Skip to content

สู่วิถีอสุรา 374

ตอนที่ 374 เทือกเขาพิลึก

หนึ่งกระเรียนท่องฟ้าดิน หนึ่งกระเรียนท่องแดนรกร้างเผ่าหมาน

นกกระเรียกกระดาษตัวนี้แม้ไม่มีตำนานงดงามดั่งซางเซียงกระพือปีก ทว่ากลับมีพลังเหมือนข้ามผ่านมวลอากาศ มันบินขึ้นจากเผ่าใหญ่เหมันต์สวรรค์ จะเห็นได้ว่ามีชีวิตใหม่ จนกระทั่งตายในแดนรกร้างบูรพา

ชีวิตมันแสนสั้น ทว่าชีวิตนี้ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเหนือทะเลและแผ่นดินตรงจุดที่มันผ่าน กลับประหนึ่งย่อโลกทั้งใบ ให้มองเห็นชัดๆ ดวงตา

ทว่าน่าเสียดาย ดวงตาแจ่มชัดนี้ไม่ใช่ของซูหมิง ไม่ใช่ของคนจำนวนมาก แต่เป็นของชายชราผู้ปล่อยนกกระเรียนบินขึ้นฟ้า บางทีอาจบอกได้ว่าเป็นของชายสวมชุดคลุมจักรพรรดิและหมวกจักรพรรดิ!

ซูหมิง ออกจากเผ่าทะเลใบไม้ร่วง

บนน่านฟ้าเผ่าเชมัน เขาเดินทางด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ด้านหลังไม่มีใครไล่ตาม ด้านหน้าไม่มีใครขวาง สิ่งที่เห็นเป็นเพียงท้องฟ้ากว้างไกลและยังมีแผ่นดินอ้างว้าง หลังจากเข้าร่วมสงครามหมอกนภาจนถึงตอนนี้ เขาเพิ่งจะได้หลุดพ้นทุกอย่างจริงๆ

ซูหมิงมองฟ้าและดินตรงหน้า เขาพลันรู้สึกเหมือนตนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ตอนลืมตาขึ้นครั้งแรกบนเทือกเขานอกเมืองเขาหาน

เขาในตอนนั้นมองท้องฟ้าแปลกตาด้วยความสับสน ขั้นพลังอ่อนแอ ทำให้เขาในตลอดช่วงเวลานั้นสับสน ทว่ายามนี้ก็ยังมองท้องฟ้าแปลกตา เดินทางอยู่กลางฟ้าดิน สายลมพัดผ่านเส้นผม เผยให้เห็นดวงตาหยั่งลึกใต้เส้นผม

เขาในตอนนี้ยังคงสับสนเล็กน้อย ทว่ากลับมีทิศทาง แม้ขั้นพลังไม่อาจยืนอยู่จุดสูงสุด ทว่าเทียบกับเมื่อตอนนั้นแล้ว ปานสองด้านของหุบเขา

‘ก่อนเซียนจากต่างแดนมาเยือนครั้งหน้า ข้าจะต้องแข็งแกร่งกว่านี้……’ ซูหมิงหยิบหน้ากากมาจากอกเสื้อ แล้วสวมบนใบหน้า หน้ากากนี้ เขาไม่คิดจะถอดมันอีก

นี่คือวิธีปกปิดฐานะตัวเองบนแผ่นดินเผ่าเชมัน

เว้นแต่จะมีวิธีที่ดีกว่านี้ มิเช่นนั้นแล้วเขาต้องสวมมันไว้ตลอด ใช้คู่กับโอสถชิงวิญญาณและจิตสัมผัส ขอแค่ไม่เจอผู้แข็งแกร่งระดับสิ้นสุด ต่อให้เจอเชมันระดับปลาย โอกาสที่จะมองออกว่าเขาไม่ใช่เชมันก็ไม่มาก

อีกอย่าง ต่อให้มองออกว่าเขาไม่ใช่เผ่าเชมัน ซูหมิงก็มีวิธีอธิบายฐานะของตน

‘รูปร่างหน้าตาข้า…..คล้ายกับเผ่าเซียนมากหรือ….หากเป็นเช่นนั้น…..’ ซูหมิงหลับตาแล้วลืมอีกครั้ง แววตาประหลาดใจ

‘ทว่าข้าอยากรู้นักว่า เหตุใดสองคนที่เรียกข้าว่าซู่มิ่งถึงมั่นใจว่าข้า…..คือซู่มิ่ง!’

ขณะเดินทาง ซูหมิงห้อเหยียดด้วยความเร็ว ระหว่างทางเจอเผ่าเชมันบ้าง หลังจากเห็นซูหมิงแล้ว ก็จะแผ่ขยายความรู้สึกสัมผัสมากระทบกับจิตสัมผัสซูหมิงก่อนดึงกลับไป หากไม่เคยเห็นกันมาก่อน ส่วนใหญ่จะไม่สงสัยซูหมิง

‘บรรพบุรุษเขาหานรอซูมิ่งมาพาเขาไป ฉะนั้นพอเห็นข้าแล้วก็เลยคิดว่าข้าเป็นซู่มิ่ง ก็ยังพออธิบายได้ว่าข้าเป็นคนแรกที่มาหาเขาในช่วงเวลานานขนาดนั้น ทว่า สตรีผมยาวบนสนามรบ นางเห็นข้าเพียงแวบเดียวกลับบอกว่าข้าคือซู่มิ่ง เรื่องนี้ก็เลยมีเงื่อนงำ

บอกว่าข้าคือซู่มิ่งเพียงมองแวบเดียวได้ เช่นนั้นนาง…..ต้องเคยเห็นข้ามาก่อน!’ ซูหมิงขบคิด สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงการคาดเดา ไม่ได้มีข้อมูลถูกต้องจริงๆ

ซูหมิงบินติดต่อกันเจ็ดวัน บ้างก็ดูแผนที่ไม้ที่หยามู่มอบให้ จึงรู้ว่าตนใกล้จะมาถึงใจกลางแผ่นดินเชมันแล้ว ทว่าก็แค่ค่อนข้างใจกลางเท่านั้น หากวัดตามแผนที่ทั้งเผ่าเชมัน จุดที่ซูหมิงอยู่ยังคงกันดาร บนพื้นมีพืชเขียว ทว่าลมกลับแรงกว่าเขตนอกไม่น้อย

อีกทั้งยังมีกลิ่นคาวมาตามลม เพราะสายลมนี้ส่วนใหญ่พัดมาจากทะเลมรณะ เคลื่อนตัวผ่านแผ่นดินเชมัน ระหว่างเทือกเขาเป็นแนวขวาง ซูหมิงกวาดสายตามองแผ่นดิน เขาทำอย่างนี้ตลอดทาง มองว่ารอบๆ มีอันตรายหรือไม่

ทว่าครั้งนี้ ช่วงที่เขากวาดสายตามองผ่านเทือกเขา พลันหยุดชะงัก ทำเสียงหืมเบาๆ ก่อนเพ่งมองเข้าไป แผ่ขยายจิตสัมผัสปกคลุมทั้งเทือกเขา

ผ่านไปครู่หนึ่ง นัยน์ตาซูหมิงวูบไหว ด้วยขั้นพลังของเขาตอนนี้ แม้บอกว่าไม่อาจโคจรพลังฟ้าดิน ทว่าก็มีกระดูกหมานสี่ชิ้น ทะลวงสู่เซ่นไหว้กระดูกตอนกลางแล้ว จึงมองออกว่าพลังฟ้าดินมีเท่าไร

เพียงมองเทือกเขาแวบแรก ดูปกติดี ต่อให้มองอย่างละเอียดก็ยังปกติ ถึงขั้นแผ่ขยายจิตสัมผัสหรือสัมผัสของเผ่าเชมันก็ยังเหมือนเดิม

ประดุจภูเขาชั่วร้าย มีพลังฟ้าดินหนาแน่นยิ่งนัก กลิ่นคาวมากกว่าที่อื่นๆ ไม่น้อย ฉะนั้นเผ่าเชมันที่ผ่านเส้นทางนี้ต่อให้เป็นเชมันระดับปลาย ส่วนใหญ่ก็ยังไม่สังเกตเห็น

ทว่าในสายตาซูหมิงกลับค่อยๆ ต่างออกไป เทือกเขานี้ปานถูกฉีกม่านหนาออกหลายชั้น เผยความจริงข้างใน!

เทือกเขานี้ตั้งอยู่ทางตะวันตก คดเคี้ยวไปทางเหนือและค่อยๆ หายไปในแผ่นดินห่างไกล มันเหมือนกับมังกรเลื้อยบนแผ่นดิน เผยส่วนหนึ่งของกระดูกสันหลัง ยอดเขาสูงตระหง่าน มีหินประหลาดหลายจุด ด้านบนยังมีพืชขึ้นเต็ม

ทว่าพืชเหล่านั้นส่วนใหญ่มีลักษณะพิลึก แกว่งไกวกลางสายลม ให้ความรู้สึกถึงอัตราย ประหนึ่งว่าพืชเหล่านี้ มีสัญชาตญาณจู่โจมโดยธรรมชาติ

ซูหมิงจ้องเทือกเขา ยกมือขวาขึ้นฟันไปทางซ้ายเบาๆ เขาไม่ได้โคจรพลังเซ่นไหว้กระดูก ดูเหมือนฟันลงไปสบายๆ ทันใดนั้นมวลอากาศทางซ้ายกระเพื่อมเป็นชั้นๆ เขาหลับตาเบาๆ ยื่นมือขวาเข้าไปในระลอกคลื่นนั้น ราวกับกำลังสัมผัสอะไรบางอย่าง

‘เทือกเขามาจากตะวันตก…ขึ้นสู่ทางเหนือ เดิมทีมันมีลักษณะเป็นมุมกรอบเหมือนมังกร ทว่าความจริงแล้ว ที่นี่เป็นรูปแบบสามมารที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ทว่าขาดไปบ้างเล็กน้อย!’ ผ่านไปพักหนึ่ง นัยน์ตาซูหมิงฉายแววประหลาดใจ บินลงมา ก่อนวนรอบทั้งเทือกเขา

มันเป็นเทือกเขาคดเคี้ยว

‘เจวี๋ย ไท หยั่ง ปล้นชิง ภัยพิบัติและกาลเวลา…ตะวันออกเฉียงเหนือเป็นเทือกเขา ตะวันตกเฉียงใต้เป็นที่กว้าง น่านฟ้าตะวันตกเป็นไท น่านฟ้าใต้เป็นหยั่ง เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ขาดเพียงตำแหน่งเจวี๋ย เดิมทีมันเป็นรูปแบบที่ขาดไปอยู่แล้ว’ ซูหมิงพิจารณาอย่างละเอียดอยู่นาน และสรุปวิชาสามตัดสังหารในความคิด ค่อยๆ วิเคราะห์ความพิลึกของเทือกเขานี้

‘ทว่าสายลมมาจากตะวันออก บางทีสายลมอาจเคยไม่รุนแรงเท่านี้ ทว่าตอนนี้เพราะภัยพิบัติแดนรกร้างบูรพาเข้าใกล้มาเรื่อยๆ สายลมจึงมีกลิ่นคาว……

หากมองเทือกเขานี้เป็นศีรษะมังกร เดิมทีมันก็ตายแล้ว ทว่าเมื่อสายลมจากตะวันออกพัดผ่านศีรษะมังหร หากผ่านออกไปได้ก็จะประหนึ่งว่าศีรษะมังกรมีชีวิต มันสามารถพ่นลมหายใจ! มารแห่งการปล้นชิงทิศเจวี๋ยแบบนี้ ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน…..สามตัดสังหาร ข้าเคยเข้าใจมันตอนอยู่สนามรบเมืองหมอกนภา วิชานี้ไม่ใช่เพียงแค่ตัด แต่ยังสร้างขึ้นได้ด้วย

ทว่าตอนนี้ ดูท่าความคิดข้ายังไม่ค่อยสมบูรณ์นัก นอกจากการตัดและสร้างแล้ว ยังสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบของแผ่นดินให้มีจิตสังหาร!

รูปแบบธรรมชาติดีๆ แบบนี้ ไม่เพียงแต่จะรวมพลังฟ้าดินเข้ามา อีกทั้งยังก่อขึ้นเป็นพลังของสามมาร ทำให้ตรงนี้ไม่ต้องปรับแก้มากนัก ก็กลายเป็นสถานที่พักผ่อนจิตใจและสังหารคน!’ ซูหมิงมองไปมองมา สีหน้าเริ่มเปลี่ยน

เดิมทีตรงนี้ไม่มีทิศเจวี๋ย หรือก็คือในสามมารไม่มีมารแห่งการปล้นชิง ตามที่ซูหมิงเข้าใจ ทุกที่ในโลกใบนี้ส่วนใหญ่มีสามมาร ทว่าสามมารนี้จะไร้รูป ทว่าตรงนี้กลับปรากฏเป็นรูปแบบเช่นนี้โดยธรรมชาติตามกาลเวลา จึงเห็นรูปแบบนี้ได้ด้วยตาเปล่า

ฉะนั้นมันจึงต่างกัน

ความต่างกันนี้ มันเหมือนกับหมอกมายากับของแข็งเป็นรูปร่าง

ซูหมิงขบคิด เดิมทีเขาไม่มีที่ไปอยู่แล้ว ยามนี้เห็นเทือกเขาน่าสนใจนี้ นัยน์ตาวูบไหว จึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาด

‘ตรงนี้ไม่เลว เปิดเป็นถ้ำอาศัยของข้า แม้จะกันดาร ทว่าโดยรอบน่าจะมีเผ่าเชมันไม่น้อย ถ้าอย่างนั้นคงต้องระวังตัวอีกหน่อย’ ซูหมิงเคลื่อนตัวไปทางเทือกเขา ไม่นาน เขาก็มายืนอยู่ตรงมุมเทือกเขาระหว่างทิศตะวันออกกับเหนือ ตรงนั้นเป็นตำแหน่งที่เหมือนกับปากของศีรษะมังกร

เทือกเขาแห่งนี้สูงมาก ฉะนั้นสายลมที่พัดมาจากตะวันออกจะถูกขวางเอาไว้ใต้เขามากกว่าครึ่ง รวมอยู่ตรงนั้นไม่เลือนหาย หากซูหมิงมองจากยอดเขาลงไป จะเห็นหมอกขมุกขมัว กลิ่นคาวเข้มข้นมาก

หินภูเขาโดยรอบเปียกชื้น กระทั่งบางแห่งยังมีน้ำซึมออกมา

‘จะทำดีหรือไม่….’ ซูหมิงลังเลใจ เพียงแค่เขาทะลวงมุมเทือกเขาใต้เท้าให้กลายเป็นปากยักษ์เท่านั้น ก็จะทำให้ลมจากตะวันออกพัดผ่านปากนี้ไป เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะเหมือนมังกรพ่นลมหายใจ

หากทำเช่นนั้น พลังฟ้าดินตรงนี้จะเยอะขึ้นหลายเท่า การนั่งฌานตรงนี้จะส่งผลดีกับการฝึกฝนของซูหมิงอย่างมาก กระทั่งการหลอมโอสถก็เช่นเดียวกัน

ขณะเดียวกัน หากมีรอยโหว่ ก็จะทำให้รูปแบบตรงนี้ปานศีรษะมังกรคืนชีพ เมื่อนั้นวิชาสามตัดสังหารจะรุนแรงกว่าตอนสนามรบอีกไม่น้อย

กระทั่งซูหมิงยังรู้สึกว่า หากเป็นอย่างที่ตนคิด การใช้วิชาสามตัดสังหารที่นี่ เขาจะเหมือนรวมเป็นหนึ่งกับที่นี่ เมื่อถึงตอนนั้น อานุภาพของวิชานี้จะเป็นอย่างไร นั่นเพียงพอจะทำให้จิตใจซูหมิงสั่นไหว

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น รูปแบบของเทือกเขานี้ ซูหมิงก็เคยไปมาหลายที่แล้ว ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาพบสามมารของจริง หากเขาศึกษาค้นคว้าความลับของมัน สืบหากฏเกณฑ์ เช่นนั้นเขาจะเข้าใจวิชาสามตัดสังหารลึกซึ้งยิ่งขึ้น

‘มรดกวิชาแห่งเขาทมิฬ ไม่มีวิชาอื่นเหมาะกับข้าเลย มีเพียงสามตัดสังหาร…..นอกจากนี้แล้ว ก็เพลิงโลหิตแผดเผา’ ซูหมิงเงยหน้ามองท้องฟ้า เทือกเขานี้สูงยิ่งนัก หากถึงยามกลางคืน แสงจันทร์สาดส่อง จะดูชัดเจนมาก

ทว่าแบบนี้มีข้อดีมากก็จริง ทว่าข้อเสียก็มีไม่น้อย อันดับแรกตรงนี้เป็นจุดเด่นตามาก ดึงความสนใจของคนไม่ว่า แต่มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเกิดความขัดแย้ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!