ตอนที่ 695 ดวงวิญญาณออกจากร่าง
ทันทีที่จี๋อั้นจากไป ช่วงที่โลหิตเซียนจากบนพื้นจำนวนมากลอยขึ้นฟ้าตรงไปถึงเมืองหลวงต้าอวี๋ โลหิตเซียนก็อาบลงบนน้ำแข็ง จากนั้นน้ำแข็งก็เริ่มละลายเป็นวงกว้าง
มันละลายมากขึ้นเรื่อยๆ แรงกดดันที่แผ่ออกมารุนแรงขึ้น ยิ่งแรงกดดันนี้รุนแรงขึ้นเท่าไร กฎเกณฑ์ฟ้าดินของเผ่าหมานก็จะยิ่งปะทุออกมา นี่คือวงเวียนหนึ่ง เมื่อวงเวียนนี้อยู่เหนือกว่าเซียน เผ่าเซียนที่มาเยือนเผ่าหมานทั้งหมดจะถูกระงับและลดขั้นพลังอย่างต่อเนื่อง
เมื่อเป็นเช่นนั้น เผ่าหมานก็จะเข่นฆ่าได้อย่างบ้าคลั่งขึ้น
สงครามครั้งนี้ซูหมิงไม่ได้เข้าร่วมอะไรมากนัก ยามนี้เขาเงยหน้ามองวงแหวนอาคมสี่จุดบนฟ้า หลังจากวงแหวนอาคมสี่จุดนี้ปรากฏแล้วหยุดโคจร นี่ไม่ใช่ผลจากแรงกดดันของเมืองหลวงต้าอวี๋ แต่เป็นเพราะแดนเซียนที่เชื่อมอยู่นอกวงแหวนอาคมเหล่านี้กำลังลังเลใจ
การเข่นฆ่าดำเนินต่อไป เสียงกรีดร้องดังกึกก้อง โลกทั้งใบอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือด มีเซียนร่างระเบิดถูกดึงโลหิตม้วนขึ้นฟ้าไม่หยุดหย่อน และกลายเป็นส่วนหนึ่งในการละลายเมืองหลวงต้าอวี๋
โลหิตจำนวนมากทำให้น้ำแข็งของเมืองหลวงต้าอวี๋กลายเป็นสีแดงฉาน ความเร็วในการละลายก็มากขึ้นเรื่อยๆ
ทันใดนั้นเอง วงแหวนอาคมสี่จุดที่หยุดชะงักมาครู่หนึ่งก็มีแสงขยับวูบวาบอีกครั้ง พริบตาเดียวก็เด่นชัดขึ้นหลายเท่า แล้วมีร่างเงาจำนวนมากลงมาเยือน
ครั้นร่างเงามาเยือน พริบตาเดียวเซียนเกือบหมื่นก็ระเบิดพลังแก่กล้า วินาทีที่ปรากฏตัวนั้น กลิ่นอายพลังแก่กล้ากลับหยุดชะงัก เหมือนมีมือใหญ่ไร้รูปกดทับอย่างรุนแรง ทำให้เผ่าเซียนเกือบหมื่นที่แผ่กระจายพลังมาถูกระงับขั้นพลังเหลือประมาณขั้นทรงอำนาจตอนต้น
นี่ก็คือดวงชะตาของเผ่าหมาน กฎของเผ่าหมาน จิตวิญญาณของเผ่าหมาน เมืองหลวงต้าอวี๋ของเผ่าหมาน ภายใต้สายเลือดเผ่าหมานยกระดับ มันก็ส่งผลถึงพลังแห่งกฏเกณฑ์เผ่าหมานด้วย!
ขณะเดียวกัน ชนเผ่าหมานเล็กๆ กับผู้คนที่อยู่กระจัดกระจายกันจำนวนมากก็ตรงเข้ามาจากรอบทิศอย่างไม่ขาดสาย กลายเป็นสายรุ้งยาวกำลังห้อเหยียดเข้ามา พวกเขารู้สึกว่าสายเลือดในร่างกายเดือดพล่าน รู้สึกถึงการปะทุของขั้นพลัง พอเห็นเมืองหลวงต้าอวี๋ ก็พากันเข้ามาร่วมสงครามตามการชี้นำของสายเลือด
ซูหมิงเดินหน้าหนึ่งก้าว หมอกดำรอบตัวพลันรวมขึ้นเป็นเสื้อเกราะชุดหนึ่ง ก่อนยกมือขวาคว้าอากาศ หมอกสีม่วงปรากฏขึ้นและรวมเป็นทวนฝังอสูรในมือขวา!
ซูหมิงกำทวนนี้เอาไว้ กลิ่นอายชั่วร้ายกระจายมาจากทั่วร่าง
ช่วงที่ก้าวเดิน ฟ้าดินส่งเสียงดังสนั่น มีเท้ายักษ์มายาข้างหนึ่งปรากฏขึ้น นั่นก็คือเจ็ดก้าวแห่งเทพหมานของซูหมิง!
เขาเดินรวดเดียวเจ็ดก้าว เท้ามายายักษ์เจ็ดข้างพลันหลอมรวมกันเป็นหนึ่งก้าวเหมือนคนยักษ์ เหยียบลงมายังเซียนเกือบหมื่นที่กำลังมาเยือนจากบนฟ้า เกิดเสียงครึกโครมดังกึกก้อง ซูหมิงกลายเป็นสายรุ้งยาวสีดำเส้นหนึ่งทะลวงเข้าไปในกลุ่มคน จุดที่ผ่านไม่มีเซียนคนใดหยุดเขาได้แม้แต่น้อย
นี่คือการเข่นฆ่ากันในระดับที่ต่างกันอย่างสมบูรณ์ ซูหมิงผู้ก้าวสู่ระดับการสร้างชะตากลายเป็นนักรบรูปแบบชะตาตอนต้น ในโลกหมานแห่งนี้ ตอนนี้เขา…ไร้คู่ต่อสู้!
ไร้คู่ต่อสู้คำนี้ แม้จะเกิดจากสาเหตุต่างๆ โดยเฉพาะการระงับพลังจากกฎ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ซูหมิงตอนนี้…..ก็ไร้คู่ต่อสู้!
ถึงเซียนเหล่านั้นจะกดดันซูหมิงได้ในโลกเซียน แต่เมื่ออยู่บนแดนหมานก็ต้องถูกกฏเกณฑ์จำกัดพลัง จึงยากจะรับมือกับการโจมตีแบบสบายๆ ซูหมิง
ซูหมิงวาดทวนฝังอสูรไป ตอนเดินหน้าก็แทงทวนเข้าไปตรงระหว่างคิ้วชายชราเผ่าเซียนคนหนึ่ง ชายชราคนนี้มีสีหน้าไม่ยอมและสิ้นหวัง ที่ไม่ยอมคือครึ่งตัวเขาเป็นผู้ฝึกฌานก้าวที่สองในแดนเซียน เขาคิดว่าหากอยู่ในแดนเซียน คนที่สังหารตนผู้นี้ไม่มีทางทำสำเร็จ ทว่าที่นี่…เขาทำได้เพียงเก็บความแค้นเอาไว้ในใจ
ซูหมิงสะบัดทวน ร่างชายชราพลันระเบิดกระจุย โลหิตตรงไปยังน้ำแข็งเมืองหลวงต้าอวี๋ จากนั้นซูหมิงเดินหน้าหนึ่งก้าว ใช้มือซ้ายคว้าไปด้านหลังโดยไม่หันมอง
ฉับพลันนั้นชายวัยกลางคนเผ่าเซียนที่ห้อเหยียดเข้ามาจากด้านหลังและใช้กระบวนท่าสังหารพลันรู้สึกเจ็บตรงลำคอจนหายใจไม่ออก เพราะมือซ้ายซูหมิงบีบคอเขาอยู่เหมือนกับที่หนีบ จากนั้นซูหมิงก็ออกแรงบีบจนเกิดเสียงระเบิด ศีรษะชายวัยกลางคนผู้นั้นระเบิด กลิ่นอายมรณะของซูหมิงหลั่งไหลเข้าไปในร่าง และทำลายแก่นวิญญาณกับจิตวิญญาณเขา
หลังจากซูหมิงเข่นฆ่าเป็นการโต้ตอบเซียน กลิ่นคาวเลือดก็เข้มข้นจนยากจะบรรยาย กล่าวได้เพียงว่าแผ่นดินเป็นสีแดง ในสายตาของผู้คน นอกจากน้ำวนบนฟ้าแล้ว ทุกอย่างล้วนเป็น…สีแดง
“สังหาร!” ซูหมิงปาทวนฝังอสูรไปข้างหน้า พลันเกิดเสียงระเบิดดังติดต่อกัน จุดที่มันผ่าน ร่างเซียนจำนวนมากระเบิดเป็นเศษเนื้อ
ฉากการสังหารของซูหมิงกระตุ้นเผ่าหมานอย่างรุนแรง นอกจากนี้ความแกร่งไร้พ่ายของเขายังทำให้เผ่าหมานทั้งหมดที่นี่ร้องคำรามด้วยความตื่นเต้น
พวกเขาจะสังหารเซียนให้สิ้น พวกเขาจะขับไล่เผ่าเซียนออกจากเผ่าหมานให้หมด!
“เทพหมาน!”
“เทพหมาน!” เสียงตะโกนดังกึกก้องสะเทือนฟ้าดิน ทั้งสนามรบพลันกลายเป็นเหมือนขุมนรก
วงแหวนอาคมสี่จุดบนฟ้าเปล่งแสงสว่างจ้าอีกครั้ง ร่างเงาเซียนที่มาเยือนรอบนี้ไม่มากเท่าครั้งก่อน มีราวๆ เจ็ดพันคน พอมาถึงพวกเขาก็ถูกกฏเกณฑ์ของฟ้าดินเผ่าหมานระงับขั้นพลังเช่นกัน จึงใช้ได้เพียงขั้นทรงอำนาจ และแน่นอนว่า…ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซูหมิง
ซูหมิงเข่นฆ่าในสนามรบอย่างไร้พ่าย ม้วนโลหิตนับไม่ถ้วนตรงเข้าไปละลายน้ำแข็งเมืองหลวงต้าอวี๋ ยามนี้พลังของเขาไม่มีใครเทียบเทียมได้
ทว่าศัตรูของหมานคือเซียน จำนวนและอุบายแอบแฝงของเซียนไม่ใช่สิ่งที่หมานจะเปรียบได้ นี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดตอนนั้นเผ่าหมานถึงทำให้หมื่นแดนกราบไหว้ได้ เซียนทำไม่ได้ ทว่าตอนนี้เซียนยังคงอยู่ ยังคงแกร่ง แต่เผ่าหมานเสื่อมถอยจนถึงขีดสุด หากไม่ใช่เพราะซูหมิง เกรงว่าคงไม่ต้องพูดถึงเรื่องการผงาดขึ้นเลย
คงจะค่อยๆ สูญเสียสายเลือด สุดท้ายก็เหมือนคลื่นกระทบฝั่งและหายไป
แทบเป็นช่วงที่ซูหมิงปาทวนฝังอสูรไปยังเซียนเจ็ดพันคนที่มาเยือนอีกครั้ง ทวนนี้ก็กลายเป็นมังกรยาวสีม่วงตัวหนึ่งตรงเข้าไป พร้อมกันนั้นเขากลับแปลกไปอย่างยิ่ง เดิมทีเดินหน้าอยู่ กลับหยุดชะงักชั่วครู่!
ชั่วครู่นี้เกราะฝังอสูรที่รวมจากหมอกดำบนตัวหายไปทันที อีกทั้งเขายังกระอักโลหิต เกิดความเจ็บปวดแทบจะทนไม่ไหวแล่นมาจากในหัวใจ
ความเจ็บปวดนี้มากะทันหันยิ่งนัก ซูหมิงไม่ได้คาดการณ์มาก่อนเลยแม้แต่น้อย พอความเจ็บปวดแล่นเข้ามา ก็เหมือนมีเข็มเล่มหนึ่งแทงลึกเข้าไปในหัวใจ หมายมั่นจะทะลวงหัวใจ
เส้นเลือดดำปูดโปนบนใบหน้า ขณะตัวสั่นก็เงยหน้าขึ้นจ้องน้ำวนวรณะหยินบนฟ้าเขม็ง เขารู้สึกชัดว่ารอบๆ ไม่มีใครลอบโจมตีเขา บาดแผลและความเจ็บพิลึกๆ นี้เหมือนจะส่งมาจากที่อื่น
แทบทันทีที่เจ็บตรงหัวใจ ก็เกิดความเจ็บปวดรุนแรงยิ่งกว่าเดิมตรงระหว่างคิ้ว ราวกับมีหนามเล่มหนึ่งทะลวงเข้าไปในสมอง!
ซูหมิงตัวสั่น ความเจ็บปวดสองจุดนี้ยังไม่ทันหายไป แขนสองข้างก็เกิดความเจ็บปวดสุดจะรับไหว อีกทั้งสองขาก็มีอาการเจ็บปวดแล่นเข้ามาดุจดั่งน้ำหลาก ส่งผลให้เขาคลุ้มคลั่ง
เขากระอักโลหิตกองใหญ่ ร่างโซเซถอยหลัง ภาพเหตุการณ์อย่างกะทันหันนี้ทำให้ชาวเผ่าหมานที่เห็นต่างพากันอึ้งงัน ส่วนทางฝั่งเซียนล้วนมีสีหน้าดีใจ
เซียนจำนวนมากบนฟ้าห้อเหยียดตรงมาหาซูหมิงอย่างไม่ลังเล เสียงระเบิดดังก้องกังวาน อภินิหารจากเซียนจำนวนมากประโคมใส่ร่างเขาพร้อมกัน ทำให้เขาหน้าซีดขาวและกระอักโลหิตอีกครั้ง ขณะกำลังถอยไปเพื่อสวนกลับ ตรงจุดตันเถียนก็ส่งความเจ็บปวดรุนแรงยิ่งกว่าเมื่อครู่มา!
เหมือนกับมีมือหนึ่งล้วงลึกเข้าไปในท้อง จับอวัยวะภายในแล้วกระชากอย่างแรง หมายมั่นจะดึงออกจากร่างกาย ทั่วร่างอาบไปด้วยเหงื่อ กระทั่งสติยังเลือนราง
เห็นเซียนรอบๆ ใช้อภินิหารมาด้วยความตื่นเต้นและเหี้ยมโหดอีกครั้ง พลันมีร่างเงาขยับวูบวาบตรงหน้าซูหมิง ก่อนกลายเป็นศิษย์พี่ใหญ่ยืนอยู่ แล้วใช้ขวานยักษ์ขวางอภินิหารทั้งหมดที่ตรงเข้ามาโจมตีเขาดุจดั่งภูเขาใหญ่
ซูหมิงมีโลหิตไหลจากมุมปากไม่หยุด เหตุการณ์กะทันหันนี้ส่งผลกระทบถึงสงคราม ความร้อนรนของเผ่าหมานส่งผลให้เซียนที่บาดเจ็บล้มตายกันอย่างสาหัสเมื่อครู่ถอนหายใจโล่งอก ก่อนเริ่มสวนกลับ
“ดวงชะตาเผ่าหมาน กลิ่นอายมรณะหยิน!” ซูหมิงกัดปลายลิ้นฝืนเรียกสติให้ตัวเอง ก่อนใช้มือขวากดไปทางแผ่นดิน มือซ้ายชี้ไปยังน้ำวนมรณะหยินบนฟ้า
“ใคร…..ทำร้ายข้า!” ซูหมิงเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้าเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ขั้นพลังรูปแบบชะตาตอนต้นพลันปะทุขึ้น
ขณะพลังปะทุ ซูหมิงหลับตาลง กลับมีร่างเงาลอยขึ้นจากร่าง ร่างเงานั้นคือวิญญาณของดวงจิตเขา มีเพียงนักรบอาณาจักรสร้างชะตาเท่านั้นถึงจะทำแบบนี้ได้ นั่นคือการให้ดวงวิญญาณออกจากร่าง!
ทันทีที่ดวงวิญญาณปรากฏ แผ่นดินรกร้างบูรพา เกาะอรุณใต้ แผ่นดินทวีปเหนือ แผ่นดินพันธมิตรตะวันตก และเขตทะเลมรณะ เห็นด้วยตาเนื้อเลยว่ากลายเป็นสีเทาเสื่อมโทรม นั่นคือพลังชีวิตส่วนของแผ่นดินถูกดวงชะตาเผ่าหมานสูบไปพร้อมกันแล้วตรงมาหาซูหมิง ไหลไปตามมือขวาที่กดลงพื้นดิน เข้าสู่ร่างกาย แล้วทะลวงเข้าไปอยู่กลางดวงวิญญาณ
อีกทั้งในตอนนี้ ภายในน้ำวนมรณะหยินบนฟ้ามีกลิ่นอายมรณะไร้จำกัดตรงเข้ามา ไหลผ่านมือซ้ายซูหมิง ผสานรวมเข้าสู่ดวงวิญญาณ ก่อนให้ดวงวิญญาณม้วนหมอกดำกับดวงชะตาทั้งเผ่าหมานตรงไปยังน้ำวนมรณะหยิน เสียงโครมดังขึ้น ดวงวิญญาณซูหมิงทะลวงเข้าไปในน้ำวนมรณะหยินและกำลังข้ามผ่านอยู่ในนั้น
‘เป็นใครที่โจมตีข้า!’ ความเจ็บปวดทำให้ซูหมิงคลุ้มคลั่ง ดวงวิญญาณของเขามาพร้อมกับจิตสังหารและความบ้าคลั่ง มันทะลวงออกจากแดนมรณะหยินตามการชี้นำในพริบตาเดียว แล้วมาปรากฏอยู่กลาง…ฟ้ากระจ่างดาวของเผ่าเซียน
ยังไม่หยุดแค่เท่านี้ ช่วงที่หมอกดำมรณะรอบดวงวิญญาณเขาถูกแสงสว่างหยางของเซียนระเหยไปอย่างรวดเร็ว เขาก็ข้ามผ่านไปอีกไกลมาก เห็นแผ่นดินนับไม่ถ้วนเรียงรายอยู่กลางฟ้ากระจ่างดาวไกลๆ และเห็นร่างเผ่าเซียนหลายแสนคนหรือมากกว่านั้น
ทว่าพวกนั้นไม่เห็นเขา!
ซูหมิงมีความรู้สึกเด่นชัดว่าต้นตอความเจ็บปวดของตนอยู่ข้างหน้านี้เอง!