ตอนที่ 430 พลังของหนึ่งกระบอง
“เรื่องนี้เป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน…” หนานกงเหินยิ้มเจื่อน ทว่าเพิ่งกล่าวถึงตรงนี้ สตรีในม่านแสงก็พลันกล่าวขึ้นด้วยความเย็นชา
“หนานกงเหิน เขาสังหารองครักษ์ข้าไปสามคน!”
หนานกงเหินเงียบ ขณะกำลังคิดว่าจะกล่าวอย่างไรนั้น ซูหมิงกลับหัวเราะ
“หนานกงเหิน เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเข้ามายุ่ง ช่วยข้าดูเด็กสองคนนั้นสักครู่ รอข้าจัดการเรื่องนี้เสร็จแล้ว พวกเราค่อยไปดื่มสุรากันต่อ” ขณะกล่าวก็มองสตรีในม่านแสง
“ส่วนเชมันระดับปลายของเผ่าแดนบูรพา แซ่โม่อยากรู้จริงๆ ว่าเชมันระดับปลายจะแกร่งกว่าข้าสักเท่าไรเชียว!” ซูหมิงไม่ได้พูดโกหกและโอ้อวด เขามีร่างแยกวิญญาณแรก มีศพพิษวิญญาณหมาน ทั้งยังสืบทอดหมานวายุ เขารู้ดีว่าระดับความห่างระหว่างตนกับเชมันระดับปลายมีมากน้อยเพียงใด!
ส่วนปัญญาเรื่องเปิดเผยฐานะ ด้วยความซับซ้อนเรื่องพลังเซียน พลังหมานและวิชาคำสาปเผ่าเชมันในร่างกาย ต่อให้อยากรู้ประวัติเขาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
ถึงอย่างไรวิชาหนทางสู่ชีวิตของหงหลัวก็ลบกลิ่นอายพลังของซูหมิงไป ขนาดตี้เทียนยังยากจะตรวจพบ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงคนอื่นๆ
คำพูดของซูหมิงทำให้เขากลืนคำพูดที่เตรียมไว้เพื่อแก้ปัญญาลงไปทันที สายตามองซูหมิง แอบตะลึงในใจ ยามนี้เขาคาดเดาขั้นพลังซูหมิงอีกครั้งแล้ว เห็นท่าทางของซูหมิงราวกับจะสู้กับเชมันระดับปลายจริงๆ เรื่องนี้หากเป็นเชมันระดับกลางคนอื่นกล่าว เขาคงไม่มีทางเชื่อ
ทว่าซูหมิงสร้างความตื่นตะลึงให้เขาไม่น้อย และทำให้รู้สึกประหลาดใจตลอด การตรวจสอบอันตรายพูดได้ว่าน่าเหลือเชื่อ ทั้งยังมีศพสองคนที่เขาเห็นเมื่อครู่อีก เห็นได้ชัดเลยว่าศพแรกถูกสังหารในกระบวนท่าเดียว
ส่วนศพที่สองดูพิลึก จากท่าทางแล้วเหมือน….ถูกคำสาปบางอย่าง หนานกงเหินจึงตกตะลึงและไม่กล่าวอะไรอีก แต่พยักหน้าให้ซูหมิงแทน
พอได้ยินว่าซูหมิงจะต่อสู้กับเชมันระดับปลาย สตรีในม่านแสงดุจได้ฟังเรื่องตลกครั้งใหญ่ มีสีหน้าเย้ยเยาะ
“คุยโวอย่างหน้าไม่อาย อวดดียิ่งนัก แค่เชมันระดับกลางเล็กจ้อยกลับกล้าพูดเช่นนี้ รอท่านลุงเผ่าข้ามาก่อน ข้าจะรอดูว่าเจ้ายังกล้าพูดเช่นนี้หรือไม่!”
ยามนี้เด็กหนุ่มข้างกายนางถอนหายใจโล่งอก มีม่านแสงคุ้มกันอยู่ ความกลัวจึงลดน้อยลงมาก ยามนี้จ้องซูหมิงด้วยความเย็นชาและเคียดแค้น
เรื่องนี้เกิดขึ้นบนถนนที่ครึกครื้นอย่างยิ่งเส้นหนึ่งในเมืองเชมัน เมื่อเรื่องราวบานปลายจึงดึงดูดความสนใจของคนไม่น้อย สำหรับเรื่องรื่นเริงเช่นนี้ ผู้อื่นไม่มีความกดดันใดๆ ส่วนใหญ่มองมาจากโดยรอบด้วยความสนุกสนาน
มองแวบหนึ่ง สายตาจากผู้คนโดยรอบมีมากกว่าหลายร้อยคน ด้านนอกยังมีชาวเผ่าเชมันอีกไม่น้อย พอได้ยินข่าวจากสหายจึงรีบวิ่งมาดูกัน
“นั่นมันจ้าวฮูหยินแห่งเผ่าแดนบูรพามิใช่รึ ตอนนั้นนางเป็นหญิงงามหมายเลขหนึ่งของเผ่าแดนบูรพา…..”
“แม้เผ่านี้จะไม่ใช่เผ่าใหญ่ ทว่าก็คบหากับเผ่าอื่นๆ มากมาย ในเผ่าไม่มีเชมันระดับสูงสุด แต่ก็ได้ยินว่ามีเชมันระดับปลายสี่คน คนสวมหน้ากากนั่นเป็นใคร เหตุใดถึงล่วงเกินเผ่าแดนบูรพา”
“น่าสนใจ จ้าวฮูหยินถูกบีบจนใช้ม่านแสงคุ้มกัน ข้าจำได้ว่านี่เป็นวิชาป้องกันสำหรับคนสำคัญในเผ่าที่ค่อนข้างใหญ่โตเท่านั้น หากใช้ม่านแสงนี้ ชาวเผ่าโดยรอบจะสังเกตเห็นทันที”
ซูหมิงเอามือไพล่หลัง ยืนมองท้องฟ้าอยู่ตรงนั้นโดยไม่กล่าวสิ่งใด
ยามนี้พวกหลันหลันสามคนมีสีหน้าลนลานเล็กน้อย แต่พอเห็นซูหมิงสงบนิ่งแล้วก็ค่อยๆ สงบลง นัยน์ตาเต็มไปด้วยการเฝ้ารอคอย ทว่าก็แฝงไว้ด้วยความตึงเครียดเล็กน้อย
เวลาค่อยๆ ผ่านไปครึ่งก้านธูป สตรีในม่านแสงร้อนรนในใจขึ้นมา ตามหลักแล้วหากใช้ม่านแสง ท่านลุงประจำเผ่าควรจะมาถึงโดยเร็วแล้ว ทว่าตอนนี้ยังไม่มาเสียที โดยเฉพาะความสงบนิ่งของซูหมิง ยิ่งสร้างแรงกดดันให้นางเล็กน้อย
“ครึ่งก้านธูปแล้ว ทว่าเชมันระดับปลายของเผ่าเจ้ายังไม่มา” ซูหมิงละสายตาจากท้องฟ้า มองสตรีในม่านแสงพลางกล่าวเรียบๆ
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น แซ่โม่จะไม่รอแล้ว” ซูหมิงกล่าวพลางเดินไปยังม่านแสง
เด็กหนุ่มข้างสตรีในม่านแสงตึงเครียดขึ้นมา ทว่าสตรีนางนั้นกลับยิ้มเยาะ นางไม่เชื่อหรอกว่าซูหมิงจะทำลายม่านแสงนี้ได้ในเวลาสั้นๆ
ซูหมิงเดินมาอยู่นอกม่านแสงอย่างเนิบๆ ยกมือขวาขึ้นเคาะเบาๆ พลันมีแรงดีดกลับมหาศาลส่งกลับมา มือขวาเขาสั่นสะท้าน ยกลอยขึ้นหลายชุ่น
“เจ้าไม่มีทางเปิดม่านแสงได้!” สตรีผู้นั้นมองม่านแสง แอบโล่งอกในใจแล้วยิ้มเยาะ
ซูหมิงมองนางอย่างสงบนิ่งแวบหนึ่ง ก่อนหันหลังให้ม่านแสงแล้วเดินจากไปไกล
“จะรีบไปไหน หรือว่าไม่กล้ารอแล้ว ต่อให้ท่านลุงเผ่าข้ามาสาย เจ้าจะทำอะไรข้ากับบุตรได้ เจ้าไม่มีทางทำลายม่านแสงนี้ได้หรอก!
ไม่ใช่ว่าเจ้าจะหักขาพวกข้าหรอกรึ ไม่ใช่บอกว่าจะรอท่านลุงเผ่าข้ามาหรอกรึ ตอนนี้จะกลัวอะไร!” สตรีกล่าวเย้ยเยาะ นางกลัวว่าซูหมิงจะหนีไปจึงกล่าวยั่วยุ
มิใช่แค่นางที่ทำเช่นนี้ ชาวเผ่าเชมันโดยรอบที่มองอยู่ล้วนส่งเสียงหัวเราะ เห็นได้ชัดว่าหัวเราะเยาะซูหมิงที่ทำแข็งกร้าวก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้กลับคิดหนี
ทว่าในใจคนส่วนใหญ่ก็ค่อนข้างยอมรับการกระทำของซูหมิง ถึงอย่างไรเชมันระดับปลายก็ปรากฏตัวได้ทุกเมื่อ หากรอต่อไปก็เท่ากับรอความตาย
หากเป็นคนอื่นๆ เกรงว่าคงจะหนีไปนานแล้ว
ซูหมิงไม่สนใจสตรีนางนั้น หลังจากเดินมาสิบกว่าจั้งแล้วก็พลันหยุดชะงัก ยกมือขวาขึ้น หมุนตัวไปด้านหลัง ในมือขวาพลันปรากฏกระบองเขี้ยวสีดำ!
กระบองเขี้ยวนี้เป็นสีดำทุกส่วน ตอนที่มันปรากฏมีความรู้สึกป่าเถื่อนโบราณเล็ดลอดออกมา ซูหมิงกำมันเอาไว้ในมือพร้อมกับหมุนตัวเหวี่ยง ปาเข้าใส่ม่านแสงที่อยู่ห่างไปสิบกว่าจั้ง
ตอนที่กระบองนี้ถูกปาไป ขนาดมันพลันเปลี่ยนเป็นมีความยาวสิบกว่าจั้ง ความหนาก็น่าสะพรึงเช่นกัน ขณะเกิดเสียงฮือฮาโดยรอบ กระบองนี้ทะลวงผ่านมวลอากาศจนเกิดเสียงแหลมลากยาว
ประหนึ่งว่ามันมีน้ำหนักเหนือจินตนาการ วาดเป็นลักษณะพัดสีดำกลางอากาศ ชั่วขณะที่สตรีผู้นั้นเบิกตากว้าง มีสีหน้าหวาดกลัว เงาดำยาวเส้นหนึ่งภายใต้แสงจันทร์บนท้องฟ้าก็พุ่งเข้าใส่ม่านแสงปานยอดเขายักษ์ถล่มลง
เสียงระเบิดสนั่นฟ้าดินดังมาจากม่านแสง เสียงสั่นสะเทือนแก้วหู กลบเสียงฮือฮาของผู้คนโดยรอบในทันใด ม่านแสงเปล่งแสงเด่นชัดและขยับวิบวับสว่างจ้ามากขึ้น ท่ามกลางเสียงระเบิด ตรงปลายม่านแสงมีเขี้ยวเก้าอันทะลวงผ่านเข้าไป ทั้งม่านแสงเกิดเสียงดังกึกๆ เหมือนไม่อาจทนรับไหว ก่อนจะเกิดรอยร้าว สุดท้ายก็ระเบิดกระจุย!
วินาทีที่มันระเบิดออก เศษพลังที่เหลืออยู่ของกระบองเขี้ยวน่าสะพรึงปะทะลงสู่ผืนดิน ทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือนหลายครั้ง เรือนอาศัยโดยรอบสั่นไหว มีฝุ่นฟุ้งกระจาย
ขณะแผ่นดินสั่นสะเทือนก็เกิดรอยร้าวเล็กๆ ขึ้น แล้วแผ่ขยายสู่โดยรอบ เสียงดังกึกๆ ลุกลามไปไกลหนึ่งร้อยจั้ง ทำให้ผืนดินดูน่าตะลึง
กระบองเขี้ยวยักษ์ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ ตอนที่มันเผยกลิ่นอายพลังป่าเถื่อนโบราณ ยังมีไอหนาวลอยอบอวลด้วย ขณะเดียวกัน ทุกสายตาโดยรอบที่มองอยู่ล้วนตื่นตกใจ
ซูหมิงจับกระบองเขี้ยวสีดำ ช่วงที่เขาค่อยๆ ยกมันขึ้น กระบองเขี้ยวย่อขนาดเล็กลงอย่างรวดเร็ว จนสุดท้ายหายไปในมือซูหมิง สตรีผู้นั้นหน้าขาวซีด ร่างโซเซถอยไปหลายก้าว มองพื้นและมองซูหมิงด้วยสีหน้าหวาดกลัว ตาค้างอ้าปากกว้าง
เด็กหนุ่มข้างกายตัวสั่นจนล้มลงกับพื้น ตกใจกลัวจนแทบเสียสติ
“ข้าทำลายมันไม่ได้อย่างนั้นรึ?” ซูหมิงกล่าวอย่างสงบนิ่ง
หลังจากโดยรอบเงียบไปชั่วครู่แล้ว ถึงพลันเกิดเสียงดังเกรียวกราว เหตุการณ์เมื่อครู่นี้ฝังลึกลงในสมองของทุกคนที่เห็นกับตาตัวเองอย่างไม่เลือนหาย
พลังของกระบอง ความแข็งแกร่งนั้น เพียงพอจะทำให้คนที่ต้องเผชิญหน้าเกิดความคิดว่ารับมือไม่ไหว
“เขาเป็นใคร นะ….นี่มันของวิเศษอะไร!”
“ไม่อยากเชื่อว่าการโจมตีเพียงครั้งเดียวจะทำลายม่านแสงได้ เขามีพลังที่แกร่งมาก!”
“เขาใช้พลังจากของวิเศษ กระบองนั้น…เกรงว่าน้ำหนักมันคงน่ากลัวอย่างยิ่งเช่นกัน ฉะนั้นเขาจึงอาศัยแรงนี้มาทำลายม่านแสง….แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เมื่อเชมันระดับกลางธรรมดาอยู่ต่อหน้าเขา ต้องไม่มีทางรับมือไหวแน่นอน!”
ท่ามกลางเสียงสนทนาดังอื้ออึงของผู้คนโดยรอบ สตรีผู้นั้นมีสีหน้าสิ้นหวังเป็นครั้งแรก นางนึกเสียใจว่าก่อนหน้านี้ไม่น่าทำเช่นนั้นกับเด็กหนุ่มสาวทั้งสามคนเลย…
หนานกงเหินข้างๆ ยามนี้สูดลมหายใจเข้า มองซูหมิงเก็บกระบองเขี้ยวสีดำ การคาดเดาระดับพลังของซูหมิงในใจเขาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง เขาถามตัวเองว่าถ้าต้องรับมือกับพลังของกระบองนี้ ต่อให้หลบมันได้ก็ต้องเสียไปมากเช่นกัน
เดิมทีเขากลัวซูหมิงเล็กน้อย ทว่ายามนี้ความกลัวเพิ่มมากขึ้นไม่น้อย ขณะเดียวกันความคิดที่จะผูกมิตรก็มากยิ่งขึ้นด้วย
นัยน์ตางามของหนานกงซานขยับประกาย มองซูหมิงด้วยความลังเลใจ
ส่วนหลันหลันกับอาหู่ หลังจากเบิกตาอ้าปากค้างแล้วก็ส่งเสียงโห่ร้องยินดี ถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังเป็นเด็ก ย่อมเลื่อมใสผู้แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะผู้แข็งแกร่งตรงหน้า ตอนนี้ในสายตาพวกเขา ความแข็งแกร่งของซูหมิงทำให้ฮึกเหิมจนรู้สึกเหมือนตนเป็นผู้ทำสิ่งนั้นเอง
สตรีผู้นั้นสิ้นหวัง ม่านแสงถูกทำลาย ขณะตัวสั่นเทิ้มพลันมีเสียงหึเย็นชาดังมาจากท้องฟ้าไกล เวลานี้บนท้องฟ้ามีสายรุ้งยาวห้าเส้นลากยาวเข้ามาจากนอกเมือง คนนำหน้าเป็นชายชราผมเงินทั้งศีรษะ ใบหน้าเขียวปัด สี่คนด้านหลังล้วนมีระดับพลังไม่ธรรมดา!
ทั้งห้าคนนี้บินเข้ามาด้วยความเร็วรี่ โดยไม่สนใจกฎห้ามบินใกล้เมืองเชมันในระยะหนึ่งร้อยลี้
“ท่านลุง!” หญิงที่กำลังสิ้นหวังรีบยืนขึ้นประหนึ่งพบเจอความหวัง และกล่าวอย่างฮึกเหิม
สีหน้าภายใต้หน้ากากซูหมิงเคร่งขรึมยิ่งนัก ทว่าแววตากลับฉายแววมุ่งมั่นในการต่อสู้อย่างเปี่ยมล้น เขาสูดลมหายใจเข้าลึก โคจรขั้นพลังในร่างกาย ฝุ่นใต้เท้าแผ่กระจายเป็นวงกว้างหลายวง พร้อมกับเงยหน้ามองขึ้นไป