Skip to content

สู่วิถีอสุรา 705

ตอนที่ 705 เส้นทางการฝึกฝน

ณ หอคอยรกร้างบูรพา แสงโลหิตหลายร้อยลี้ทำให้หากมองไกลๆ บริเวณภายในจะเหมือนกับขุมนรกสีโลหิต กลิ่นคาวเลือดเต็มไปด้วยความรู้สึกน่าสะพรึงกลัว คนเลยไม่อาจเข้ามาใกล้ โดยเฉพาะแรงกดดันในสีโลหิตนั้น หากมีคนบุกเข้ามาจะเหมือนถูกภูเขาใหญ่กดทับ ยิ่งเข้าใกล้หอคอยรกร้างบูรพาเท่าไร ความรู้สึกยิ่งชัดเจนมากเท่านั้น

ในเวลาหนึ่งปีนี้มีเผ่าหมานปรากฏรอบๆ หอคอยรกร้างบูรพาเป็นบางครั้ง และก็มีคนเคยเข้าไปในแสงโลหิต อยากลองเข้าไปใกล้ ทว่าทุกคนกลับถูกแรงกดดันภายในแสงโลหิตกระแทกใส่จนกระเด็นออกมา

ถึงไม่ตาย แต่จิตในแสงโลหิตกลับแฝงไว้ด้วยความน่าเกรงขาม และการเตือนว่าที่นี่…..ห้ามเข้ามา

เผ่าหมานกำลังตามหาซูหมิง กำลังตามหาเทพหมานของพวกเขา หนึ่งปีมานี้เผ่าหมานหาทั่วแผ่นดินรกร้างบูรพาแล้ว ทว่ากลับไม่เจอเบาะแสใดๆ เลย พวกเขาจึงเริ่มเบนความสนใจไปยังหอคอยรกร้างบูรพา แต่เพราะผนึกแสงโลหิตจึงเข้าไปไม่ได้ ฉะนั้นเลยพิสูจน์ไม่ได้ว่าซูหมิงอยู่ข้างในหรือไม่

ภายในหอคอยรกร้างบูรพาต่างกับม่านแสงโลหิตข้างนอก ภายในเต็มไปด้วยแสงสีทองอร่าม แสงนี้นุ่มนวล อบอวลอยู่บนชั้นหนึ่งของหอคอยรกร้างบูรพา

ซูหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น ร่างกายเขาฟื้นฟูกลับมาสมบูรณ์นานแล้ว ตรงหน้ามีกระบี่สีทองลอยอยู่เล่มหนึ่ง หากมองอย่างละเอียด จะเห็นว่าในสีทองมีแสงครามกำลังดิ้นรนขยับวูบวาบเป็นบางครั้ง

กระบี่เล่มนี้ก็คือกระบี่ครามเจ้าสังหารในตอนนั้น หนึ่งปีมานี้เขาใช้กำลังวังชาและขั้นพลังทั้งหมด ทั้งยังยืมแรงกดดันจากหอคอยรกร้างบูรพามากำราบมันอย่างต่อเนื่อง เดิมทีกระบี่ครามบาดเจ็บภายในจากหมอกมรณะหยินอยู่แล้ว ตัวกระบี่มากกว่าครึ่งจึงกลายเป็นสีทอง

สีทองนี้ก็คือสีภายในหอคอยรกร้างบูรพา ตั้งแต่เริ่มกำราบมา ซูหมิงยังไม่เคยหยุดพักเลยในหนึ่งปีนี้ ยามนี้ขณะหลับตาอยู่ เขาพลันลืมตาขึ้น วินาทีนั้น ในดวงตาเขามีแสงทองวูบวาบ ก่อนยกมือขวาตบไปทางตัวกระบี่

ทันทีที่ตบลงไป แสงทองโดยรอบบิดเบี้ยวเข้ามาวนเวียนรอบมือขวาเขา หลังจากตบบนตัวกระบี่แล้ว แสงทองก็หลั่งไหลเข้าไปในตัวกระบี่ และเริ่มขับไล่แสงครามอีกครั้ง

กระบี่ครามส่งเสียงร้องและสั่นไหว แสงครามในตัวมันขยับวูบวาบเด่นชัด ยังคงดิ้นรนไม่หยุด

ซูหมิงจ้องกระบี่สังหาร แค่นเสียงหึเย็นชา แล้วยกมือซ้ายสะบัดไปรอบๆ แสงทองเป็นวงกว้างพลันรวมเข้ามาอีกครั้ง ก่อนหลั่งไหลเข้าไปในตัวกระบี่เพื่อกำราบต่อไป

“ตอนนี้ข้าควบคุมพลังหอคอยรกร้างบูรพาได้มากกว่าเมื่อปีก่อนสิบเท่าแล้ว…”

ซูหมิงพึมพำ เขามองไปรอบๆ ผนังหอคอย ข้ามเรื่องหอคอยนี้สูงเท่าไรไปก่อน เพียงแค่พื้นที่ชั้นหนึ่งก็หลายร้อยจั้งได้แล้ว และยังมีแสงสีทองโอบล้อมทั้งหมดอีก

เขาจำได้ว่าตอนเพิ่งเข้ามาเมื่อหนึ่งปีก่อน แสงทองที่นี่พุ่งเข้าไปในร่างกายเขาและโจมตีไปมาจนหมดสติไป

ตอนฟื้นขึ้นมา ร่างกายก็ฟื้นกลับมาสมบูรณ์แล้ว กระบี่ครามก็ถูกเส้นสีทองนับไม่ถ้วนพันรอบ มันลอยอยู่กลางอากาศ ไม่อาจดิ้นหลุดไปไหน ทำได้เพียงส่งเสียงร้องกระบี่เล็กแหลม

เมื่อซูหมิงได้สติกลับมา เขารู้สึกอย่างชัดเจนว่าการเชื่อมต่อระหว่างตนกับหอคอยรกร้างบูรพาแนบแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งแสงทองของที่นี่ซึ่งเหมือนเป็นพลังอะไรบางอย่างยังให้เขาหยิบยืมมาใช้ได้

เพียงแต่เขาในตอนนั้นยืมได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่เหมือนตอนนี้ที่เหนี่ยวนำแสงทองมาได้จำนวนมาก ไม่เพียงแต่ช่วยกำราบกระบี่ครามเท่านั้น เขายังใช้มันหล่อหลอมร่างกายได้อีกด้วย

‘ขอบเขตพลังการสร้างชะตา แบ่งเป็นรูปแบบชะตา ขาดชะตา บรรลุชะตา และโลกชะตา รวมสี่ขั้นพลังใหญ่ จากคำพูดเทพหมานรุ่นสามที่ฝากเอาไว้ การสร้างชะตาจริงๆ แล้วคือสี่คำ รูปแบบ ขาด บรรลุ และโลก!’ ในความคิดซูหมิงมีเสียงที่เทพหมานรุ่นสามเคยพูดเอาไว้ดังกึกก้อง หนึ่งปีมานี้เขาออกไปนอกหอคอยรกร้างบูรพาไม่ได้ เพราะกระบี่ตรงหน้ายังไม่ถูกขัดเกลาอย่างสมบูรณ์ ขณะขัดเกลาอยู่นี้เขากับกระบี่ฉุดดึงกันอยู่ ดังนั้นจึงออกไปไม่ได้

มีเพียงต้องขัดเกลากระบี่ให้สมบูรณ์จนรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเขาก่อนเท่านั้น ถึงจะออกหอคอยรกร้างบูรพาได้

ดังนั้นหนึ่งปีมานี้ นอกจากฝึกฝนกับขัดเกลากระบี่ในหอคอยแล้ว ที่มากกว่าคือใคร่ครวญถึงขอบเขตพลังการสร้างชะตา

‘ตอนนั้นจู๋จิ่วอินก็เคยบอกว่าการฝึกฝนของทุกเผ่าล้วนมุ่งหน้าสู่ความสมบูรณ์แบบของตัวเอง หลังจากสูบพลังแห่งโลกมาเสริมข้อบกพร่องทุกอย่างของตนแล้ว ก็จะบรรลุถึงระดับสมบูรณ์

ข้าก้าวเข้าสู่ขั้นรูปแบบชะตาตอนต้น รู้ว่ารูปแบบชะตาของตนคืออะไร หากจะให้ขั้นพลังสูงขึ้นอีกก็ต้องใช้พลังแห่งโลก…ตอนนั้นจู๋จิ่วอินเคยมอบเศษเสี้ยวพลังแห่งโลกให้กับข้า เศษชิ้นนั้นอาจเป็นกุญแจสำคัญในการเดินไปบนขอบเขตสร้างชะตา’ ซูหมิงมีสีหน้าเข้าใจ

‘ต้องใช้พลังแห่งโลกที่มากพอ ทั้งยังต้องเข้าใจในชะตาชีวิต ถึงจะทะลวงผ่านปราการบางอย่างได้ แล้วพัฒนาทุกอย่างของตัวเอง จากนั้นจึงจะก้าวสู่ความสมบูรณ์แบบ เพียงแต่ว่าความสมบูรณ์นี้มันยากยิ่งนัก ไม่รู้กี่ปีมานี้ในทุกเผ่าพันธุ์อาจมีคนถึงสองคนที่ทำสำเร็จ ก้าวเข้าสู่ความสมบูรณ์อย่างแท้จริง

นอกจากนี้…สายเลือดของเผ่าพันธุ์นั้นๆ จะเชื่อมไปถึงความสมบูรณ์แบบเช่นนี้ด้วย หากทำสำเร็จคนหนึ่ง ทั้งเผ่าพันธุ์ก็จะพัฒนาขึ้น บางทีอาจเป็นเพราะจุดนี้ เผ่าพันธุ์ในใต้หล้าบางกลุ่มถึงแข็งแกร่งไร้ที่เปรียบ บางกลุ่มอ่อนแออย่างยิ่ง

ส่วนพลังแห่งโลก นั่นคือต้นกำเนิดของโลกแห่งหนึ่ง’ นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกายวาววับ มองแสงทองที่กระจายโดยรอบแล้วค่อยๆ เผยรอยยิ้มบาง

‘หอคอยรกร้างบูรพาเป็นมรดกของเทพหมานรุ่นหนึ่ง ในเมื่อแสงทองโดยรอบสามารถบำรุงวิญญาณข้าและยังผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกับขั้นพลังของข้าได้ เช่นนั้นพวกมัน…อาจมีพลังแห่งโลกแฝงอยู่’

‘นอกจากที่นี่แล้ว แผ่นดินเผ่าหมานก็เป็นหนึ่งโลก ชาวเผ่าหมานสูบพลังแห่งโลกบนโลกนี้เพื่อสร้างความสมบูรณ์แบบให้กับตัวเองและนำไปใช้ฝึกฝน’ ขณะซูหมิงกำลังครุ่นคิดก็ยกมือขวาคว้าอากาศ ทันใดนั้นในมือปรากฏก้อนผนึกขึ้น ภายในนั้นบรรจุผึ้งพิษที่กำลังหลับใหลอยู่ตัวหนึ่ง

‘เกสรดอกผนึกจิต เกสรดอกนี้มีตำนานมากมาย ต่อให้ส่วนใหญ่ไม่ใช่เรื่องจริง แต่ก็มองออกได้ว่ามันมีจุดแข็งแกร่งอยู่ ฉะนั้นบางทีเกสรดอกไม้นี้อาจมีพลังแห่งโลกอยู่เช่นกัน’ ซูหมิงมองผึ้งพิษอยู่ครู่หนึ่งแล้วเก็บกลับไป นัยน์ตาแวววาวพลางครุ่นคิด

‘ตอนนั้นเทพหมานรุ่นหนึ่งพาเผ่าหมานออกไปข้างนอก ทำให้หมื่นแดนกราบไหว้ เกรงว่าสาเหตุจริงๆ คงจะเป็นเพราะว่าเผ่าหมานในสมัยนั้นมีผู้แข็งแกร่งเยอะนัก พลังของโลกหมานช่วยให้พวกเขาฝึกฝนต่อไม่ได้อีก เลยต้องออกไป…ออกไปยังโลกข้างนอกเพื่อช่วงชิงพลังแห่งโลกมา

อีกทั้งการจากไปครั้งสุดท้ายของเลี่ยซานซิวก็เป็นเพราะว่าเขาได้รับพลังแห่งโลกเพียงพอแล้ว เรียกได้ว่าผสานรวมต้นกำเนิดหมื่นโลก ก่อขึ้นเป็นตะวันแห่งภัยพิบัติ บางทีอาจก้าวไปสู่ขั้นพลังภัยพิบัติจริงๆ บางทีอาจขาดอยู่ครึ่งก้าว เขาเลยต้องจากไป พลังแห่งโลกนี้ไม่มีประโยชน์กับเขาแล้ว จึงต้องไปตามหาพลังแห่งภัยพิบัติเพื่อก้าวข้ามขั้นพลังต่อไป

เพื่อให้เขาบรรลุถึงความสมบูรณ์แบบ…

เช่นนั้นละก็ บางทีระบบการฝึกฝนขอบเขตสร้างชะตา ก้าวที่สองและสามของเซียน และยังมีระดับเดียวกันของเผ่าพันธุ์อื่นๆ ก็น่าจะมีชื่อเรียกรวมกันอยู่

ชื่อเรียกนี้อาจเป็นโลก! หลังจากก้าวข้ามระดับนี้ไป จะเป็นเหมือนกับเลี่ยซานซิวในตอนนั้น ซึ่งก็คือภัยพิบัติ! ทั้งยังเป็นก้าวที่สี่ของเผ่าเซียน ไม่ก็เป็นอีกหนึ่งขอบเขตพลังในเผ่าเทพเซียนที่ข้ามผ่านเซียนไปสู่เทพ หรือบางทีอาจสูงกว่านั้น’

‘ยังมีตอนที่หงหลัวสู้กับตี้เทียนอีก เขาเคยบอกว่าหลังจากผสานรวมกับฟ้าของเผ่าเซียนแล้ว หากหลอมรวมเข้ากับโลกของเซียนก็จะกลายเป็นเจ้าปกครองโลก…

ตี้เทียนคือหนึ่งในห้าจักรพรรดิสามราชัน เว้นแต่เขาจะเป็นคนแกร่งที่สุด มิเช่นนั้นแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าห้าจักรพรรดิสามราชันทุกคนของเผ่าเซียนจะผสานรวมกับฟ้าเซียนจนบรรลุถึงระดับเจ้าปกครองโลก’

‘พูดได้อีกอย่างคือ ในหนึ่งโลกจะมีเจ้าปกครองโลกได้มากกว่าหนึ่งคน จะวัดตามระดับการผสานรวมและแบ่งตามขั้นพลังที่ต่างกัน…’

‘ร่างจริงตี้เทียนแข็งแกร่งกว่าข้ามากนัก ตามการแบ่งขั้นพลังของเผ่าเซียน เขาน่าจะเป็นผู้โดดเด่นในก้าวที่สาม…..ข้าเข้าใจแล้ว!’ ซูหมิงเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาฉายแววเข้าใจ

‘ก้าวที่สามของเซียนก็คือเจ้าปกครองโลก! ผสานรวมกับฟ้าของหนึ่งโลก ตระหนักรู้ต้นกำเนิดของโลกนั้น ก็จะเข้าสู่ก้าวที่สามของเซียน และถูกเรียกขานว่าเจ้าปกครองโลก อีกทั้งก้าวที่สามนี้ยังแบ่งตามขั้นพลังที่ต่างกันอีก ดังนั้นจึงมีการแบ่งแยกอ่อนแอแข็งแกร่ง…เจ้าปกครองโลกที่แข็งแกร่ง เกรงว่าคงผสานรวมกับต้นกำเนิดหมื่นโลกแล้ว ขอเพียงยังไม่รวมออกมาเป็นภัยพิบัติตะวัน ก็ยังถือว่าเป็นแค่เจ้าปกครองโลก!’

‘ตอนนั้นที่ข้าตระหนักรู้สามรูปแบบแยกวายุ หมานวายุเคยปรากฏตัว และบอกว่าที่นี่คือมหาโลกภัยพิบัติลำดับที่เก้า….’ ทุกอย่างอยู่ในความทรงจำซูหมิง ข้อมูลทั้งหมดในช่วงหลายปีมานี้ หลังจากผ่านการตรึกตรองอย่างสงบมาหนึ่งปี มันก็เชื่อมโยงเข้าด้วยกันในความคิด กลายเป็นเส้นใยที่ค่อนข้างสมบูรณ์แบบ และเป็นตัวแทนเส้นทางการฝึกฝนในอนาคตของเขา

สิ่งเหล่านี้คือความรู้สึกที่ไม่อาจสัมผัสได้ตอนยังไม่ก้าวเข้าสู่ขอบเขตสร้างชะตา จนถึงตอนนี้เพิ่งจะได้เข้าใจถ่องแท้

‘ก้าวแรกของเผ่าเซียนคือรากฐาน ก้าวที่สองคือผสานรวมโลก เมื่อก้าวสู่ก้าวที่สามก็จะเป็นเจ้าปกครองโลก ต้องสร้างความสมบูรณ์แบบให้กับตนมากที่สุดในขอบเขตที่ว่างเปล่านี้ จากนั้นรวมออกมาเป็นภัยพิบัติตะวัน แล้วไปสู่ก้าวที่สี่…เขตแดนภัยพิบัติ!

เผ่าหมานก็เช่นเดียวกัน หากมีการแบ่งระดับ เช่นนั้นช่วงต้นคือขั้นต่ำกว่าขั้นวิญญาณหมานสมบูรณ์ ถือเป็นรากฐานของตัวเราเอง รากฐานนี้จะช่วยให้ตามหาความสมบูรณ์อย่างแท้จริงพบ ส่วนช่วงกลางคือสร้างชะตา จากรูปแบบชะตาไปจนถึงโลกชะตา สุดท้ายจะบรรลุถึงระดับเดียวกับเจ้าปกครองโลกของเผ่าเซียน ก่อนก้าวเข้าสู่ช่วงปลายของระบบการฝึกฝนของเผ่าหมาน ขอบเขตนี้ข้ายังไม่รู้แน่ชัด ทว่าสุดท้ายก็ต้องรวมออกมาเป็นภัยพิบัติตะวันเพื่อทะลวงขั้นพลังอยู่ดี หากทำสำเร็จก็จะมีโอกาสก้าวสู่เขตแดนภัยพิบัติ กลายเป็นผู้แข็งแกร่งสูงสุดเทียบเท่าคนในก้าวที่สี่ของเผ่าเซียน!” ซูหมิงพึมพำเบาๆ กำหมัดแน่น นัยน์ตาฉายแววเฝ้าปรารถนาอย่างแรงกล้า

‘จู๋จิ่วอินเคยบอกว่าผู้แข็งแกร่งระดับนี้ ต่อให้เป็นตัวมันก็เคยเจอเพียงห้าคนจากสองในสี่มหาโลกแท้จริงที่มันเคยไป ในสี่มหาโลกแท้จริง เรียกได้ว่าพวกเขากุมการเกิดและดับสูญ กุมวัฏจักรของฟ้า เพียงนึกกำเนิดก็กำเนิด เพียงนึกดับสูญก็ดับสูญ…’

‘อีกทั้งเหนือกว่าเขตแดนภัยพิบัติขึ้นไป จู๋จิ่วอินยังเคยบอกว่ามีขอบเขตพลังในตำนานอยู่อีกหลายประเภท ทว่าคนที่บรรลุถึงระดับนั้น เหมือนว่า…จะออกจากสี่มหาโลกแท้จริงไปหมดแล้ว ไม่รู้ว่าไปที่ใด’ ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก เส้นทางการฝึกฝนในอนาคตชัดเจนขึ้นมาเล็กน้อยในความคิด

‘จะต้องไม่มีสิ่งมีชีวิตใดมากุมชะตาชีวิตข้าได้!’ นัยน์ตาซูหมิงฉายแววแน่วแน่และยึดมั่น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!