บทที่ 290 ถามข้าหรือยัง? (ต้น)
ไป่เจ๋อนำเยี่ยฉวนมุ่งหน้าเข้าสู่เทือกเขาหมางลึกเข้าทุกขณะ ฝูงสัตว์อสูรเริ่มมีทีท่าผ่อนคลายหายจากอาการตื่นตัว เมื่อเข้าเขตภูเขาหมาง สถานที่ที่พวกมันรู้สึกคุ้นเคยเสมือนบ้านของเหล่าสัตว์อสูร
คนตัวใหญ่เดินนำหน้าเยี่ยฉวนไปยังปากทางถ้ำแห่งหนึ่ง บริเวณด้านนอกกว้างขวางใหญ่โตเฉพาะปากทางมีขนาดใหญ่กว่าสักห้าหรือหกเท่าของประตูเมืองหลวงแคว้นเจียง เมื่อคนทั้งสองเดินมาหยุดตรงทางเข้ามีสัตว์อสูรจำนวนหนึ่งเดินเข้ามาห้อมล้อมพวกคนไว้ จากการสังเกต เยี่ยฉวนเห็นมีสัตว์อยู่หลายชนิด อีกทั้งบางชนิดเขาไม่เคยเห็นมาก่อน ขณะนั้น บางตัวเข้ามาจนใกล้ไป่เจ๋อด้วยความคุ้นเคย คนร่างใหญ่เองดูท่าว่าพึงพอใจไม่น้อย
จู่ๆ เหล่าสัตว์อสูรพากันถอยหลังออกห่างไปอีกทางโดยไม่ทราบสาเหตุ พลันชายวัยกลางคนเพิ่งปรากฏตัวกำลังเดินออกมาจากภายในถ้ำ คนผู้นี้มีร่างสูง ท่วงท่ากำยำ ความสูงใหญ่กว่าเยี่ยฉวนมากทั้งที่ปกติเขาเป็นคนรูปร่างใหญ่และแข็งแรงอยู่แล้ว
ราชาสัตว์อสูรแห่งภูเขาหมาง!
สายตาเบนไปยังไป่เจ๋ออีกด้าน ซึ่งพอเห็นเช่นนั้นคนตัวใหญ่ก็ยิ้มกว้างทันทีที่เห็นคนที่เดินเข้ามา “ท่านพ่อ นี่คือพี่ใหญ่ของข้าขอรับ”
พี่ใหญ่!
ราชาสัตว์อสูรแห่งภูเขาหมางหรี่ตาลงทันทีที่ได้ยินชี้แจง สายตาเบนมามองชายหนุ่มตรงหน้า ขณะเดียวกันเยี่ยฉวนรีบก้าวออกมาข้างหน้าพร้อมกับค้อมตัวลงคารวะทักทาย “พ่อบุญธรรม ยินดีที่ได้พบขอรับ!”
พ่อบุญธรรม! ไป่เจ๋อหน้าเสีย ตาค้างอ้าปากหวอ
ราชาสัตว์อสูรหน้าตึงนิ่งงันไปครู่หนึ่ง “พ่อบุญธรรม? นี่มันบ้าอะไร?” เยี่ยฉวนเห็นท่าไม่ดีจึงรีบพูดว่า “ไป่เจ๋อกับข้าพวกเรานับถือกันเป็นพี่น้อง ดังนั้น พ่อบุญธรรมของเขาจึงเปรียบเสมือนพ่อบุญธรรมของข้าด้วย อ้ออีกอย่างหนึ่ง ข้ามีของฝากเล็กๆ น้อยๆ มามอบให้ท่านช่วยรับไว้ด้วยขอรับพ่อบุญธรรม”
เมื่อพูดจบ เขาแบมือข้างขวาออกพลัน ถาดใบใหญ่ปรากฏที่บนฝ่ามือ บนถาดมีผลไม้ขนาดเท่ากำปั้นจำนวนสิบผลวางเรียงสวยงาม ผลมีสีแดงสุกและกลิ่นหอมรวยรินระเหยออกมาชัดเจน นี่คือผลลูกท้อจิตวิญญาณ! ทันทีที่มองเห็นผลไม้ที่อยู่บนถาด แววตาของราชาสัตว์อสูรก็เปล่งประกายฉายวาบ
ผลท้อจิตวิญญาณนี้มีสรรพคุณเทียบเท่ากับยาสะบั้นลม ซึ่งช่วยให้สัตว์อสูรที่ได้ลิ้มรสผลไม้สามารถบรรลุพลังในระดับสูงได้ อย่างไรก็ตาม ผลท้อจิตวิญญาณมีค่ามากกว่าสมุนไพรตันเถียนอย่างยาสะบั้นลม ด้วยเพราะสัตว์อสูรบรรลุขั้นพลังได้ยากกว่ามนุษย์ ความที่สัตว์ไม่สามารถกลั่นตัวยาหรือสร้างสรรพอาวุธไว้ใช้ได้เองเหมือนมนุษย์
หากเปรียบเทียบกับมนุษย์ สัตว์อสูรขาดความสามารถในการคิดริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ทว่า พวกมันมีความได้เปรียบทางกายภาพซึ่งติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด อาทิเช่น อายุขัยและสภาพรูปร่าง หากต่อสู้โดยใช้กำลังกันจริงๆ แล้ว มนุษย์ไม่มีทางได้ย่างแน่นอน
การพัฒนาขั้นพลังของสัตว์อสูรจึงต้องใช้เวลามากกว่าปกติ พวกมันจะค่อยๆ สั่งสมพลัง บางครั้งอาจต้องใช้ของล้ำค่าแห่งฟ้าดินเข้าช่วยด้วยเช่นกัน แต่ของล้ำค่ามักมีราคาสูงมาก ซึ่งผลท้อจิตวิญญาณนี้เป็นหนึ่งในของล้ำค่าที่ว่า หนึ่งผลราคาประมาณสองล้านเหรียญทอง
เยี่ยฉวนนำมามอบให้ถึงสิบผล นับว่าเป็นคนมีน้ำใจกว้างขวางมากทีเดียว นี่เองเป็นสาเหตุว่าทำไมเขาจึงเพิ่งเดินทางมายังภูเขาหมางในหนึ่งวันต่อมา เพราะมัวตามหาผลท้อจิตวิญญาณ และต้องขอบคุณสำนักอัปสรเมรัยที่เป็นธุระช่วยจัดหา ไม่เช่นนั้น ต่อให้มีเงินก็อย่าหวังว่าจะหาได้ภายในระยะเวลาน้อยนิดเช่นนี้
ผู้เป็นราชาสัตว์อสูรเขม้นมองคนตรงหน้า เขาทำท่าจะเปิดปากพูด พลันเยี่ยฉวนรีบควักแผ่นป้ายทองคำออกยื่นให้ราชาสัตว์อสูรทันที “ท่านผู้อาวุโส นี่คือแผ่นป้ายทองมีมูลค่าร้อยล้านเหรียญทอง เป็นของขวัญจากข้าและไป่เจ๋อขอรับ!”
ร้อยล้านเหรียญทอง! ยามนี้สีหน้าของราชาสัตว์อสูรแห่งเขาหมางแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ด้วยเงินจำนวนร้อยล้านเหรียญทองมิใช่น้อยเลย สำหรับดินแดนแห่งนี้นับเป็นเงินก้อนใหญ่ ทั่วทั้งเขาหมางไม่มีทางหาเงินจำนวนร้อยล้านเหรียญทองได้!
ไป่เจ๋อเองยังตกตะลึงไปด้วย เพราะเขาเองไม่คาดคิดว่าเยี่ยฉวนจะให้เงินพวกภูเขาหมางถึงร้อยเหรียญทองเช่นนี้……
คนที่เป็นราชาทอดสายตามองหน้าเยี่ยฉวนนิ่งๆ ผ่านไปพักใหญ่จึงถามมาว่า “ทำไม?”
เยี่ยฉวนหน้าเคร่งสุ้มเสียงจริงจัง “เป็นเพราะหากมิใช่ความช่วยเหลือของทางภูเขาหมาง เห็นทีพวกของข้าคงต้องตายอยู่ในแคว้นถังเป็นแน่ ข้า……เยี่ยฉวนและสถานศึกษาฉางหลานจะขอจดจำบุญคุณครั้งนี้ตลอดไปขอรับ”
ที่ผ่านมาเยี่ยฉวนไม่เคยยินยอมรับความช่วยเหลือจากใครก็ตาม ความช่วยเหลือเมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องจดจำ และทดแทนทันทีที่สามารถกระทำได้ ดังสุภาษิตที่ว่า บุญคุณต้องทดแทน หนี้แค้นต้องชำระ!
ราชาแห่งเขาหมางนิ่งไปอย่างชั่งใจครู่หนึ่งจึงว่า “เชิญนั่งก่อน!” จากนั้นคนพูดหันหลังเดินนำเข้าสู่ภายในโถงถ้ำทันที
เยี่ยฉวนหันไปส่งแผ่นป้ายทองคำและผลท้อจิตวิญญาณให้แก่ไป่เจ๋อพลางทำท่าบุ้ยใบ้ เสียงไป่เจ๋อพึมพำอย่างลังเล “เอ่อ หัวโขมยพี่เยี่ย นี่มัน……” อีกฝ่ายทำท่าตวัดเท้าเตะป้าบเข้าให้ “ยังมัวชักช้าอยู่อีก? รีบนำไปให้เขาสิ!”
ไป่เจ๋อหันมาจ้องหน้าก่อนยิ้มกว้าง “ได้ๆ! ข้าจะเชื่อฟังพี่ใหญ่!” จากนั้นคนตัวยักษ์รีบกระวีกระวาดเดินตามราชาเขาหมางเข้าสู่ด้านในอย่างรวดเร็ว เยี่ยฉวนส่ายหน้ามองตามพลางยิ้มน้อยๆ
ภายในถ้ำเป็นโถงกว้างขวาง ทั้งมีข้าวของเครื่องใช้เช่นบ้านเรือนมนุษย์ทั่วไป ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้เยี่ยฉวนออกประหลาดใจครามครัน
ทั้งสามคนเดินเข้าไปนั่งล้อมรอบโต๊ะ ซึ่งมีทั้งข้าวปลาอาหารพร้อมด้วยสุราวางเตรียมพร้อม คนอาวุโสที่สุดในโต๊ะหันมาทางเยี่ยฉวน “เจ้าเจ๋อน้อย บอกข้าว่า เจ้ามีธุระจะพูดกับข้างั้นหรือ?”
เยี่ยฉวนพยักหน้าแทนคำตอบก่อนเอ่ยขึ้นว่า “ผู้อาวุโส ข้าอยากขอให้ท่านเข้ามาร่วมกับเรา ด้วยสถานศึกษาฉางหลานของข้ากำลังคัดเลือกสัตว์อสูรขอรับ”
“คัดเลือกสัตว์อสูร!” เวลานี้นัยน์ตาของราชาเขาหมางหรี่ลงอย่างใช้ความคิด “เจ้าจะนำไปใช้งานหรือ?” ทันทีที่คำถามหลุดออกจากปาก พลันบรรยากาศรอบบริเวณแปรเปลี่ยนตึงเครียดทันที
ชายหนุ่มตรงข้ามส่ายหน้า “มิได้ขอรับ ข้าจะให้พวกเขามาเป็นศิษย์ของเรา ถ้าสัตว์อสูรเหล่านี้เข้าไปอยู่ในฉางหลาน พวกเขาจะมีสถานะเดียวกับศิษย์และได้เรียนรู้และฝึกฝนร่วมกับศิษย์ที่เป็นมนุษย์ อีกทั้งจะได้ใช้วัตถุเพื่อการฝึกฝนเช่นเดียวกับศิษย์มนุษย์ทุกอย่าง มีสิทธิ์เทียบเท่าศิษย์ของฉางหลานทุกอย่างขอรับ!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ราชาเขาหมางขยับตัวเล็กน้อยอย่างอึดอัด! “ศิษย์!” ภายในเขตแดนแผ่นดินชิงมีสถานศึกษาสองแห่งคือฉางมู่และฉางหลาน ถึงกระนั้นไม่เคยมีสักครั้งที่สองสถานศึกษาจะคัดเลือกสัตว์อสูรเป็นศิษย์ มีแต่การมีสัตว์อสูรภายในสถานศึกษาเพื่อใช้แรงงานหาใช่เป็นศิษย์ไม่ อาจกล่าวได้ว่า ในสายตาของสถานศึกษาทั้งสองสัตว์อสูรมักถูกดูถูก และอาจถึงขั้นเหยียดหยามเสียด้วย!
ในสายตาของมนุษย์ พวกเขามองสัตว์อสูรเป็นเพียงตัวประหลาดหรือสัตว์เดรัจฉาน หากมิใช่เพราะความกล้าแกร่งของพวกมัน ป่านนี้คงสูญพันธุ์ไปจากโลกแล้วก็เป็นได้
— จบตอน —



