Skip to content

สู่วิถีอสุรา 483

ตอนที่ 483 จากไป

เมื่อร่างกายใหญ่ยักษ์กำลังหายไปอย่างรวดเร็ว

พลังสุดท้ายของจู๋จิ่วอินก็ตรงมายังซูหมิง แล้วหลั่งไหลเข้าไปในทุกส่วนของร่างกาย ราวกับจะอัดซูหมิงจนพองบวมอีกครั้ง

หากเป็นเขาก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์พิลึกกับเลือดเนื้อและกระดูกทั้งตัว ยามนี้ด้วยพลังที่ว่า นอกจากต้องสูบกินเพื่อเพิ่มกระดูกหมานอย่างบ้าคลั่ง สุดท้ายยังต้องถูกบีบให้ทะลวงขั้นวิญญาณหมานอีกครั้งแล้ว ก็ไม่มีวิธีผ่อนคลายพลังอีก

ทว่าซูหมิงในยามนี้กระดูกและเลือดเนื้อทั้งตัวประดุจเด็กทารกเกิดใหม่ มีความกระหายอย่างแรงกล้าต่อพลังชีวิตและกลิ่นอายพลังของจู๋จิ่วอิน เขาจึงสูบพลังนั้นเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง

มีเสียงกึกๆ ดังมาจากในตัวซูหมิง ขณะเสียงนั้นดังก้อง กระดูกทั้งตัวก็เปลี่ยนเป็นสีทองอย่างรวดเร็ว เหล่าเลือดเนื้อเส้นเอ็นกระดูกก็ค่อยๆ กลายเป็นสีทองอ่อน!

กระดูกเซ่นไหว้ทั้งตัว เหตุการณ์พิลึกเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในอดีตกาล และบางทีอาจไม่เกิดขึ้นในอนาคต แต่ยามนี้ด้วยคำอวยพรของจู๋จิ่วอิน มันกลับเกิดขึ้นกับซูหมิง!

เขารู้สึกถึงความแข็งแกร่งของตัวเองอย่างชัดเจน และกำลังทะยานขึ้นในระดับที่ไม่อาจจินตนาการ มันเป็นสัมผัสราวกับกุมตะวันจันทราและดารา เส้นผมซูหมิงเคลื่อนไหวเอง ทำให้เขาในเวลานี้เหมือนกับเทพสงครามสีทอง!

ซูหมิงหลับตาอยู่ แสงสีทองขยับวูบวาบทั้งตัว หากที่นี่ยังมีคนอื่นอีก เช่นนั้นครั้นเห็นซูหมิงแล้วจะต้องตะลึงงันเป็นแน่ เห็นๆ กันอยู่กลิ่นอายพลังจากซูหมิงคือเซ่นไหว้กระดูก ทว่าความรู้สึกกลับน่าสะพรึงยิ่งกว่าขั้นวิญญาณหมาน!

มันเป็นความขัดแย้งกัน แต่ก็สัมผัสได้จริงๆ!

เมื่อพลังของจู๋จิ่วอินหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายซูหมิงทั้งหมด ร่างของมันก็สลายไปด้วยความเร็วระดับสายตา ทุกอย่างรอบตัวซูหมิงเป็นเถ้าธุลีลอยหายไป เผยท้องฟ้าโลกเก้าหยินและผืนดิน ซูหมิงพลันลืมตาขึ้น นัยน์ตาเขาขยับวูบไหวสีทอง สีทองนั้นสามารถทะลวงผ่านความว่างเปล่า ข้ามผ่านฟ้าดิน กลายเป็นแสงที่สว่างพร่างพราวที่สุดในโลกใบนี้!

มันเป็นสิ่งน่าตะลึงสะเทือนวิญญาณ และดึงดูดจิตวิญญาณของผู้คน!

แสงสีทองโอบล้อมซูหมิง เขาไม่ใช้พลังของจู๋จิ่วอินอย่างสิ้นเปลืองแม้แต่น้อย นอกจากข้ามผ่านขั้นวิญญาณก่อกำเนิดสู่ขั้นกล่อมเกลาจิตแล้ว พลังทั้งหมดล้วนอยู่ในเลือดเนื้อและกระดูก!

กระดูกทั้งตัวยามนี้มีหกส่วนเป็นกระดูกหมาน! เลือดเนื้อเขาก็เช่นกัน!

เส้นทางที่เขาต้องเดินหลังจากนี้ จะต่างจากเผ่าหมานคนอื่นๆ ต่อให้เป็นเทพหมานรุ่นหนึ่งก็ไม่เคยเดินเส้นทางนี้ นี่คือเส้นทางของซูหมิง เป็นเส้นทางที่เขาสร้างขึ้น!

เพราะโลกอมตะ ซูหมิงจึงเข้าใจถึงการผสานรวมของอดีตและอนาคต เข้าใจถึงการผสมผสานระหว่างด้านตรงกับด้านกลับ ยามนี้ตัวเขายังใช้วิธีที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในโลกใบนี้ ดูเหมือนเซ่นไหว้กระดูก ทว่าเซ่นไหว้กระดูกอย่างนี้ยังเรียกว่าเซ่นไหว้กระดูกอยู่อีกหรือ!

แทบเป็นช่วงที่ซูหมิงลืมตาขึ้น ศีรษะสตรีงามตรงหน้าหายไปแล้ว หนอนงูน้อยส่งเสียงร้องดังมา รูปร่างมันไม่ต่างกับก่อนหน้านี้มาก ทว่าดวงตากลับเป็นมันวาว หยั่งลึกลงไปปานแฝงไว้ด้วยน้ำวนดูดจิตใจของคนเข้าไป เมื่อมองตามันความคิดจะขาวโพลน

เห็นซูหมิงไม่ได้บาดเจ็บอะไร หนอนงูน้อยจึงค่อยๆ หยุดร้อง มันบินขึ้นด้วยสีหน้าเจ็บปวดและเด็ดขาด บนตัวมันตอนนี้ปรากฏรอยปริหลายเส้นประดุจจะลอกคราบ และยังตัวสั่นไม่หยุด ร่างค่อยๆ ถูกยืดยาวไปไม่น้อย

มันที่ได้รับมรดกของสายเลือดจู๋อิน ยามนี้หลังจากเห็นซูหมิงปลอดภัยแล้ว ก็เริ่มให้ตัวเองวิวัฒนาการหลังจากรับมรดก เพื่อก้าวข้ามสู่เผ่าจู๋อินอย่างแท้จริง!

ซูหมิงมองหนอนงูน้อย เขารู้สึกถึงความยึดมั่นและมุ่งมันของมัน การลอกคราบนี้หมายถึงการวิวัฒนาการ และเป็นการแผดเผาสายเลือดจู๋จิ่วอินที่มีอยู่ในตัวไม่มากให้หมด ให้มันแผ่กระจายไปทั้งตัว แล้วให้หนอนงูน้อยกลายเป็นจู๋จิ่วอินอย่างแท้จริง!

มีมรดกช่วย โอกาสสำเร็จจึงสูงมาก มรดกนี้เหมือนกับเส้นทางชี้นำ ประดุจดั่งโคมไฟในยามค่ำคืนคอยบอกทางการผลัดเปลี่ยนให้กับหนอนงูน้อย

“บางทีข้าอาจช่วยเจ้าได้!” ซูหมิงยกมือขวาขึ้นตบถุงเก็บวัตถุ พลันมีกล่องสีสันสวยงามลอยมาจากในถุง กล่องนั้นบินไปยังหนอนงูน้อย ระหว่างทางกล่องก็กลายเป็นเถ้าธุลีแล้วเผยเงาสีม่วงจากข้างใน

สิ่งนี้คือม่วงละลาย ซูหมิงได้มาจากเผ่าของฝ่ายภูติผีนอกสำนักเหมันต์สวรรค์!

นี่คือสิ่งมหัศจรรย์ที่จะช่วยให้สัตว์ร้ายมีโอกาสวิวัฒนาการ เพียงแต่ว่าความเสี่ยงมันมากเกินไป หากไม่สำเร็จก็จะต้องตาย!

ฉะนั้นซูหมิงจึงไม่กล้าใช้กับหนอนงู ทว่าตอนนี้มันได้รับมรดกของจู๋จิ่วอิน ก็เท่ากับว่าหาเส้นทางที่ถูกต้องพบแล้ว ฉะนั้นข้อเสียของม่วงละลายนี้จึงหายไป เหลือเพียงคุณประโยชน์!

หลังจากเห็นม่วงละลาย นัยน์ตาหนอนงูพลันฉายแววตื่นเต้น มันส่งเสียงร้องพร้อมกับตรงเข้าไป ก่อนผสานรวมอย่างรวดเร็ว

ครั้นกินและผสานรวม แสงสีม่วงอบอวลอยู่บนอากาศปานหมอก จึงยากจะมองเห็นข้างใน ซูหมิงยืนอยู่ตรงนั้น นัยน์ตาเป็นประกายแสงสีทองอ่อน สายตาเขาทะลวงผ่านแสงสีม่วงและเห็นชัดว่าหนอนงูไม่มีสีหน้าเจ็บปวดอีก อีกทั้งกำลังผลัดเปลี่ยนด้วย

หลังจากค่อนข้างวางใจแล้วซูหมิงก็ละสายตากลับ ก้มหน้ามองร่างของตัวเอง ตัวเขาตอนนี้ดูไม่ต่างอะไรกับเมื่อก่อน มีเพียงความรู้สึกต่อตัวเองที่ว่าตอนนี้เขาแข็งแกร่งเพียงใดแล้ว

“ตอนนั้นมีร่างแยกวิญญาณก่อกำเนิดกับศพพิษช่วย ข้าก็สู้กับเชมันระดับปลายได้ หรือก็คือวิญญาณหมานตอนต้น…ไม่รู้ว่าข้าในตอนนี้ ถ้าไม่ต้องให้พวกมันช่วยจะอยู่ในระดับใด” ซูหมิงพึมพำเบาๆ เขาสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วมองจิตแรกข้างกาย จิตแรกหลับตาอยู่ ลอยอยู่กลางอากาศ แน่นิ่งไม่เคลื่อนไหว

ขณะมองจิตแรกของตัวเอง ซูหมิงก็เงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนมองไปรอบๆ อีกครั้ง ทันใดนั้นก็พลันขมวดคิ้ว

เขาจำได้ว่าตอนแรกที่เข้ามาในร่างของจู๋จิ่วอินนี้ เพราะแรงต่อต้าน มังกรแดงฉานจึงต้องอยู่ข้างนอก และยังมีศพพิษขั้นวิญญาณหมานอีก รวมถึงหุ่นเชิดจีอวิ๋นไห่กับชายชราเผ่าวิญญาณหยินก็อยู่ข้างนอกเช่นกัน

ทว่ายามนี้ หลังจากร่างจู๋จิ่วอินหายไป โดยรอบกลับไม่มีมังกรแดงฉาน ไม่มีศพพิษกับหุ่นเชิด ชายชราก็ไม่รู้ไปอยู่ที่ใด

“ผ่านมากี่ปีแล้ว……” ซูหมิงเงียบงัน วินาทีที่กำลังจะละสายตากลับ พลันเพ่งสายตามอง เขาเห็นอยู่ไกลๆ ว่าตรงจุดที่ร่างจู๋จิ่วอินหายไป มีแสงสีดำขยับวูบวาบอยู่

ตอนนี้หมอกหายไปนานแล้ว โดยรอบดูเป็นที่กว้างโล่งมาก แสงสีดำจึงเด่นตาอย่างยิ่ง ตอนที่เห็นแสงดำซูหมิงยกมือขวาคว้าอากาศ แสงดำนั้นพลันตรงมาทางเขาและลอยอยู่ตรงหน้า

มันเป็นเกล็ดงู!

เกล็ดของจู๋จิ่วอิน หลังจากร่างมันสูญสลายไปก็ยังเหลือเกล็ดเอาไว้! ซูหมิงมองเกล็ดงูนั้น นัยน์ตาฉายแววประหลาดใจ

‘จู๋จิ่วอินคล้ายกับงูเหลือม เช่นนั้นเกล็ดที่เหลืออยู่นี้หลังจากมันหายไป…..’ นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกาย จิตแรกมายาที่ลอยอยู่ข้างๆ ลืมตาขึ้น นัยน์ตาวาววับ มันขยับวูบไหวแล้วหายไปดุจผสานรวมกับความว่างเปล่า

ครู่ต่อมา บนผืนดินที่เคยมีร่างของจู๋จิ่วอินอยู่ มีเกล็ดงูทั้งหมดสี่ชิ้นลอยเข้ามาอย่างรวดเร็ว รวมกับหนึ่งชิ้นก่อนหน้านี้แล้วมีเกล็ดงูห้าชิ้นลอยอยู่ตรงหน้าซูหมิง พร้อมกับเปล่งแสงสีดำประหลาด

ขณะเดียวกับที่เกล็ดงูเหล่านี้มาถึง มวลอากาศข้างซูหมิงบิดเบี้ยว ก่อนที่จิตแรกของเขาจะเดินออกมา มันไม่หยุดนิ่ง แต่ตรงเข้ามาผสานรวมเข้าไปในตัวซูหมิง

“วัตถุดิบหลักสุดท้ายของโอสถมอบจิตคือเกล็ดหางงูเหลือม ไม่รู้ว่าเกล็ดของจู๋จิ่วอินจะมีผลเหมือนกันหรือไม่ หากใช่ เช่นนั้นก็จะหลอมโอสถมอบจิตได้” ซูหมิงกล่าวกับตัวเองเบาๆ เขาเห็นโอสถมอบจิตครั้งแรกตอนอยู่ภูเขาทมิฬ ตอนนี้ผ่านมาหลายปี หากเกล็ดนี้ใช้การได้ ก็เท่ากับว่ารวมวัตถุดิบมาครบแล้ว

ซูหมิงเก็บเกล็ดงูเหล่านี้ลงไป จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิบนพื้นรอหนอนงูผลัดเปลี่ยน ระหว่างนั้นเขาก็แผ่ขยายจิตสัมผัสโอบล้อมรอบทิศ ทว่าเพิ่งก้าวสู่ขั้นกล่อมเกลาจิต จึงยังต้องใช้เวลาบ่มเพาะสักระยะหนึ่ง ฉะนั้นจึงไม่ได้ปล่อยจิตสัมผัสมากนัก ทว่าถึงกระนั้นแม้จะปล่อยเพียงเล็กน้อย ทุกอย่างในขอบเขตมองเห็นก็ยังคงน่าตะลึงสำหรับซูหมิง

ไม่นาน ซูหมิงเริ่มหน้าเปลี่ยนสี บ้างสับสน บ้างประหลาดใจ บ้างขบคิด

โลกภายนอกที่จิตสัมผัสเขาเห็นต่างกับในความทรงจำ เขาจึงยิ่งเกิดความลังเลว่าโลกภายนอกผ่านมาแล้วกี่ปี อีกทั้งจิตสัมผัสยังขยายไปได้ไม่ไกลนัก ฉะนั้นเขาจึงสัมผัสไม่ถึงมังกรแดงฉาน ศพพิษขั้นวิญญาณหมานรวมถึงหุ่นเชิด ทว่าสุดท้ายซูหมิงก็มีสีหน้ามืดทะมึน

เวลาค่อยๆ ผ่านไป พริบตาเดียวก็สิบวัน สิบวันนี้ซูหมิงยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ เขาเก็บจิตสัมผัสไปแล้ว และใช้เวลาสิบวันนี้ปรับสมดุลขั้นพลัง

ส่วนหนอนงูน้อย หลังจากสิบวันให้หลังก็ผลัดเปลี่ยนสำเร็จ มันส่งเสียงร้องสะเทือนฟ้า สีม่วงบนอากาศหายไป สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าซูหมิงคืองูยาวเท่าแขน ทั้งตัวเป็นสีแดงอ่อนและมีความกว้างสองนิ้วมือ!

บริเวณศีรษะงูตัวนี้มีหนังพองขึ้น ตรงระหว่างคิ้วมีรอยเปิด นั่นก็คือดวงตาที่สาม เพียงแต่ว่าดวงตานี้ยังคงหลับตา

ดวงตาของมันลุ่มลึก ไม่ว่าจะมองไปทางใด มวลอากาศโดยรอบสายตาจะบิดเบี้ยว ราวกับมีพลังบางอย่างถูกดวงตามันดูดเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

เสียงร้องของงูน้อยแฝงไว้ด้วยความชั่วร้าย แต่หลังจากนั้นที่มันมองซูหมิง แววตาก็มีความอ่อนโยนและเหมือนมีที่พึ่งพา มันตรงเข้ามาหาซูหมิง ส่งเสียงร้องด้วยความดีใจปานเด็กน้อยกำลังเพลิดเพลินอยู่หน้าผู้ใหญ่

ซูหมิงยิ้มพลางมองงูน้อย ผ่านไปพักใหญ่ก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า

“ไปกันเถอะ พวกเราออกไปจากที่นี่กัน”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!