ตอนที่ 749 หากชีวิตงดงามเหมือนดั่งเช่นแรกเริ่ม
ลูกผู้ชายจะไม่ร้องไห้กันง่ายๆ
ซูหมิงจำได้ว่าตลอดชีวิตนี้ตนมีน้ำตาไม่กี่ครั้ง ทว่าวันนี้เขาร้องไห้ น้ำตาไหลผ่านแก้ม สายตามองยอดเขาลำดับเก้าที่เสียหาย ในความทรงจำลอยขึ้นมาเป็นใบหน้าคนที่เลือกระเบิดตัวเองเพื่อปกป้องเขา
และยังมีไป๋ซู่กับอวี่เซวียน
ทุกอย่างตอนนี้กลายเป็นควันถูกลมทะเลพัดหายไป เขาแค้นพวกเซียน แค้นสำนักดาราสัจธรรม แค้นโลกมรณะหยินที่ปล่อยให้ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นเพียงเพราะจะให้เขาเป็นบุตรแห่งมรณะหยิน
ซูหมิงยืนอยู่นอกถ้ำยอดเขาลำดับเก้าผุพัง มองศิษย์พี่รองที่หลับตาอยู่ภายในถ้ำ หู่จื่อกำลังกรนเสียงดัง และยังมีรูปปั้นศิษย์พี่ใหญ่ ซูหมิงน้ำตาไหลพลางมองเงียบๆ
เขารู้ว่าการมองแวบเดียวนี้อาจเป็นครั้งสุดท้าย บางทีชั่วชีวิตนี้อาจไม่มีครั้งที่สองที่จะได้เจอศิษย์พี่ ได้เห็นยอดเขาลำดับเก้า เพราะเขาต้องจากไปไกล ไปยังแดนที่ห่างไกลแสนไกล
เพราะเขาในตอนนั้นจะไร้อารมณ์ความรู้สึก ไม่มีความเจ็บปวดใด ซูหมิงยืนอยู่ตรงนั้น ผ่านไปพักใหญ่ก็ค่อยๆ คุกเข่าลงโขกศีรษะบนพื้นไปทางถ้ำเก้าครั้ง
“ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รอง หู่จื่อ…เรื่องตามหาอาจารย์ต้องไหว้วานพวกท่านแล้ว…อาจารย์ ซูหมิงอกตัญญู…..” ซูหมิงน้ำตาไหลพลางโขกศีรษะ
ผ่านไปครู่หนึ่ง ช่วงที่เขายืนขึ้น กระเรียนขนร่วงข้างๆ ก็ส่งเส้นสีขาวให้เขาอย่างเงียบๆ
นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่เหลือก่อนไป๋ซู่จะตาย หลังมือขวาจากร่างแหลกสลายของซูหมิงคว้าเอาไว้แล้ว กระเรียนขนร่วงก็เก็บกลับมา ไม่ให้มันปลิวไปตามลม
ซูหมิงถือเส้นสีขาวไว้แล้วมองมันอย่างเงียบๆ
หนึ่งวันต่อมา ซูหมิงออกจากยอดเขาลำดับเก้า ตรงกลางยอดเขาลำดับเก้าที่อยู่ก้นทะเลนอกถ้ำของเขาในอดีต มีหลุมศพที่ฝังอยู่ก้นทะเลเพิ่มมาหลุมหนึ่ง
สิ่งที่ฝังอยู่นั้นคือเส้นสีขาว นั่นคือ…หลุมศพของไป๋ซู่
ซูหมิงจากไปแล้ว หากมีคำสัญญาของเสียงแก่ชราในน้ำวนมรณะหยินอยู่ เขารู้ว่าในเผ่าหมานจะไม่มีขุมพลังใดมารบกวนศิษย์พี่ของเขาได้อีก
เขาไปแล้ว ข้างกายยังมีกระเรียนขนร่วงผู้ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมให้เขาจากไปคนเดียวด้วย ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไร มันก็จะติดตามไปเป็นเพื่อนเขาอย่างเงียบๆ
เฉียนเฉินอยู่บนยอดเขาลำดับเก้า น้ำตารินไหลยามมองซูหมิงจากไป เขาสาบานในใจว่าตนจะต้องแกร่งขึ้น จะต้องแกร่งขึ้นให้ได้
เขาลืมซูหมิงไม่ลง ไม่อาจลืมความทรงจำที่คล้ายกับความทุกข์ในช่วงที่ผ่านมา ตอนนี้พอสูญเสียไปแล้วกลับรู้สึกว่าล้ำค่าเป็นพิเศษ และตอนนี้ทุกอย่างก็หายไปแล้ว
เฉียนเฉินนั่งร้องไห้บนยอดเขา
ซูหมิงบินอยู่กลางอากาศ เขาใช้ความเร็วทั้งหมดห้อเหยียดไปอย่างบ้าคลั่ง เขาใช้เวลาสามวัน กระทั่งเผาผลาญขั้นพลังตัวเองข้ามผ่านทะเลมรณะ จากแดนรกร้างบูรพามุ่งหน้าไปแดนพันธมิตรตะวันตก
เวลาเหลือไม่มากแล้ว เขาอยากไปแดนพันธมิตรตะวันตกก่อนจากลาสักครั้ง ไปดูว่ามีภูเขาทมิฬหรือไม่ ดูว่าที่นั่นมีสหายเก่าหรือไม่
แผ่นดินพันธมิตรตะวันตกเป็นดินสีดำ ขอบเขตตรงชายแดนมีภูเขาลูกหนึ่ง ภูเขานี้มีสี่นิ้วมือเหมือนคน ตั้งตระหง่านอยู่กลางฟ้าดิน ใต้ภูเขาเป็นป่าทึบกว้างไกลไร้ขอบเขต
ตอนนี้เป็นฤดูหนาวของแดนพันธมิตรตะวันตก มีหิมะโปรยปราย ทำให้ป่าทึบเหมือนสวมด้วยชุดเจ้าสาวสีขาว แผ่นดินถูกหิมะกลบจนเป็นสีเงิน ดูแล้วชุดเจ้าสาวนี้ยังเหมือนงานศพด้วยเช่นกัน
ท่ามกลางหิมะโปรยปราย ซูหมิงมาถึงที่นี่ มาถึงบ้านเกิดในความทรงจำของเขา…ภูเขาทมิฬ
เขาไม่ไปหาเหลยเฉิน ไม่หาสหายเก่าคนอื่นๆ ทว่ามาหาภูเขานี้ มาหาความงดงามในความทรงจำ
เขามองภูเขาทมิฬ จู่ๆ น้ำตาก็ไหลรินอีกครั้ง จากนั้นจึงเดินขึ้นไปบนภูเขาทมิฬ ก่อนสัมผัสกับหินภูเขา เกล็ดหิมะตกลงบนตัว ทำให้เขาไม่อยากจาก เขาเดินผ่านป่าทึบด้านล่าง เหยียบย่ำหิมะบนพื้น เส้นทางนี้คือตอนที่เขาแบกไป๋หลิงเดินวนเป็นวงกลม
จนกระทั่งเดินมาถึงจุดที่น่าจะเป็นเผ่าเขาทมิฬ ที่นี่…ไม่มีชนเผ่า
บางทีเมื่อนานแสนนานมาแล้ว ที่นี่อาจเคยมีชนเผ่าหนึ่ง นามของมันคือเผ่าเขาทมิฬ แต่ตอนนี้ตรงหน้าเขาเป็นหิมะสีขาวกับป่าทึบ
เขายืนอยู่ที่นี่อย่างเงียบๆ เวลาผ่านไปนาน…
กระเรียนขนร่วงอยู่ข้างๆ มองไปโดยรอบ คอยอยู่เป็นเพื่อนเขาอย่างเงียบเชียบ
ดวงตะวันลาลับภูเขา ดวงตะวันลอยขึ้น หิมะตกมาตลอดคืน ซูหมิงยืนมาหนึ่งคืนแล้ว เขามองป่าทึบและพื้นหิมะแล้วพลันเดินหน้าไปหลายก้าว ก่อนคุกเข่าลงกับพื้น ใช้สองมือขุดหิมะบนพื้น ขุดดินเหนียวขึ้นมา ตอนนี้เขาเหมือนคนบ้าที่ใช้สองมือขุดไม่หยุด แม้สองมือเริ่มเป็นแผลเหวอะ เขาก็เหมือนไม่รู้ถึงความเจ็บปวด ยังคงขุดต่อไป
จนกระทั่งขุดออกมาเป็นหลุมลึก ภายในหลุมนั้น เขาจุดเจอวัตถุจำนวนหนึ่งที่ถูกฝังเอาไว้ใต้ดิน บ้างเป็นวัตถุหิน บ้างเป็นหม้อแตกๆ และยังมีเศษวัตถุเสื่อมสภาพอีกเล็กน้อย
ซูหมิงมองสิ่งเหล่านี้ น้ำตาหยดลงบนพื้น เขาคุ้นเคยกับวัตถุพวกนี้ นั่นเป็นของ…ภูเขาทมิฬ
ซูหมิงไม่รู้ว่าตนออกจากเขาทมิฬกับป่าทึบอย่างไร เขาเดินไปอย่างไร้เป้าหมายด้วยความขมขื่น ตอนที่เดินออกจากป่าทึบ ตรงหน้าเขาปรากฏควันไฟลอยโชย นั่นคือชนเผ่าขนาดเล็กแห่งหนึ่ง
ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่มีชนเผ่าขนาดเล็กมาตั้งรกรากที่นี่ เขามองควันไฟพลางเดินไปทางชนเผ่านั้นอย่างช้าๆ พอเข้าไปใกล้ เสียงบรรเลงเพลงอย่างสนุกสนานกับเสียงหัวเราะมีความสุขของรุ่นเยาว์ก็ค่อยๆ ดังเข้าถึงหูเขา มองไปมองมา ซูหมิงเหมือนเห็นภูเขาทมิฬ จนกระทั่งเขาก้มหน้าลงท่ามกลางสายลมหิมะ หมุนตัวเดินจากไปไกลด้วยความห่อเหี่ยว ในมือขวาถึงปรากฏหน้ากากอันหนึ่ง หน้ากากสีดำนี้เปล่งแสงหม่น จึงดูชัดเจนเป็นพิเศษกลางหิมะ
วินาทีที่ซูหมิงจะสวมหน้ากากนั้น เขาพลันหยุดชะงักแล้วหันกลับไปมองป่าทึบไกลๆ บนพื้นหิมะในป่าทึบตอนนี้เขาเห็นวัยรุ่นชายหญิงคู่หนึ่งกำลังทะเลาะกัน
“เจ้าเคยบอกว่าจะอยู่กับข้าตลอดไป เจ้าเคยบอกว่าเป็นสัญญา…” นี่คือเสียงของหญิงสาว นางมองชายหนุ่มตรงหน้า ร้องไห้พลางเอ่ยขึ้น
“ข้าเคยบอกจริง…แต่ว่า…” ชายหนุ่มเงียบงัน ผ่านไปพักใหญ่ก็กล่าวอย่างขมขื่น
“ไม่มีแต่ ข้ารู้ว่าเจ้ายังรักข้าอยู่ เหตุใดเจ้าต้องไปด้วย เมื่อก่อนเคยสาบานกลางสายลมหิมะด้วยกันว่าพวกเราจะเดินอยู่กลางหิมะไปจนถึงวันที่ผมขาว หิมะในตอนนั้นพวกเราผมขาวแล้ว ทว่าหิมะตอนนี้เราจะต้องแยกกันจริงๆ หรือ แล้วสัญญาของเราล่ะ…” หญิงสาวน้ำตาไหล เสียงสั่นเครืออยู่กลางสายลมหิมะ
ชายหนุ่มก้มหน้าลงด้วยความเศร้าโศก เขาก็มีความเสียใจของเขา
ซูหมิงมองชายหญิงวัยรุ่นคู่นี้ พอได้ยินคำพูดพวกเขา ตรงหน้าก็ลอยขึ้นมาเป็นภาพหญิงสาวงดงามผู้มีความงามแบบดื้อรั้นคนหนึ่ง หญิงคนนั้นคือไป๋หลิง ทั้งยังคล้ายกับไป๋ซู่
‘ในสายลมหิมะ จะเดินไปจนถึงวันที่ผมขาวหรือไม่…’
‘นี่คือคำสัญญา’
ซูหมิงหลับตาลง พร้อมแผ่กระจายดวงวิญญาณไป…
ชายหนุ่มในป่าทึบตัวสั่น ช่วงที่เงยหน้าขึ้น นัยน์ตาเขาอ่อนโยน แววตาอ่อนโยนนั้นทำให้หญิงสาวตรงหน้าหยุดร้องไห้
ชายหนุ่มยิ้มด้วยความอบอุ่นพร้อมกับเดินมาอยู่ข้างหญิงสาว ก่อนแกะกระดูกจันทร์เสี้ยวที่แขวนอยู่ตรงคอตนกับตุ้มหูซ้ายของนางออกมา
“กลางสายลมหิมะ พวกเราเดินไปจนถึงวันที่ผมขาวได้ นอกสายลมหิมะ พวกเราก็ทำได้เช่นกัน นี่คือคำสัญญา!”
หญิงสาวเข้ากอดชายหนุ่มเอาไว้ เสียงสะอื้นไห้เต็มไปด้วยความดีใจ
ตอนนี้ซูหมิงที่อยู่ไกลออกไปลืมตาขึ้น เขาไม่หันไปมองอีก แต่เดินหน้าไกลออกไปขณะรับสายลมหิมะ ค่อยๆ ยกมือขวาสวมหน้ากากอย่างช้าๆ
วินาทีที่สวมหน้ากาก ในตัวเขาไม่มีความอบอุ่นใดๆ อีก แต่แทนที่ด้วยความเย็นชาไร้อารมณ์ กลายเป็นความหนาวเหน็บที่ไม่มีวันละลาย
เขาเดินหน้าไปทีละก้าว เดินไกลออกไปกลางสายลมหิมะ จากนี้ไปจะไม่มีความรัก ตัดขาดจากความเจ็บปวด เขา….ไม่ใช่เขาอีกต่อไปแล้ว
ดุจดั่งภาพวาดท่ามกลางสายลมหิมะ นามของภาพวาดนั้นก็คือ….หากชีวิตงดงามเหมือนดั่งเช่นแรกเริ่ม