอยู่สิบกว่าคน นักล่าเหล่านี้ล้วนเคารพนางยิ่งนัก จุดนี้คือสิ่งที่โจวเต๋อแห่งเขตสงครามทางใต้ไม่มี

แต่หากมองอย่างละเอียด จะมองออกจากขั้นพลังของนักล่าสวมหน้ากากเหล่านี้และคลื่นพลังวิชา นักล่าเหล่านี้มาจากสำนักทะเลตะวันออก ต่อให้บางคนไม่ใช่ ทว่าก็เป็นชนเผ่าใต้บัญชาการสำนักทะเลตะวันออก

ฐานะของนางเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ใบหน้าของนางคล้ายกับเทียนหลันเมิ่งยิ่งนัก ทว่าเอกลักษณ์เฉพาะตัวของสองคนนี้กลับต่างกันโดยสิ้นเชิง

นางคือพี่สาวของเทียนหลันเมิ่ง เทียนหลันโยว!

เอกลักษณ์ของนางเย็นชาคล้ายกับหานเฟยจื่อ ทว่าทั้งสองคนต่างกัน ความเย็นชาของหานเฟยจื่อคือความเย็นชาจากภายนอก แต่ในใจหยิ่งยโส งดงามเหมือนกับดอกกล้วยไม้ในหุบเขา เบ่งบานเป็นความหยิ่งยโสและเย็นชา

หากแต่ความเย็นชาของเทียนหลันโยวมีอยู่ทั้งภายในและภายนอก

นางเหมือนกับอยู่ในน้ำแข็งที่ไม่มีวันละลายหมื่นปี ถูกผนึกอยู่ในชั้นน้ำแข็ง จึงปรากฏเส้นความงามเพียงเล็กน้อย ภายใต้การสลับกันของเส้นเหล่านั้น จึงสร้างขึ้นเป็นดอกไม้น้ำแข็งหนึ่งดอก

นี่ก็คือนาง

ส่วนเทียนหลันเมิ่ง นางไม่เย็นชา แต่ก็มีความเย่อหยิ่งของนาง เพียงแต่ความเย่อหยิ่งนี้มีความงามแบบเรียบๆ ความสงบนิ่ง และเต๋าจากแดนเซียนที่นางแสวงหาติดตามมาด้วย จึงทำให้มันไม่ธรรมดา!

ทั้งสามคนเป็นสตรีที่ต่างกัน เทียบกับพวกนางแล้ว ชางหลันสตรีผู้นี้ดูธรรมดาอย่างเห็นได้ชัด นางไม่มีความหยิ่งยโส ไม่มีความเย็นชา ไม่มีความต่าง นางมีเพียงจิตใจเข้มแข็งในความอบอุ่นปานสายน้ำ

ในมือเทียนหลันโยว ยามนี้ถือแผ่นไม้ที่มอดดับ มันแตกหักกลายเป็นฝุ่นละอองลอยอยู่ตรงหน้านาง ภายในฝุ่นละอองนั้นปรากฏร่างมายาโจวเต๋อแห่งเขตสงครามทางใต้

“ทั้งสามท่าน แซ่โจวมีการแสดงอยากให้ทั้งสามท่านได้ชม!”

กล่าวจบ เงาโจวเต๋อก็ค่อยๆ หายไป

ชายชราในเขตสนามรบทางเหนือขมวดคิ้ว มองไปทางใต้ ส่วนเทียนหลันโยวไม่สนใจแม้แต่น้อย ยังคงยืนอยู่ที่เดิม สนใจเขตสนามรบของตัวเอง และออกคำสั่งเหี้ยมโหดต่อไป

คนที่ได้รับแผ่นไม้จากโจวเต๋อยังมีเขตสงครามตะวันตกซึ่งใกล้กับเมืองหมอกนภาที่สุด และกล่าวได้ว่าเป็นเขตที่ได้รับรองเรื่องความปลอดภัยมากที่สุด

ภายในเขตสงครามตะวันตก ผู้บัญชาการเป็นสตรีเช่นกัน นางคือเทียนหลันเมิ่ง ในเมื่อเป็นคนเมืองหมอกนภา นางต้องเป็นผู้บัญชาการเหมือนกับพี่สาว ต้องรับมือกับสงครามที่จะยืดยาวไปอีกกี่ปีไม่รู้

นักล่าเผ่าหมานข้างกายนางหลายคนมาจากสำนักเหมันต์สวรรค์ เพียงแต่คนเหล่านี้ซูหมิงไม่เคยพบมาก่อน พวกเขาไม่ได้มาพร้อมกับนภาหิมวันต์ แต่ใช้วิธีอื่นมายังสนามรบ คอยปกป้องอยู่รอบตัวเทียนหลันเมิ่ง

เทียนหลันเมิ่งมองเงาร่างโจวเต๋อค่อยๆ หายไปอย่างสงบนิ่ง ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วมองไปทางใต้ ต่างจากความเย็นชาของพี่สาวนาง ขณะเดียวกันนางสะบัดมือขวาไปด้านหน้า พลันมีแสงผลึกปรากฏขึ้นและรวมเป็นม่านแสงตรงหน้า ม่านแสงนั้นบิดเบี้ยวอยู่ครู่หนึ่งก่อนค่อยๆ ชัดเจนขึ้น ภายในสะท้อนเป็นภาพทั้งเขตสนามรบทางใต้

ขณะเดียวกับที่นางมองม่านแสง สิ่งแรกที่นางเห็นในเขตสงครามทางใต้มีอยู่จุดหนึ่งต่างไปอย่างเห็นได้ชัด ราวกับว่าตรงนั้นมีกำลังพลหลายร้อยคนอยู่ พวกเขารวมกลุ่มกันและกำลังเข่นฆ่าอย่างมีแบบแผน

ในจุดอื่นดูค่อนข้างไร้ระเบียบ กลุ่มนี้จึงดูเด่นตาอย่างยิ่ง

เทียนหลันเมิ่งยกมือขวาอย่างสงบนิ่ง กดนิ้วระหว่างม่านแสงหนึ่งที

หลังจากกดนิ้วไป ม่านแสงเขตสนามรบทางใต้พลันขยายใหญ่ขึ้น ขณะกำลังขยายใหญ่ ภาพชาวหมานและเชมันกำลังเข่นฆ่ากันแล่นผ่านอย่างรวดเร็ว ท้ายที่สุดถึงมาหยุดอยู่ที่สนามรบในพื้นที่เล็กๆ ของเขตสนามรบทางใต้

นี่เป็นกลุ่มเล็กที่มีคนเกือบห้าร้อยคน พวกเขาเดินหน้าราวกับพายุ รู้ใจกันและกันเป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีพลังที่บอกไม่ถูกอยู่กลางกลุ่มเล็ก

“สิ่งที่โจวเต๋อให้ข้าดู หรือว่าจะเป็นกลุ่มนี้?” เทียนหลันเมิ่งกวาดสายตามองทุกคนในกลุ่ม ขณะมองนางก็ใช้มือขวากดม่านแสงอีกครั้ง ครั้งนี้ภาพในม่านแสงเคลื่อนไหวพร้อมกับขยายใหญ่ขึ้นอีกครั้ง เลื่อนไปตรงหน้าสุด ผ่านไปครู่หนึ่ง ในภาพเป็นปลายแหลมของกลุ่มนี้ ตรงนั้นมีเงาร่างคนผู้หนึ่ง สายฟ้าไหลเวียนทั้งตัว ทั้งยังมีแสงดำขยับวิบวับ และบุกทะลวงสังหารประดุจเทพสงคราม

เพราะเขาผู้นี้จึงทำให้กลุ่มเล็กนี้กล้าหาญอย่างไม่เกรงกลัวผู้ใด!

ช่วงที่เห็นร่างคน เทียนหลันเมิ่งพลันเบิกตากว้าง หายใจกระชั้นถี่โดยไม่รู้ตัว ก่อนใช้มือขวากดตัวเทพสงครามในภาพม่านแสงอย่างเร็ว

ภาพพลันขยายใหญ่ขึ้น ยามนี้ในภาพม่านแสงปรากฏคนเพียงผู้เดียว ซูหมิง!

ซูหมิงอยู่ตรงนั้น บุกทะลวงปานพายุหมุน!

เส้นผมสีม่วงปลิวไสว อาภรณ์ยาวสีโลหิตทั้งตัวพลิ้วสะบัด รูปร่างหน้าตาคุ้นตา ทำให้เทียนหลันเมิ่งตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มมุมปาก

“เขา…กลับมาแล้ว…” เทียนหลันเมิ่งยังคงมองซูหมิงในม่านแสง มองไปมองมา

ยามนี้คนที่สนใจซูหมิงมิใช่เพียงสามผู้บัญชาการในเขตสงครามทั้งสี่ คนในเมืองหมอกนภาก็มองซูหมิงเช่นกัน

บนกำแพงเมืองหมอกนภา มีชายชรายืนอยู่เจ็ดแปดคน ชายชราเหล่านี้ล้วนเพ่งมองไปยังเขตสงครามทางใต้

“ที่โจวเต๋อให้พวกเราดูน่าจะเป็นเด็กคนนี้!”

“จิตใจของเด็กคนนี้แข็งแกร่งยิ่งนัก หรือว่าโจวเต๋ออยากจะให้เห็นวิธีการต่อสู้ของผู้มีจิตใจอันแน่วแน่ในเขตสนามรบของเขา?”

“ดูไปเถอะ ในเมื่อเขามั่นใจว่าจะให้พวกเราดู ก็แปลว่าคงจะมีดีอยู่บ้าง”

“กล่อมเกลาจิตใจในสนามรบ นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร นักล่าแห่งเผ่าหมานของเราก็เป็นเช่นนี้ ทว่าน้อยคนนักที่จะทำแบบนี้ได้ ไม่มีทางทำให้คนอื่นเป็นแบบนี้ได้หรอก โจวเต๋อ ข้าว่ามันไม่เข้าท่า”

ยามนี้เป็นอย่างที่ซูหมิงคาดเดา พวกเขากำลังทำการแสดงครั้งนี้อยู่ นอกจากผู้บัญชาการโจวแล้ว ยังมีผู้ชมคนอื่นอีก บางทีคนอื่นที่ว่านี้ตอนนี้อาจจะยังไม่เยอะ ทว่าบางทีอาจ…ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นเพื่อมาชมการแสดงอันแสนวิเศษนี้!

ณ เขตสนามรบทางใต้ ซูหมิงพลันก้าวเดิน แสงดำรอบตัวขยับวูบวาบ ขณะกระบี่เล็กบินวน ซูหมิงยกมือขวาขึ้น แล้วใช้มือเป็นดาบฟันใส่สามทางสามครั้ง

สามตัดสังหาร สามารถสังหารไท่ซุ่ย! (เทพของจีน) เรียกว่าสามมารหรือสามสังหาร!

กลางฟ้าดิน เจวี๋ย (ตัดขาด) ไท (จุดเริ่มต้น) และหยั่ง (เพาะบ่ม) สามฝ่ายนี้ เจวี๋ยเป็นมารแห่งการปล้นชิง ไทเป็นมารแห่งภัยพิบัติ หยั่งเป็นมารแห่งกาลเวลา! จะเรียกได้อีกอย่างว่าสามเคล็ดวิชา ปล้นชิงสังหาร ภัยพิบิตสังหาร และกาลเวลาสังหาร!

หนึ่งตัดปล้นชิง อีกหนึ่งตัดภัยพิบัติ อีกหนึ่งตัดกาลเวลา สามมารรวมกันประหนึ่งมังกรทะลวงนภา!

สามตัดสังหารนี้ หลังจากซูหมิงใช้ไปหลายครั้งในสงคราม ถึงเริ่มรู้สึกว่าหากใช้กับศัตรูเพียงลำพังอานุภาพมันจะดูด้อยไปเล็กน้อย ทว่าหากเป็นในสนามรบกลับมีประสิทธิผลที่ดี!

อีกทั้งขั้นพลังของเขาในตอนนี้ก็ทำสามตัดสังหารได้พร้อมกันสามครั้งแล้ว!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!