ตอนที่ 468 ฟ้ากับดิน น้ำแข็งกับไฟ
“จิ่วอิง…” เสียงแหบแห้งดังกังวาน
“ข้าอยากถามผู้ปกครองสวรรค์มาตลอด เหตุใดเมื่อโลกใบนี้มีฟ้าแล้วจะต้องมีผืนดิน…เหตุใดเมื่อโลกใบนี้มีไฟถึงยังต้องสร้างน้ำแข็ง….ข้าอยากถามสวรรค์ ในเมื่อมีสายเลือดจู๋อินแล้ว เหตุใดถึงถือกำเนิด…เผ่าจิ่วอิง! ข้าหาคำตอบนี้มาชั่วชีวิตก็ยังไม่พบ…”
“หลังจากน้ำแข็งกับไฟหลอมรวมกันแล้วก็จะกลายเป็นน้ำแผดเผา เป็นความว่างเปล่าดับสูญ และเป็นพลังแห่งหนึ่งโลก เช่นนั้นหากจู๋จิ่วอินกับจิ่วอิงผสานรวมกันแล้วจะกลายเป็นอะไร…เป็นอะไร…เป็นอะไร…เป็นอะไร!” เสียงสุดท้ายแทบจะคลุ้มคลั่ง เสียงคำรามกังวานรอบทิศ
ขณะเดียวกัน มังกรงูหนึ่งพันจั้งก็คำรามขึ้นด้วยสีหน้าดุร้าย ก่อนตรงมายังจิ่วอิงอย่างบ้าคลั่ง จิ่วอิงของซูหมิงก็ร้องคำรามเช่นเดียวกัน หัวทั้งหกพุ่งตรงไปยังมังกรงูพร้อมกับคำรามโดยที่ซูหมิงไม่ต้องควบคุม
เสียงระเบิดดังกึกก้อง จู๋จิ่วอินตายไปแล้ว ตอนนี้เป็นเพียงเศษจิตที่ฝืนตัวรวมขึ้นมา ความต่างระหว่างร่างจริงกับตอนนี้ราวกับฟ้าและดิน
ในเวลาเดียวกัน วิญญาณจิ่วอิงของซูหมิงก็ไม่มีกายเนื้อ เป็นเพียงกายวิญญาณ หรือก็คือวิญญาณวัตถุในระฆังเขาหาน หลับใหลมานานนม บวกกับตื่นเพียงหกเศียร ฉะนั้นในด้านพลังจึงห่างจากตอนยังมีชีวิตอยู่หลายขุม เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงสูสีกับมังกรงู ยามนี้สัตว์แข็งแกร่งที่เป็นศัตรูทางธรรมชาติกันสองตัวนี้กำลังต่อสู้อย่างบ้าคลั่ง
ซูหมิงยืนอยู่ตรงนั้น นัยน์ตาฉายแววสับสนอยู่ชั่วครู่ ที่เขาเป็นเช่นนี้ก็เพราะเสียงแก่ชราก่อนหน้านี้ คำพูดนั้นดังกังวานในความคิด ทำให้เขาเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง ทว่าพอตั้งใจตรึกตรองกลับไม่พบอะไร
‘การผสานรวมระหว่างน้ำแข็งกับไฟ…และฟ้ากับดิน…’ ความรู้สึกนี้เหมือนกับตอนเขาอยู่ยอดเขาลำดับเก้า หลังจากคุยกับเทียนเสียจื่อ ก็เข้าฌานตระหนักรู้หลายเดือนบนแท่นราบนอกถ้ำ จนสุดท้ายก็เข้าใจการสร้าง!
ตอนนี้กับตอนเข้าใจวิธีทำจิตใจสงบของเขาและวาดลายเส้นหมานสังหารเหมือนกันทุกประการ ยามนี้นัยน์ตาซูหมิงฉายแววสับสนยิ่งขึ้น เสียงแหบแห้งนั้นดังกังวานอย่างต่อเนื่องในความคิด ซูหมิงรู้สึกว่าหากตนเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่งในครั้งนี้ เขาจะครอบครองพลังที่ไม่อาจจินตนาการ!
ยามนี้เขากลับกัดปลายลิ้น แม้การตระหนักรู้ในครั้งนี้จะล้ำค่า แต่ก็ยังไม่ใช่โอกาสเหมาะสม หากตระหนักรู้ต่อไป นอกจากจุดจบคือความตายแล้ว เขาก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรอื่นอีก
ฉะนั้นถึงแม้จะเสียดาย ซูหมิงก็ต้องทำให้ตัวเองตื่นขึ้นมาในทันใด เพื่อไม่ให้ตกอยู่ในห้วงความคิด หลังจากตื่นขึ้นก็มีเสียงดังสนั่นฟ้าข้างหูเขา มังกรงูกับจิ่วอิงกำลังห้ำหั่นกันอย่างบ้าคลั่งบนท้องฟ้า ศัตรูทางธรรมชาติสองตัวนี้กำลังเข่นฆ่ากันจนถึงจุดดุเดือดที่สุด
นัยน์ตาซูหมิงขยับประกาย ตัวเขากลายเป็นสายรุ้งยาวมุ่งไปข้างหน้า อ้อมจิ่วอิงกับมังกรงู ก่อนตรงไปยังก้อนเนื้อยักษ์ที่ลอยอยู่กลางอากาศ
ใบหน้าสตรีงดงามในก้อนเนื้อ ตอนนี้ยังไม่แปรเปลี่ยนใดๆ หนอนงูน้อยตรงหน้ายังคงมีเส้นขาวบางๆ ถูกดึงออกจากตัวเข้าสู่ตราสัญลักษณ์ตรงระหว่างคิ้วนางอย่างต่อเนื่อง
นัยน์ตาซูหมิงเผยจิตสังหาร ก่อนก้าวเข้าไปใกล้ก้อนเนื้อ ก้อนเนื้อนั้นพลันสั่นไหวอย่างรุนแรง ขณะเดียวกันก็มีเสียงชราดังเข้ามาเนิบนาบ
“ข้าจะให้ชีวิตยืนยาวแก่เจ้า ให้เจ้าเป็นอมตะ ต่อให้ฟ้าดินดับสูญเจ้าก็ยังอยู่เหมือนกับข้า…ต้องการหรือไม่?”
“ข้าจะให้ความแข็งแกร่งไร้ขีดจำกัดแก่เจ้า ให้ร่างกายแข็งแกร่งเทียบเท่าข้า ให้เจ้าสามารถทำลายกฎของโลกนี้ เข้าไปอยู่ในความว่างเปล่าไร้พรมแดน เห็นโลกที่กว้างใหญ่ยิ่งกว่า เห็นท้องฟ้ากระจ่างดาว…เจ้า ต้องการหรือไม่?”
“ข้าจะให้จิตวิญญาณเจ้าไม่มีจำกัด ให้ดวงตาเจ้ากลายเป็นดวงดาวที่เด่นตาที่สุดในสวรรค์ ให้คนที่มองตาเจ้าต้องคารวะเจ้า…..เจ้า ต้องการหรือไม่
ข้าจะให้การฝึกฝนพลังแห่งหนึ่งโลก ให้เจ้ากลายเป็นผู้แข็งแกร่งและทำทุกอย่างได้ตามที่ต้องการ…เจ้าต้องการหรือไม่?
ข้าจะให้พลังทำลายความสับสน ให้เจ้าเข้าใจว่าบนท้องฟ้าคืออะไร ให้เจ้าเห็นว่าใต้ผืนดินคืออะไร ให้เจ้าควบคุมชะตาชีวิตด้วยสองมือของตัวเองนับแต่บัดนี้ จะไม่มีผู้ใดควบคุมได้…เจ้าต้องการหรือไม่!”
เสียงแหบแห้งดังแว่ว พอได้ยินดังนั้น ซูหมิงหยุดชะงักเล็กน้อย
“เจ้าต้องเคยมีความฝัน มีความปรารถนาอย่างแน่นอน ข้าช่วยเจ้าได้ ให้เจ้ามีพลังพอจะทำตามความฝันและความปรารถนา…เจ้าจะหาความฝันพบ เจ้าจะเปิดฟ้าที่บดบังตา เจ้าจะควบคุมชะตาชีวิตของตัวเองได้ เจ้าจะ…..ทำลายศัตรูตรงหน้าทุกคน….
ข้าทำได้ เชื่อข้าเถอะ ข้าทำได้จริงๆ ข้าคือจู๋จิ่วอิน ข้าคือผู้แข็งแกร่งที่สุดในสายเลือดจู๋อิน…ตอนข้ายังมีชีวิต ข้าทำให้หนึ่งร้อยโลกมืดมิดในพริบตาเดียว สิ่งมีชีวิตที่ข้ากินไปมีมากกว่าสิบล้านตัว…
ขอแค่ข้าตื่นและฟื้นคืนชีพ ข้าขอสาบานด้วยหยินของเผ่าข้า ข้าจะทำตามทุกอย่างที่พูดมา…..ขอแค่…..เจ้าอย่ารบกวนพิธีกรรมของข้า…ขอแค่เจ้าถอยไปและอย่าเข้ามาใกล้อีก หากเจ้ายอมรับ ข้าจะทำตามคำสาบาน!”
มีเสียงโครมครามดังในความคิดซูหมิง ลมหายใจกระชั้นขึ้นมา เขาจ้องใบหน้าสตรีนางนี้เขม็ง คำพูดของอีกฝ่ายแฝงไว้ด้วยความจริงใจอย่างไม่ต้องสงสัย
เขาไม่สนใจชีวิตอมตะ ไม่สนใจจิตวิญญาณไร้จำกัด ทว่าเขาอยากรู้ว่าเหนือท้องฟ้ามีอะไร สนใจว่าจะได้คุมชะตาชีวิตตัวเอง สนใจจะเปิดท้องฟ้าบดบังดวงตาเพื่อตามหาภูเขาทมิฬ และรู้ต้นตอที่แท้จริงของคำว่าซู่มิ่ง
สิ่งเหล่านี้คือความปรารถนา
“หากเจ้าไม่เชื่อ ข้าจะยอมรับเจ้าเป็นนายก็ได้ ทว่าการยอมรับเป็นนายต้องแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือเริ่มต้น หากพวกเราทำตามสัญญาทุกอย่าง หลังจากข้าฟื้นคืนชีพ พวกเราค่อยเริ่มส่วนที่สอง…ข้าจะทำตามทุกอย่างที่รับปากแน่นอน เจ้าแค่เสียงูน้อยที่ยังเยาว์วัยอีกทั้งสายเลือดยังไม่สมบูรณ์ไปเพียงตัวเดียว แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือข้า!”
ซูหมิงเงียบอยู่พักใหญ่ ก่อนส่ายศีรษะ
“ข้าไม่เชื่อ!” ทันทีที่กล่าว ซูหมิงก็ตรงไปยังศีรษะสตรีในก้อนเนื้อ
“เหตุใดถึงไม่เชื่อ ข้าพูดจริงทุกอย่าง ขอแค่ข้าฟื้นคืนชีพ ข้าจะทำตามแน่นอน เจ้าไม่ใช่คนแรกที่ข้ารับปากเช่นนี้ ก่อนหน้าเจ้ายังมีอีกคนหนึ่ง เขามีนามว่าอะไรข้าไม่รู้ แต่ความรู้สึกของสายเลือดเขาคล้ายกับเจ้าเล็กน้อย!
เขาเรียกตัวเองว่า…เทพหมานรุ่นสาม!”
ขณะเดียวกัน นอกศพของจู๋จิ่วอินยักษ์ ท่ามกลางหมอกไร้ที่สิ้นสุด ชายชราเสื้อคลุมดำนั่งขัดสมาธิอยู่ และใช้ยันต์ชะตาชีวิตแผ่นสุดท้าย นัยน์ตาเขาเปล่งแสงวูบวาบ เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างของซูหมิงตอนนี้
ด้วยวิธีการพิเศษนี้ เขายังเห็นเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้หลังจากซูหมิงเข้าไปในร่างของจู๋จิ่วอินด้วย
นัยน์ตาเขาวูบไหว แล้วยิ้มมุมปากด้วยความประหลาดใจ
‘เศษจิตของจู๋จิ่วอิน…แม้มันจะแกร่ง ทว่าตอนนี้กลับจะกลืนชนรุ่นหลังตัวเอง ทั้งยังเจอกับซู่มิ่ง…บางทีข้าอาจใช้ประโยชน์ได้’ รอยยิ้มชายชราเด่นชัดยิ่งขึ้น
‘ซู่มิ่งมีมังกรแดงฉานกับตาแก่วิญญาณหยินอยู่ ต่อให้ข้าลงมือก็คงไม่เกิดผลอะไรมาก ให้เขาไปตามเส้นทางโชคชะตาต่อดีกว่า…มีแค่ตอนที่เขาอยู่ในร่างของจู๋จิ่วอินเท่านั้น ข้าถึงจะหลบมังกรแดงฉานมาได้ ข้าก็เข้าไปในร่างของจู๋จิ่วอินไม่ได้เช่นกัน แต่ก็ยังดีที่มียันต์ชะตาชีวิตอยู่จึงได้เห็น…’ ชายชราเลียริมฝีปาก เงาซูหมิงในลูกตาบิดเบี้ยว
‘ทว่าหากข้าเซ่นไหว้ยันต์ชะตาชีวิตนี้ด้วยขั้นพลังอีกเล็กน้อย ก็จะใช้อภินิหารได้อีกสักครู่หนึ่ง บางทีอภินิหารนี้อาจไม่สำเร็จตามแผนแรกของข้า ยากจะให้ซู่มิ่งหลับใหล หากแต่…ข้ากระตุ้นจิตของจู๋จิ่วอินได้ และให้มันเปิดโลกอมตะพันธนาการซู่มิ่ง!
เมื่อเป็นเช่นนั้น เขาก็ต้องอยู่ที่นี่ จากนั้นข้าจะให้เขาหลับใหลตามแผนของข้า อีกอย่างข้าก็มีเวลาที่จะรอร่างเงาที่สองนายท่านมาถึงด้วย!
เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าก็จะสร้างคุณูปการครั้งใหญ่!’ ชายชราเสื้อคลุมดำเผยยิ้ม ยกมือขวาขึ้นชี้ไปยังยันต์หยกสีเขียวตรงระหว่างคิ้วตน ยันต์หยกสั่นไหว ตรงขอบมีเส้นสีดำลุกลามไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ปกคลุมทั้งใบหน้า โดยเฉพาะตรงขอบดวงตา มีเส้นสีดำเพิ่มมากขึ้นอีกไม่น้อย กระทั่งเส้นนี้ยังลุกลามเข้าไปในดวงตาทั้งสองข้าง
ขณะเดียวกับที่เส้นสีดำเข้ามาแทนเส้นเลือดฝอยในดวงตา ทั้งยังปิดลูกตาจนมิด เงาซูหมิงด้านกลับในดวงตาเลือนรางขึ้นมาก ในเวลาเดียวกัน สีเขียวของแผ่นหยกก็คล้ำอย่างรวดเร็วจนกระทั่งกลายเป็นสีดำ แล้วระเบิดกระจุยกลายเป็นเศษ ก่อนชายชราจะอ้าปากกว้างพ่นลมหายใจออกมา
หนึ่งลมหายใจนี้กลายเป็นหมอกดำหายไปกับอากาศ
กลับมาที่ซูหมิง ทันทีที่ได้ยินจู๋จิ่วอินกล่าวว่าเทพหมานรุ่นสาม จิตใจเขาสั่นไหว ทว่าเขายังคงก้าวเดินต่อจนมาอยู่ตรงส่วนลึกของก้อนเนื้อแล้วกำหมัดขวา กระดูกหมานเจ็ดชิ้นบีบเค้นพลังแกร่งกล้า หมายมั่นจะทำลายศีรษะสตรีที่กำลังสูบเส้นสีขาวจากหนอนงู
ทันใดนั้น ตรงจุดที่ซูหมิงไม่เห็นบริเวณมุมก้อนเนื้อยักษ์ ตรงนั้นมีสายลมปรากฏขึ้นและมีหมอกตามเข้ามา ก่อนจะพัดหายเข้าไปในก้อนเนื้อยักษ์ ทุกอย่างเกิดขึ้นและจบลงในพริบตา