ตอนที่ 659 เปิดผนึกยมโลก
“คนผู้นี้เป็นใคร!”
“เด็กหนุ่มคนนี้อายุราวสิบห้าสิบหกปี คนที่เขาต่อสู้ด้วยคือ…จักรพรรดิสวรรค์ตี้เทียน! ไม่คิดเลยว่าจะเป็นท่านตี้เทียน!”
“ประมือกับท่านตี้เทียนหนึ่งกระบวนท่าโดยไม่สูญสลายไป และยังไม่กระเด็นถอยแม้แต่น้อย แต่กลับบุกโจมตีต่อ…..นะ….นี่มัน….”
พอหมอกหายไป สายตาหลายหมื่นคนพลันจับจ้องซูหมิงกับตี้เทียน ก่อนเกิดเสียงดังเกรียวกราวขึ้นในทันที
ทุกอย่างเป็นเพราะตี้เทียน!
หากคู่ต่อสู้ของซูหมิงไม่ใช่ตี้เทียนคงยากจะสร้างความสนใจและเสียงเกรียวกราวเช่นนี้ ฐานะตี้เทียนสูงส่งจริงๆ เป็นหนึ่งในสามราชันห้าจักรพรรดิแห่งเผ่าเซียน และยังเป็นคนที่แกร่งที่สุดในสำนักเซียนที่มาเยือนบนแดนหมาน แม้จะเป็นเพียงร่างแยกมิใช่ร่างจริงก็ตาม ทว่าถึงจะเป็นร่างแยก แต่ก็มีพลังที่ทุกคนต้องเงยหน้ามอง ทำให้คนที่กำลังต่อสู้กันอยู่ลมหายใจเหมือนแข็งค้าง สีหน้าดูเหลือเชื่อ
โดยเฉพาะคนที่รู้จักซูหมิงมีสีหน้าเหลือเชื่อยิ่งกว่า เป่าชิวเหม่อมองฟ้าอยู่บนสนามรบ ในความคิดมีเสียงดังอื้ออึงและปั่นป่วน แม้จะรู้ว่าซูหมิงไม่ธรรมดา และยังเห็นอีกฝ่ายสู้กับเซินตงด้วยตาตัวเองแล้ว แต่นางไม่นึกเลยว่าซูหมิง…จะกล้าลงมือกับตี้เทียน!
ตี้เทียนเป็นใคร เขาคือหนึ่งในห้าจักรพรรดิ
เป็นผู้ที่อยู่จุดสูงสุดของหอคอยอันแข็งแกร่งที่สุดในแดนเซียน คนแบบนี้แม้เป็นเพียงร่างแยกก็เพียงพอจะให้ฟ้าดินถอดสีได้
เป่าชิวมีสีหน้าตะลึงงัน ผ่านไปพักหนึ่งก็ยังไม่ฟื้นกลับมา
โดยเฉพาะเมื่อนางเห็นการโจมตีเมื่อครู่ของซูหมิงกับตี้เทียน ถึงซูหมิงจะเป็นฝ่ายลอบโจมตี แต่กลับรอดชีวิตจากการโจมตีของตี้เทียนได้ มันก็มากพอจะให้นามของเขาสั่นสะเทือนฟ้าดินแล้ว
นางไม่รู้เลยว่านี่ไม่ใช่การต่อสู้ครั้งแรกระหว่างซูหมิงกับตี้เทียน จริงๆ แล้วนี่คือครั้งที่สาม!
ครั้งแรกซูหมิงสังหารร่างแยกหนึ่งตนของตี้เทียน แม้จะใช้พลังแห่งเทพหมาน ทว่าร่างแยกตี้เทียนก็ตายจริงๆ
ครั้งสองซูหมิงบาดเจ็บสาหัส แต่ตี้เทียนก็ต้องจ่ายราคาเช่นกัน ทำให้เขาตกอยู่ในสภาพย่ำแย่!
ตอนนี้คือครั้งที่สาม อีกทั้งด้วยขั้นพลังของเป่าชิว นางจึงมองเห็นว่าซูหมิงลอบโจมตี แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น เพราะใช่ว่าตี้เทียนจะไม่เตรียมตัว การโจมตีเมื่อครู่คือการปะทะกันจริงๆ
เฉียนเฉินแกล้งตายอยู่ แต่เมื่อหมอกหายไปจึงเห็นการต่อสู้ระหว่างซูหมิงกับตี้เทียนกลางอากาศ เขาตัวสั่นเทิ้ม ออกแรงขยี้ตาด้วยสีหน้าอึ้งงัน
‘ยอดฝีมือ…เจ้าคนนี้เหี้ยมโหดยิ่งนัก มะ….ไม่อยากเชื่อว่าจะสู้กับตี้เทียน…จบสิ้นแล้ว ยังทำงานไม่เสร็จเลย…เขาต้องตายแน่ๆ…’ เฉียนเฉินใจเต้นระรัว ถึงคำพูดจะไม่ดีต่อซูหมิง แต่ส่วนลึกในใจเขากลับตื่นเต้นขึ้นมา
สายตาที่มองซูหมิงเหมือนได้รู้จักคนใหม่
และยังมีเซินตง เขาหน้าเปลี่ยนสีติดกันหลายครั้งมาก มองซูหมิงสู้กับตี้เทียนด้วยความซับซ้อน เวลานี้ร่างเงาผนึกยมโลกเจ็ดเส้นบนฟ้าคุ้นตาเขายิ่งนัก
นี่ก็คือผนึกมรณะหยินเจ็ดยมโลกที่เดิมทีเป็นอภินิหารของเขา
นี่เป็นหนึ่งในสาเหตุที่มองแวบเดียวก็รู้ฐานะของซูหมิง คนที่ประมือกับเขาเมื่อหลายวันก่อนสร้างภาพจำลึกซึ้งอย่างยิ่งแก่เขา นอกจากนี้การต่อสู้ครั้งนั้นยังให้ความรู้ให้เขาไม่น้อย แต่เขาไม่คิดเลยว่าการเจอกันครั้งที่สองจะอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
เขาพลันนึกถึงความปั่นป่วนระหว่างสำนักอสูรกับสำนักเซียนก่อนหน้านี้ทันที ดูแล้วน่าจะเป็นฝีมือบุคคลนี้ และที่อีกฝ่ายทำเช่นนั้นก็เพราะว่า…..
‘เขาคิดสังหารตี้เทียน!’ เซินตงใจสั่นสะท้าน เขารู้สึกเหลวไหลกับคำตอบที่ได้รับอย่างยิ่ง แต่ภาพตรงหน้ายามนี้ ท่าทางเช็ดมุมปากหลังถอยร่นของตี้เทียน และยังมีกลิ่นอายพลังที่แก่กล้าขึ้นจากซูหมิง สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาต้องสูดลมหายใจเข้าลึก
ในสายตาเซินตง ซูหมิงตอนนี้เปลี่ยนไปมากเมื่อเทียบกับตอนสู้กันครั้งแรก นี่มันไม่ใช่ความรู้สึกระดับชั้นเดียวกันเลย หากเป็นอีกฝ่ายสู้กับตนตอนนี้ เกรงว่าเพิ่งเริ่มก็คงจะจบในทันที
“เป็นเขา…เป็นเขา…” เสียงพึมพำแว่วมาจากข้างกายเซินตง ผู้เอ่ยคือปี้ถู่แห่งสำนักกระหายอสูร เขามองร่างซูหมิงบนฟ้า เวลานี้ทั่วร่างหนาวสั่น บุคคลที่ประมือกับตี้เทียนได้คนนี้ทำให้ความคิดจะตามหาอีกฝ่ายเพื่อฆ่าล้างแค้นหายไปโดยพลัน
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดตอนมองซูหมิงถึงมีความรู้สึกคุ้นเคยรางๆ เกิดขึ้นในใจ รูปลักษณ์กับอภินิหารของอีกฝ่ายช่างแปลกตานัก ส่งผลให้บางคราวความรู้สึกคุ้นเคยนี้ผุดขึ้นมาอย่างกะทันหันและพิลึกซับซ้อน
ความจริงแล้ว…คนที่เกิดความรู้สึกคุ้นเคยตรงส่วนลึกในใจไม่ใช่ปี้ถู่คนเดียว
ใบหน้าคุ้นเคยทั้งหมดในความทรงจำซูหมิง ช่วงที่มองเขางจากบนสนามรบล้วนเกิดความรู้สึกคุ้นเคยในใจ
หากแต่ความคุ้นเคยนี้ขัดแย้งกับความแปลกตาตรงหน้า ชวนให้ทุกคนที่เกิดความรู้สึกนี้บอกไม่ถูก แต่คิดว่าตนคงคิดไปเอง
มีเพียงเป่ยหลิงกับเฉินซิน แม้รูปลักษณ์ซูหมิงจะเปลี่ยนไป แต่พอสองคนนี้เห็นซูหมิงแล้ว ความรู้สึกคุ้นเคยและภาพตอนเจอกันนอกสำนักเหมันต์สวรรค์กลับซ้อนทับกัน กลายเป็นความซับซ้อนบนสีหน้า
และยังมีหญิงอาภรณ์ขาวจากสำนักเซียน ตอนนี้ใบหน้าซีดขาว ทว่ากลับไม่รู้สึกเสียใจกับการเลือกของตนก่อนหน้านี้ ภาพในตอนนี้ประทับตราอย่างชัดเจน หากก่อนหน้านี้นางเปิดโปงอีกฝ่ายจนส่งผลกระทบถึงแผนการสังหารตี้เทียน เช่นนั้นสิ่งที่รออยู่คงเป็นความตาย
ความตายของตนยังไม่เท่าไร เพราะในเมื่อบุคคลนี้กล้าสู้กับตี้เทียนและวางแผนสังหารเช่นนี้ แน่นอนว่าต้องมีความมั่นใจอย่างแน่นอน คนแบบนี้…หากล่วงเกินไปมีโอกาสสูงมากที่จะสร้างภัยพิบัติครั้งใหญ่ให้กับสำนักตน!
ซูหมิงจ้องตี้เทียน เขารู้ว่าตอนนี้สายตาคนนับหมื่นมองตนอยู่ แต่กลับไม่สนใจแม้แต่น้อย ในโลกของเขาตอนนี้มีเพียงตี้เทียน
ในความคิดก็มีเพียงอย่างเดียวคือสังหารตี้เทียน!
รอบกายเขา ร่างมายาใหญ่ยักษ์สีดำเจ็ดสายเชื่อมฟ้าดิน รวมเป็นแรงกดดันที่ไม่อาจบรรยาย ทำให้ฟ้าดินไร้สีสัน แผ่นดินสั่นสะเทือน และตี้เทียนมีสีหน้าจริงจัง
ยิ่งผนึกมรณะหยินเจ็ดยมโลกสูบกลิ่นอายมรณะมากเท่าไร พลานุภาพของมันจะยิ่งมากเท่านั้น ผนึกในเวลานี้สูบกลิ่นอายมรณะของหลายหมื่นคน หลังจากซูหมิงใช้ผนึก ร่างมายาเจ็ดสายพลันสมจริงขึ้นมา
พวกมันสวมอาภรณ์ยาวสีดำ มีกลิ่นอายมรณะเข้มข้น ปกปิดใบหน้าไว้ ร่างเงาเจ็ดตนนี้จึงเหมือนกับราชายมโลก ขณะเดียวกับที่แผ่ความน่าเกรงขามก็คล้ายจะเชื่อมต่อกับโลกแห่งความตายด้วย
พวกมัน…..เดินพร้อมกันมาตัวอยู่รอบตี้เทียน วินาทีที่พวกมันล้อมตี้เทียนไว้
ซูหมิงก็เอ่ยเสียงดังสนั่นฟ้าดิน เข้าถึงหูทุกคนซึ่งกำลังสนใจการต่อสู้ครั้งนี้อยู่
“เจ็ดยมโลก…”
หลังซูหมิงตะโกน ร่างเงาเจ็ดตนเงยหน้าพร้อมเพรียงกัน ก่อนมีแสงหม่นวูบวาบออกมาจากชุดคลุมพวกมัน ในเวลาเดียวกัน กลิ่นอายมรณะที่เข้มข้นถึงขีดสุดปล่อยมาจากร่างเงาเจ็ดตนนั้นในทันที ก่อนจะปกคลุมฟ้าและผนึกปฐพี
เวลานี้รังสีสะท้อนจากฟ้าดินเลือนรางและบิดเบี้ยว โลกทั้งใบราวกับสูญเสียสีสันมันวาวไปมาก กลายเป็นความกว้างใหญ่สีขาวและดำ
“มรณะหยิน…” ซูหมิงตะโกนเสียงต่ำ ร่างเงาเจ็ดตนนั้นโค้งตัวพร้อมกัน คำนับให้ตี้เทียนซึ่งถูกล้อมอยู่ตรงกลาง!
ทันทีที่คารวะ ซูหมิงลอยขึ้น ก่อนยกมือขวากดมือไปบนฟ้า
“ผนึกยมโลก จงเปิด!”
ตี้เทียนชุดคลุมม่วงหน้าเปลี่ยนสี ช่วงที่ร่างเงาเจ็ดตนรอบตัวคำนับ เขารู้สึกว่าพลังชีวิตของตนหายไปอย่างรวดเร็ว ประหนึ่งว่ารูปแบบชะตาของตนรับการคำนับของเจ็ดร่างเงาใหญ่นี้ไม่ไหวจึงหายไปอย่างรวดเร็ว ภาพจำแห่งความตายมาเยือนเป็นครั้งแรก
ตี้เทียนในชุดคลุมม่วงแค่นเสียงหึเย็นชา ยกมือขึ้นทำสัญลักษณ์มือเพื่อต้านอภินิหารของซูหมิง เขามีความมั่นใจว่าจะสังหารซูหมิงที่นี่ได้ และจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์ตามหาอีกฝ่ายไม่พบอีก
การล่อซูหมิงมาในครั้งนี้ เขาถึงขั้นยอมใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ ขณะนี้กำลังยกมือขวาขึ้นทำสัญลักษณ์มือ เขามั่นใจเก้าส่วนว่าจะทำลายล้างอภินิหารของอีกฝ่ายได้อย่างแน่นอน
ทว่าทันทีที่ยกมือขวาขึ้นกำลังจะทำสัญลักษณ์มือ ซูหมิงกลับเอามือซ้ายล้วงเข้าไปในอกเสื้อ ก่อนบีบตุ๊กตาหญ้าในนั้น
ตี้เทียนร่างสั่นไหวไปทุกส่วนในเวลาเดียวกัน กลิ่นอายพลังในร่างเหมือนเสียการควบคุม ทั้งยังเกิดความปั่นป่วนอย่างพบเห็นได้ยาก
ความปั่นป่วนนี้ถือเป็นเรื่องไม่คาดคิดสำหรับเขา โดยเฉพาะตอนสู้กับซูหมิงแล้วกลับเกิดความปั่นป่วนขึ้น เขาจึงตะลึงงันไปครู่หนึ่ง แม้ชั่วพริบตาเดียวจะระงับความปั่นป่วนเอาไว้ได้ ทว่า…..มันก็สายเกินไป!
หลังจากร่างเงาเจ็ดตนคำนับ ฟ้าดินก็ส่งเสียงครึกโครม
กระทั่งจี๋อั้นกับตี้เทียนชุดคลุมทองยังเปลี่ยนสีหน้าอารมณ์พลางถอยออกมา จากนั้นเห็นว่าชั้นเมฆบนฟ้าม้วนตลบออกเป็นวงกว้างจนเผยฟ้าแจ่มใส!
ท้องฟ้าประหนึ่งปรากฏรอยร้าวอย่างรวดเร็ว ตามด้วยเสียงอึกทึก จนเมื่อฟ้าแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แล้วก็เหมือนถูกเปิดเป็นอุโมงค์แห่งหนึ่ง มีหมอกกลิ่นอายมรณะเหลือคณนานับหลั่งทะลักมาจากในอุโมงค์อย่างบ้าคลั่งราวถูกสูบเข้ามา จากนั้นหมอกมรณะก็ตรงไปหาตี้เทียนพร้อมกับเสียงระเบิดดังกังวานรอบๆ
หากมองไกลๆ จะเหมือนว่ามีเสาหมอกยักษ์พุ่งจากฟ้าลงมายังตี้เทียน
ชั่วขณะที่ตี้เทียนคิดจะหลบ กลับรู้สึกเจ็บปวดในร่างกาย ขั้นพลังปั่นป่วนอีกครั้ง เขาหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง ตอนนี้หลบไม่ทันแล้ว
โครม! เสาหมอกยักษ์หนาร้อยจั้งพุ่งลงมาจากฟ้า หนำซ้ำตี้เทียนยังถูกครอบอยู่ในเสาหมอกอย่างสมบูรณ์ เสาหมอกลงมายังพื้นดินสร้างเสียงครึกโครมดังสนั่นหวั่นไหว แผ่นดินสั่นสะเทือนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ยังผลให้หลายหมื่นคนรอบๆ พากันถอยไป
เวลานี้สายตาหวาดกลัวถึงขีดสุดของหลายหมื่นคนจากทุกมุมล้วนจับจ้องซูหมิง ในสายตาเหล่านั้นมีความตื่นตะลึง เหลือเชื่อ สับสน แต่ที่มากกว่าคือตื่นกลัว