Skip to content

สู่วิถีอสุรา 632

ตอนที่ 632 ถูกขาย…

การลอกแบบครั้งแรกในชีวิตซูหมิงสร้างขึ้นเป็นวิชาหมานสังหาร แม้วิชานี้จะยกระดับขึ้นตามขั้นพลังและใช้ไม่บ่อยนัก ทว่ามันกลับเป็นธรณีประตูบานแรกให้ก้าวสู่ผู้แข็งแกร่งของซูหมิง

จากนั้นการลอกแบบครั้งที่สองก็สร้างเป็นความเร็วของนกยักษ์ ทำให้ความเร็วมากเกินกว่าขีดจำกัดร่างกาย ทั้งยังช่วยให้ตระหนักรู้ในวายุจนได้รับสืบทอดหมานวายุ และได้เรียนรู้สามรูปแบบแยกวายุ

จนกระทั่งตอนนี้ ระหว่างต่อสู้กับเซินตง ในกระบวนท่าสุดท้ายจากสามอภินิหารที่นัดแนะกันไว้ ซูหมิงได้ทำการลอกแบบอีกครั้ง!

ครั้งนี้ไม่มีกระดานภาพ เพราะหัวใจเขาคือกระดานภาพ ครั้งนี้ไม่มีพู่กันในมือเช่นกัน เพราะจิตวิญญาณเขาคือพู่กันแห่งฟ้าดิน!

เขาใช้วัฏจักรของซู่มิ่งย้อนเวลากลับมาเพื่อสังเกตการณ์การเปลี่ยนแปลงของสัญลักษณ์ดำทึบ แล้วลอกแบบผสานรวมจิตใจและวิญญาณ ยามนี้ในดวงตาซูหมิง โลกที่เขามองเห็นเป็นหมอกดำขมุกขมัว ตั้งแต่ปรากฏจนรวมตัวเป็นสัญลักษณ์ สุดท้ายก็ระเบิดออก สิ่งที่เหนี่ยวนำมันมิใช่พลังจากขั้นพลัง ไม่ใช่พลังชีวิตในฟ้าดิน ไม่ใช่พลังวิญญาณแห่งฟ้า แต่เป็นพลังแห่งความตายเสี้ยวหนึ่งที่คงอยู่ท่ามกลางความลึกลับ

พลังนี้ทำให้สีหน้าซูหมิงเปลี่ยนอารมณ์ หัวใจเต้นแรงขึ้น หรี่ตาลง ลมหายใจยังกระชั้นตามมา

เขารู้ว่าเพราะเหตุใดถึงปรากฏอุโมงค์ยักษ์บนฟ้าก่อนหน้านี้ เขารู้ถึงต้นกำเนิดความแข็งแกร่งของสัญลักษณ์ดำทึบ เขาเห็นแล้ว อุโมงค์ด้านบนไม่ได้มาจากฟ้าที่ถล่มทลาย แต่มันมาจากหมอกมรณะหยินซึ่งอยู่เหนือฟ้าขึ้นไปอีก มันราวกับรับรู้ถึงการเรียกหาเลยแหวกฟ้ามาเยือน

นี่คือหมอกแห่งมรณะหยิน มันคือพลังแห่งหมอกมรณะหยินจากนอกผืนฟ้า!

‘ผนึกมรณะหยินเจ็ดยมโลก…ผนึกโลกันตร์!’ นัยน์ตาซูหมิงเปล่งประกาย หากไม่ใช่เพราะร่างซู่มิ่ง เขาคงมองต้นกำเนิดของผนึกโลกันตร์ทะมึนไม่ออก หากไม่ใช่เพราะย้อนเวลา เขาคงไม่เห็นการดับสลายของผนึกอย่างสมบูรณ์แบบ!

หากไม่ใช่เพราะเคยลอกแบบมาก่อนตอนอยู่บนยอดเขาลำดับเก้า และใช้การลอกแบบมาทำจิตใจสงบ เขาคงมองต้นกำเนิดผนึกมรณะหยินเจ็ดยมโลกไม่ออกในแวบเดียว!

นัยน์ตาซูหมิงเริ่มสะท้อนแสงดำ สีดำนี้เกิดเพียงชั่วครู่ก็หายไป จากนั้นจึงเขาหลับตาลง

เซินตงในยามนี้เบิกตากว้าง ทั้งเหลือเชื่อและตื่นตะลึง สายตาที่มองซูหมิงฉายแววเหลือเชื่อ

‘อภินิหารเมื่อครู่…ย้อนเวลา…ใช้อภินิหารนี้เพื่อสังเกตผนึกมรณะหยินของข้า ไม่อยากเชื่อว่าเขาจะมองเงื่อนงำออก และดูจากท่าทางแล้วเหมือนจะเข้าใจด้วย…บุคคลผู้นี้มีทักษะการทำความเข้าใจแบบใดกันแน่ หากเขาเข้าใจผนึกมรณะหยินเจ็ดยมโลกจริงๆ ขะ….ข้า…..เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้!’ เซินตงยิ้มเฝื่อน เขาจำได้ว่าตอนตนฝึกผนึกมรณะหยินเจ็ดยมโลกต้องใช้เวลานานมาก จนถึงตอนนี้เพิ่งพอใช้ได้เพียงผนึกแรก

หากซูหมิงมองแวบเดียวแล้วรู้ถึงต้นกำเนิดกับแก่นของมันจริงๆ เรื่องนี้จะกระทบต่อจิตใจเซินตงอย่างรุนแรง

ขณะเซินตงยิ้มฝืดเฝื่อน ซูหมิงก็ลืมตาขึ้น น้ำวนหมอกดำในดวงตาขยับเล็กน้อย ทำให้เขาเห็นได้ในชั่วพริบตาหนึ่ง ในใจพลันเกิดเสียงดังกระหึ่มขึ้น

“ขอบคุณวิชาของสหายเซินมาก!” ซูหมิงเพ่งสายตามอง น้ำวนดำในดวงตาหายไปแล้ว สีหน้าเขาเคร่งขรึมยามประสานมือคารวะเซินตง

เซินตงตะลึงงัน กล่าวด้วยความลังเลว่า

“จะ….เจ้าเรียนรู้ได้แล้วรึ?”

“ยังมีบางจุดที่ไม่เข้าใจอยู่ ได้เห็นเพียงแวบเดียวเลยมองออกถึงเงื่อนงำเล็กน้อยเท่านั้น วิชานี้ต้องใช้จิตมรณะของตนเองเหนี่ยวนำพลังความตายในปฐพี แล้วสร้างเป็นวงแหวนอาคมเพื่อเรียกหมอกแห่งมรณะหยินจากนอกฟ้ามา หลังจากเชื่อมเข้าด้วยกันแล้วก็จะระเบิดออกมาเป็นกลิ่นอายมรณะหยินที่เต็มไปด้วยความตาย!”

ซูหมิงกล่าวอย่างเรียบนิ่ง

เซินตงลมหายใจกระชั้น สายตาที่มองซูหมิงมีความตระหนก ตกตะลึง ซับซ้อน และขมขื่น ผ่านไปพักใหญ่ก็ส่ายหน้าพลางฝืนยิ้ม

“สหายมีทักษะการทำความเข้าใจสูง ในรุ่นเดียวกันแซ่เซินเคยเห็นจากเยี่ยวั่งคนเดียวเท่านั้น การประมือครั้งนี้จบลงแล้ว ข้าเป็นฝ่ายแพ้ ต่อให้เมื่อครู่ใช้ผนึกมรณะหยินเจ็ดยมโลก ด้วยอภินิหารการย้อนเวลาของสหายเมื่อครู่ก็เพียงพอจะทำลายวิชานี้แล้ว” เซินตงสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วประสานมือคารวะซูหมิง

“การประมือในวันนี้สนุกจริงๆ แซ่เซินเองก็ได้ความรู้ไม่น้อย รู้สึกรางๆ ว่าเหมือนใกล้จะทะลวงขั้นพลังแล้ว เรื่องนี้ต้องขอบคุณสหายมาก…

ทว่าสหายจะต้องระวังเอาไว้ ผู้อาวุโสขั้นทรงอำนาจในสำนักวิญญาณอสูรตายไป เรื่องนี้ไม่ใช่เล็กๆ ข้าเองก็มีส่วนรับผิดชอบอยู่ จะต้องรายงานเบื้องบน…จากนี้หวังว่าสหายจะปลอดภัย” เซินตงกล่าวพลางมองซูหมิงด้วยนัยลึกล้ำแวบหนึ่ง จากนั้นหมุนตัวกลายเป็นสายรุ้งจากไป

ซูหมิงมองเซินตงไกลออกไป ผ่านไปพักใหญ่ ในดวงตาถึงมีน้ำวนหมอกดำปรากฏอีกครั้ง ขณะน้ำวนหมอกหมุนโคจร ซูหมิงค่อยๆ ยกมือขวาขึ้น ในนั้นมีน้ำวนหมอกดำวนเวียนรอบๆ และมีกลิ่นอายมรณะวูบวาบอยู่บางๆ

“เจ้าไม่ใช่คนของโลกมรณะหยิน การใช้วิชานี้ย่อมยาก…ผู้อาวุโสที่สร้างอภินิหารนี้ขึ้นจะต้องมาจากแดนมรณะหยินอย่างแน่นอน…

เซินตงบอกว่าเขาเรียนวิชานี้มาจากแดนเซียน ในเมื่อเป็นเช่นนั้น…ผู้อาวุโสที่สร้างอภินิหารนี้ หากมาจากแดนมรณะหยินจริงๆ แล้วเขา…ออกไปได้อย่างไร?”

“สักวันหนึ่งข้าจะออกจากฟ้าผืนนี้…ก้าวไปในโลกของพวกเจ้า ข้ารู้สึกว่าวันนั้นอยู่ไม่ไกลแล้ว” ซูหมิงพึมพำเบาๆ กำหมัดขวาแน่น หมอกดำในมือหายไป ก่อนจะหมุนตัวสาวเท้ายาวมุ่งหน้าไปยังซุ้มประตูภูเขาของสาขาย่อยสำนักซ่อนมังกรที่เขาตรวจพบยามรุ่งอรุณ

แทบเป็นขณะเดียวกับที่ซูหมิงเดินไปทางซุ้มประตูภูเขาสำนักซ่อนมังกร บนฟ้าไร้ที่สิ้นสุด ภายในชั้นเมฆที่ถูกปกคลุมด้วยสีดำ มีศีรษะมังกรยักษ์โผล่ออกมา

ศีรษะมังกรนี้เป็นสีเหลืองธุลีดิน ใบหน้าเคร่งขรึมเผยความดุร้าย มันก้มหน้าพลางกวาดสายตามองแผ่นดิน เหมือนกำลังหาร่างซูหมิง บนตัวมันมีเด็กสาวนั่งอยู่คนหนึ่ง เด็กสาวคนนี้มีใบหน้าเลือดฝาด ในมือถือเมล็ดแตงโม แทะไปพลางสอดส่ายสายตาไปพลาง ให้ความรู้สึกปราดเปรียว

“คนผู้นี้เป็นชาวเผ่ายมโลกที่หายากยิ่งในโลกแท้จริงจักรพรรดิยมโลกของเรา ตำนานเล่าว่าชนเผ่านี้สูญสิ้นไปแล้ว…และเขายังมีทักษะการทำความเข้าใจสูง…กระทั่งข้าเห็นว่าตอนเขาต่อสู้กับเซียนนักรบระดับล่างแห่งโลกแท้จริงดาราสัจธรรม…ก็มีนิมิตหมายแห่งยมโลกปรากฏขึ้นแล้ว ไม่นึกเลยว่าจะได้มาเจอคนแบบนี้ที่นี่!” เด็กสาวมีดวงตาเฉียบคม ไม่รู้ว่านึกถึงอะไรอยู่ นางจึงค่อยๆ เผยยิ้ม ในรอยยิ้มนั้นมีความลำพองใจ

“เขาเป็นคนแห่งโลกแท้จริงจักรพรรดิยมโลก ทั้งยังเป็นชาวเผ่ายมโลกที่หาตัวจับยาก และมีทักษะการทำความเข้าใจระดับนี้ มิหนำซ้ำยังปรากฏนิมิตหมายยมโลก… เจ้าคนนี้ข้าจะขายเท่าไรดี?

จะขายให้ใครดี? จะขายให้ตาแก่หมิงหวังหรือเป็นยายแก่ฝูสุ่ย หรือให้หมิงหวง (จักรพรรดิยมโลก) ดี?” เด็กสาวคิดไปคิดมาก็พลันมีชีวิตชีวา นางไม่กินเมล็ดแตงโมแล้ว แต่นัยน์ตาฉายแววตื่นเต้น

“ช่างเถอะ จะขายก็ต้องขายให้หมด แบบนี้ถึงจะไม่เสียแรงที่ข้าช่วยชีวิตเขาเอาไว้ก่อนหน้านี้ เช่นนั้นนี่ก็ถือเป็นค่าตอบแทนแล้วกัน แต่ถ้าขายให้หมิงหวง ตาแก่นั่นทั้งใจดำและขี้เหนียวนัก คงไม่จ่ายให้ข้าแม้แต่แดงเดียว!”

ครั้นมังกรเหลืองได้ยินนางกล่าว มันพลันตัวสั่นและมีสีหน้าตื่นกลัว

เด็กสาวมีสีหน้าลำพองใจยิ่งกว่าเดิม ก่อนยกมือขวาคว้าไปทางศีรษะมังกรเหลือง มังกรตัวสั่น ก้มหน้าลงตามสัญชาตญาณ ยังผลให้เด็กสาวคนนั้นคว้าได้อากาศ

“เสี่ยวหวง เจ้ามันดื้อ!” เด็กสาวถลึงตามอง ทว่าน้ำเสียงกลับหวานยิ่งนัก หากฟังโดยไม่มองสีหน้า เป็นต้องอ่อนยวบไปทั้งตัวอย่างควบคุมไม่ได้

มังกรเหลืองไม่ดุร้ายและเคร่งขรึมอีก แต่กลับซึมเซาแล้วหลับตาลง ยามนี้เด็กสาวใช้มือขวาจับศีรษะมังกรเหลืองแล้วกระชากมา มังกรเหลืองเจ็บปวด เคราบนศีรษะถูกนางดึงมาสามเส้น

นางหยิบเครามังกรมาเส้นหนึ่งก่อนอ้าปากเล็กเป่าเบาๆ กลิ่นอายประจำตัวนางลอยไปสายหนึ่ง ตอนที่สัมผัสกับเครา เคราเส้นนั้นพลันลุกไหม้ด้วยตัวมันเอง

ครั้นเครามังกรลุกไหม้ก็มีควันขาวลอยโชย ทว่ากลับไม่หายไปไหน มันมารวมอยู่กลางอากาศเป็นวงกลม ในวงกลมนั้นขุ่นมัวเห็นไม่ชัดเจน

“ปู่หมิงหวัง ข้ารู้ว่าท่านได้ยิน ไม่ต้องหลบแล้ว” เด็กสาวกะพริบตาปริบๆ กระแอมไอทีหนึ่ง แล้วกล่าวเสียงหวาน

ในวงกลมยังคงขุ่นมัว ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ดูจากลักษณะแล้วควันขาวกำลังหายไปอีกด้วย เหมือนว่าอีกไม่นานก็จะหายไปจนหมด

“นี่ ข้าเจอคนที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมคนหนึ่ง ข้าอุตส่าห์บอกท่านเป็นคนแรก แต่ในเมื่อท่านไม่อยู่ เช่นนั้นก็ช่างเถอะ ข้าจะไปหายายฝูสุ่ย…” เด็กสาวทำสีหน้าเสียดาย ทว่ามองวงกลมตาไม่กะพริบ พอเห็นควันขาวจางลงเรื่อยๆ นางก็กลอกตา

“ช่างเถอะ ชาวเผ่ายมโลกกับปู่หมิงหวังคงไม่มีชะตาต่อกัน ช่างเถอะ…” เด็กสาวกล่าวพลางยกมือขวาขึ้น หมายมั่นจะสะบัดให้วงกลมหายไป

ทว่าตอนที่นางกล่าวประโยคสุดท้าย ควันที่กำลังจางลงพลันหยุดชะงัก ไม่หายไปอีกแต่สมจริงขึ้นอย่างเร็วรี่ ความขุ่นมัวข้างในหายไปแล้วชัดเจนยิ่งขึ้น

ข้างในนั้นเป็นห้องลับห้องหนึ่ง ในห้องลับมีชายชราผมขาวนั่งขัดสมาธิอยู่ ชายชราคนนี้ร่างเลือนราง มองเห็นใบหน้าไม่ชัดเจน แต่กลับรู้สึกได้ว่าดวงตาเหมือนกำลังมองเด็กสาวผ่านควันวงกลม

“ตาเฒ่าหมิง ไม่ได้เจอกันนาน” เด็กสาวยิ้ม ยกมือขึ้นทักทาย

“หึ เสียมารยาท ไม่ได้เรื่อง! เจ้าก็ชอบเป็นเสียอย่างนี้ บ้าๆ บอๆ ตลอดทั้งวัน ครั้งนี้ถึงขั้นขโมยวิญญาณข้ามโลกเพื่อหนีงานแต่งกับคุณชายสี่แห่งจักรพรรดิยมโลกเลยเชียว เจ้ารู้หรือไม่ว่าก่อเรื่องใหญ่อะไรเอาไว้!”

“เฮ้อ ข้าก็บอกท่านแล้วตาเฒ่า เรื่องส่วนตัวของข้าท่านมาเกี่ยวอะไรด้วย ข้าหนีงานแต่งเอย วิญญาณข้ามโลกอะไรนั่นด้วย ข้าไม่เห็นจะรู้เรื่อง…” เด็กสาวถลึงตามองพลางกล่าวด้วยความโมโห ส่วนตอนเอ่ยถึงวิญญาณข้ามโลก นางมีสีหน้าสับสน

มังกรเหลืองใต้ร่างนางยามนี้มีสีหน้าขมขื่น ขณะกำลังจะก้มหน้าก็มีเสียงชายชราแว่วมาจากในวงควันอีก

“เอาเถอะ เรื่องนี้ข้าก็ไม่อยากสนนักหรอก เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเผ่ายมโลกรึ?” ชายชราเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ในที่สุดก็เอ่ยเรื่องที่เขาต้องปรากฏตัวขึ้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!