ตอนที่ 149 ระบายอารมณ์ รับเงินกลับ
หวังทงมือหนักไม่น้อย ทำเอาพ่อบ้านล้มคว่ำลงกับพื้น แก้มด้านที่ถูกตบก็บวมเป่งขึ้นทันที ฟันทั้งแถวก็โยกคลอน
สามคนที่อยู่ด้านหลังที่กำลังจะกรูเข้าใส่ ก็ถูกไม้พลองยาวมือหลี่เหวินหย่วนตวัดขึ้นหน้ามาขวางพวกเขาไว้ ใบหน้าพ่อบ้านผู้นั้นเจ็บปวดจนไม่อาจเปล่งเสียงวาจาใดออกมาได้ ได้ยินวาจาสุดท้ายของหวังทง ทำเอาตกใจอย่างยิ่ง
เสนาบดีหวังกั๋วกวงแห่งกรมปกครองคนก่อนอยู่ๆ ก็ถูกปลดจากตำแหน่งให้กลับบ้านเกิด บุตรชายที่ก่อเรื่องของเขาก็ตัดสินใจจัดการตนเองจากไป ที่แท้ด้วยเหตุใด ในเมืองหลวงก็ต่างคาดเดากันไปต่างๆ นานา เล่าลือกันเป็นที่เซ็งแซ่
จางฮั่นได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งเสนาบดีนั้น แม้จะกล่าวว่าต้องขอบคุณมหาอำมาตย์จางจวีเจิ้งที่ส่งเสริม แต่ก็ดูเหมือนจะกลัวๆ กล้าๆ ระแวดระวังเป็นพิเศษ เกรงว่าจะเดินซ้ำรอยเดิม
เจ้านายระมัดระวัง ลูกน้องก็ย่อมไม่กล้าเหิมเกริม แต่เรื่องวันนี้สำคัญนัก ในเมืองหลวงบุคคลที่สามารถมีเรื่องกับเสนาบดีจางฮั่นย่อมไม่มาสถานที่เช่นนี้ พวกที่ไม่กล้ามีเรื่องยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง คิดไม่ถึงว่า องครักษ์เสื้อแพรที่เอ่ยชื่อตนออกมานั้นกลับไม่มีความเกรงกลัวแม้แต่น้อย และยังตบเขาคว่ำลงกับพื้น ยังกล่าววาจาเช่นนั้นอีก
สามารถเป็นถึงพ่อบ้านจวนเสนาได้ บุคคลระดับนี้ย่อมเฉลียวฉลาด จึงสามารถวิเคราะห์ความแรงของเรื่องได้ทันที วาจากล่าวถึงขั้นนี้ หากมิใช่ว่ามีความสามารถจริง ก็คงเป็นคนบ้า
หากมีความสามารถจริงก็ย่อมไม่อาจล่วงเกิน คนบ้าก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ พ่อบ้านผู้นี้ลูบใบหน้าไปมา ก็กล่าวเสียงอ่อยว่า
“ล่วงเกินแล้ว ขอนายท่านโปรดละเว้นสักครั้ง มีเรื่องอะไรพวกเราปรึกษากันได้”
คนมุงโดยรอบต่างเห็นพ่อบ้านจวนเสนาบดีจางฮั่นแห่งกรมปกครองถูกตบไปกองกับพื้น กล่าวจบก็ลุกขึ้นเองเงียบๆ และยังโบกมือให้พวกตนหยุด
ขุนนางและพ่อค้าในหอฉินก่วนต่างก็ตกใจอึ้งไป จ้องมองหวังทงอย่างพินิจอีกครั้ง จำใบหน้าหวังทงไว้ให้มั่น เดาไปว่าเป็นคุณชายจากตระกูลใด พร้อมกับครุ่นคิดไปว่าเรื่องที่ได้เห็นในวันนี้เป็นประเด็นควรค่าแก่การเสวนา
ส่วนบรรดาเถ้าแก่หอคณิกาและบ่อนพนันในเขตบูรพา เขตปัจจิม เขตอุดร และยังมีเขตทักษิณต่างก็มีสีหน้าดำคล้ำ วันนี้รองเจ้ากรมศาลซุ่นเทียน นายกองพันองครักษ์เสื้อแพร และสุดท้ายพ่อบ้านจวนเสนาบดีกรมปกครองที่ออกหน้ามา ผลก็คือคนมาหลังเก้กังกันยิ่งกว่าคนก่อนหน้า คนมาหลังหัวหดกันยิ่งกว่าคนก่อนหน้า ดูท่าแล้วป้ายสงบสุขนี้ไม่รับไม่ได้แล้ว
เห็นพ่อบ้านกุมใบหน้าหางคิ้วตกล่าถอยไป แม่นางซ่งก็รู้ว่าบารมีใหญ่จากไปแล้ว ไม่รอให้นางได้พูดอะไร หวังทงก็ยิ้มถามว่า
“แม่เล้าซ่ง ข้าว่าก็ดึกมากแล้ว ยังจะมีใครมาอีกไหม?”
หวังทงยังไม่เชื่อแน่ หรืออีกฝ่ายจะอ้างเสนาบดีกรมปกครองผู้นี้เอามาใช้อีกให้ได้ แม่นางซ่งนั่งนิ่งอึ้งอยู่บนเก้าอี้ครู่หนึ่ง ก็ลุกขึ้นทันทีพร้อมกับทิ้งผ้าเช็ดหน้าลงมือ ตะโกนเสียงแหลมขึ้นว่า
“ทุกคนไม่ต้องมุงดูกันแล้ว นายท่านองครักษ์เสื้อแพรก็ไม่ได้ว่าจะปิดหอเรา ควรดื่มสุราก็ดื่มสุรา ควรหาความสำราญก็หาความสำราญ เหล่าหวัง หยิบเงินในตู้ มอบให้ใต้เท้าท่านนี้เป็นค่าป้ายไป!”
แม่นางซ่งที่ฟื้นคืนสติได้เร็วเช่นนี้ ทำให้บรรยากาศในห้องโถงก็ผ่อนลงไม่น้อย อย่างไรทางหวังทงก็มิได้บอกว่าจะปิดหอ เสนาบดีกรมปกครองยังคงเป็นการคงอยู่ที่ทุกคนไม่อาจล่วงเกิน เรื่องสนุกดูกันพอแล้ว ควรทำอะไรก็ไปทำต่อละกัน!
พอแม่นางซ่งตะโกนบอกคนคุมบัญชีจบ ก็หันหน้าเดินเข้าไปด้านใน หวังทงชูป้ายในมือยิ้มกล่าวสำทับตามหลังไปด้วยเสียงดังกังวานว่า
“แม่เล้าซ่ง ป้ายนี้แค่ 5 พันตำลึงก็ซื้อได้ ทุกปีจ่าย 3 พัน ใช้ได้สองปีนะ!!”
เงินหมื่นตำลึงซื้อป้ายเช่นนี้ เป็นการขูดรีดซึ่งหน้าแล้ว แม่นางซ่งสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ตะโกนไปยังคนคุมบัญชีข้างๆ ว่า
“ในตู้มีเงินเท่าไรก็เอามาให้หมด แล้วพวกที่เฝ้าอยู่ห้องเก็บฟืนนั่นก็ปล่อยนายท่านทั้งหลายไปด้วย ที่ทางเราเล็ก หากยังเก็บไว้ เกรงว่าหอเราคงจะถูกรื้อทิ้งแล้ว”
กล่าวจบก็ไม่ได้หันหน้ามามองอีก ก้าวเดินออกไปทันที หวังทงยกป้ายขึ้นชู ถือโอกาสที่ทุกคนยังไม่สลายตัวกัน ตะโกนไปยังบรรดาพวกที่สีหน้าดำคล้ำพวกนั้นว่า
“วันนี้ขอใช้สถานที่ของหอฉินก่วนกล่าวกับทุกท่านว่า ใน 20 วันนี้ จะมีคนของศาลซุ่นเทียนไปหาถึงที่ ซื้อป้ายนี้แล้ว ก็จะรับรองความสงบสุขทุกท่าน พ้น 20 วันไป สงบสุขหรือไม่ก็พูดยาก แต่ราคาจะไม่ใช่ราคานี้แล้ว”
กล่าวจบก็ยิ้มคำนับรอบด้าน หลายคนไม่กล้ารับการคำนับ รีบก้มศีรษะโค้งกายคำนับตอบ ชุลมุนวุ่นวายกันไปหมดในทันที
*****
หอฉินก่วนเป็นเพียงหอคณิกา ในตู้เงินยามดึกเช่นนี้กวาดมาหมดก็มีแค่ 800 ตำลึงเงินเท่านั้น นี่ก็นับว่าไม่น้อยแล้ว การค้าปกติสามารถกวาดเงินในตู้ออกมาได้เยอะขนาดนี้ที่ไหนกัน
คนของศาลซุ่นเทียนทั้งสี่คนถูกปล่อยตัวออกมาแล้ว หวังทงได้ไป 800 ตำลึงก็ไม่ได้รุกไล่ต่อ เขียนใบค้างหนี้แล้วก็นำคนกลับ
พอออกมานอกประตู หวังทงก็สั่งคนจุดคบไฟเปิดหีบเงินออก หยิบเงิน 100 ตำลึงมอบให้หวังซื่อกับหลี่กุ้ยไป ยิ้มกล่าวว่า
“คืนนี้พวกท่านและพี่น้องที่ตามมาลำบากกันแล้ว เงินจำนวนนี้ไปดื่มสุรากัน อย่าลืมแบ่ง 20 ตำลึงให้สี่คนไปรักษาตัวด้วย”
หวังซื่อและหลี่กุ้ยยิ้มร่าตอบรับ สายตาคนที่พวกเขามาพามาด้วยในคืนนี้ต่างมองหวังทงด้วยความนับถือ คนที่บาดเจ็บสี่คนนั้นไม่สนใจคนที่ประคองอยู่ ดิ้นรนสะบัดตัวคุกเข่าโขกศีรษะคำนับหวังทง หวังทงยิ้มโบกมือขึ้นเอ่ยว่า
“พวกเจ้าล้วนทำงานให้ข้าจึงต้องลำบากเช่นนี้ เงินพวกนี้เป็นที่พวกเจ้าควรได้รับ!”
ฮ่องเต้ไม่ใช้งานทหารหิวโหย คนอื่นออกหน้าแทนเจ้า มอบเงินตอบแทน ครั้งหน้าย่อมมีคนมาช่วยงาน พวกเจ้าหน้าที่เมื่อเห็นหวังทงจ่ายหนักเช่นนี้ ก็ล้วนจดจำไว้ในใจ
เดินกันไปทั้งขบวนไปถึงเขตทักษิณ หวังซื่อกับหลี่กุ้ยก็นำคงแยกออกไป หวังทงเกินไปอีกไปกี่ก้าวก็กล่าวว่า
“พี่จาง เอา 100 ตำลึง ไปมอบให้ผู้ช่วยหลี่ว์ แล้วเล่าเรื่องวันนี้ให้ฟังด้วย เอาอีก 200 ตำลึงไปด้วย พี่น้องเราคืนนี้ลำบากกัน หนุ่มฉกรรจ์ชอบกินชอบดื่ม ให้พวกเขาแบ่งกัน มีงานก็มีเงิน!”
จางซื่อเฉียงรับคำ พวกที่เป็นองครักษ์เสื้อแพรต่างก็เปลี่ยนชุดมัจฉาเวหากันมา เดินกันในยามค่ำคืน หากไม่มีสถานะก็ย่อมเป็นเรื่องยุ่งยาก
เดินไปไม่กี่ก้าว ถานเจียงที่แบกพลองไว้ด้านหลังก็กระซิบกล่าวว่า
“ข้าน้อยขอบังอาจเรียนถาม ความสามารถเช่นนี้ของนายท่านเรียนรู้มาจากที่ใดกัน ที่วัดฮุ่นหยวนเห็นชัดว่านายท่านไม่เคยออกศึก แต่การจัดการกำลังโดยรอบหอฉินก่วนนี่ ทั้งตีหน้าอุดหลัง ยังส่งกำลังลอบซุ่ม ผู้คุ้มกันเกือบร้อยของหอฉินก่วน นอกจากพวกหน้าประตูแล้ว ที่อื่นล้วนเงียบงัน ช่างน่านับถือ…”
หวังทงยิ้ม ไม่ได้กล่าวตอบอันใด ที่โลกเดิมนั้นแต่เล็กจนโต ระหว่างชั้นเรียน ระหว่างโรงเรียน ต่อยตีกับคนอื่นตั้งแต่ในโรงเรียนจนถึงสังคมทำงาน หวังทงมีส่วนร่วมในเรื่องพวกนี้ไม่น้อย แสดงอำนาจอย่างไร หลอกให้ตกหลุมพรางอย่างไร ล้วนมีประสบการณ์ตรงและมีหลักการหลากหลาย แค่ล้อมโจมตีหอคณิกาแค่นี้ จะไปยากอะไร
จำได้ว่าตอนขี่จักรยานรวมกลุ่มกันไปก่อเรื่องวิวาทกัน ยังแบ่งคนไว้เฝ้าจักรยานโดยเฉพาะ จะได้ไม่ถูกคนทำจักรยานพัง จะหนีกันไม่รอด คิดถึงเด็กๆ ในลานฝึกตอนที่คุยกัน ลี่เทาเล่าว่าเมืองเซวียนฝู่รบกับพวกนอกด่าน บางครั้งใช้ทหารม้าและทหารราบ พอทหารลงจากหลังม้ามารบ ด้านหลังม้าสิบตัวต้องมีคนเฝ้าไว้หนึ่งคน เรียกว่า พวกเฝ้าม้า
การรบในสมัยก่อนถึงการมีเรื่องวิวาทในโลกปัจจุบัน ก็มีความคล้ายคลึงกันอยู่ แต่เหตุผลพวกนี้ ไม่อาจกล่าวแก่ถานเจียงได้
เรื่องข่มขู่ให้ตกใจที่เกิดขึ้นในโถงใหญ่หอฉินก่วน มีทั้งขู่มีทั้งปลอบ ล้วนเป็นการผสมผสานวิธีทางการตลาดกับจิตวิทยา เป็นความสามารถในสายอาชีพในชาติก่อน มักใช้ในการติดต่อกับผู้ผลิตสินค้าและลูกค้า ซึ่งย่อมไม่อาจกล่าวออกไปได้
ทุกคนหายใจเสียงดังกันไม่น้อย ไม่ใช่เพราะเหนื่อยจากการเดินทางไปกลับหอฉินก่วน แต่เพราะสถานการณ์ทำให้รู้สึกฮึกเหิม จางซื่อเฉียงนำหน้ารถใหญ่ที่มีคนเจ็บนั่งอยู่ เพราะมีหีบเงินอยู่บนนั้นด้วย เดินไปสองสามก้าว ก็นึกได้เรื่องหนึ่ง ตะโกนบอกซุนต้าไห่ให้มาเฝ้าแทน รีบวิ่งไปหน้าหวังทง สอบถามว่า
“ใต้เท้า คืนนี้ต้องให้คนไปตามคนจดบัญชีมาสองคนหรือไม่ พรุ่งนี้ป้ายย่อมขายดี ถึงตอนนั้นเงินที่รับมาย่อมไม่น้อย…”
หวังทงหัวเราะโบกมือ กล่าวเสียงเบาๆ ว่า
“พรุ่งนี้เช้ายังขายป้ายไม่ได้หรอก พวกคนพวกนั้นกำลังรอ รอว่าเสนาจางจะมีปฏิกิริยาอย่างไรก่อน ดูก่อนว่าจางฮั่นจะทำอย่างไร พวกเขาจะได้แล่นเรือไปตามแรงลม ไม่รีบๆ”
*****
แต่ครั้งนี้หวังทงคาดการณ์ผิดเสียแล้ว เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หวังทงก็ถูกปลุกให้ตื่นจากเสียงตบประตูด้านนอกดังมา หลี่หู่โถวเป็นคนไปเปิดประตู
“พี่หวัง ด้านนอกมีคนมาหลายคน บอกว่าเป็นคนจวนเสนาจาง มาขอพบ…”
หวังทงสวมเสื้อผ้าออกไป ที่ประตูมีคนที่ยังหน้าบวมไม่หายผู้นั้น ที่ได้พบกันเมื่อวานยืนอยู่ ไม่รอให้หวังทงเอ่ยอันใด พ่อบ้านผู้นั้นก็ประสานมือคารวะ กล่าวอย่างสุภาพนอบน้อมว่า
“ข้าน้อย จางเฉวียนฝู คำนับใต้เท้าหวัง เมื่อวานไม่รู้จักท่าน จึงได้ล่วงเกิน ขอท่านได้โปรดอภัย”
ตั้งแต่น้ำเสียงจนถึงท่าทาง ไม่เห็นร่องรอยความกร่างเมื่อวานแม้แต่น้อย หวังทงยกมือลูบแก้มตนเพื่อเรียกสติก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า
“ที่แท้เป็นพ่อบ้านจางนี่เอง เชิญด้านใน”
พ่อบ้านผู้นี้เดินเข้ามา ด้านหลังมีชายรับใช้อีก 4 คน ขนหีบสองใบลงมาจากรถม้า ไม่นำเข้าบ้าน แต่วางไว้กลางลานด้านหน้า เปิดออก เห็นเป็นก้อนเงินเรียงกันอยู่ด้านใน พร้อมก้มตัวกล่าวว่า
“นี่คือสองพันตำลึงเงิน ที่เหลือนั้นหอฉินก่วนไม่สามารถรวบรวมมาได้ในเวลากระชั้นชิด ขอใต้เท้าโปรดให้เวลาสองสามวัน”
เห็นอยู่ว่าเป็นจวนเสนาบดีกรมปกครอง แต่ยังเอ่ยย้ำว่าส่งมอบเงินให้ในนามหอฉินก่วน เห็นชัดว่าเป็นการยอมอ่อนให้อย่างรู้งาน หน้าตาล้วนต้องให้เกียรติกัน หวังทงเข้าใจเรื่องนี้ดี เขาจึงล้วงเอาใบค้างหนี้เมื่อวานออกมา มอบให้พ่อบ้านผู้นั้นดู จากนั้นก็ฉีกเป็นชิ้น ก่อนจะเอ่ยว่า
“ข้ารับไว้แค่หนึ่งพันพอ วันหน้าหอฉินก่วนสามปีก็ไม่ต้องจ่ายอีก”
พ่อบ้านผู้นั้นสีหน้าฉายแววยอมศิโรราบด้วนใจจริง คุกเข่าลงคำนับ จากนั้นก็ให้คนขนหีบหนึ่งออกไปอย่างนอบน้อม
*****
“…ข้าคว้ากาน้ำชาปาใส่นายกองพันนั่น…ยังมีคนชุดดำอีกสามสี่คนเข้ามา…”
ตอนบ่ายช่วงพักที่ลานฝึก หวังทงเล่าเรื่องเมื่อคืนให้เด็กน้อยสองคนฟัง ทั้งสองฟังอย่างออกรสออกชาติ หวังทงเว้นจังหวะเล็กน้อย ฮ่องเต้ว่านลี่ก็เร่งถามขึ้นทันทีว่า
“จากนั้นล่ะ จากนั้นล่ะ!?”
*****
พอกลางวันผ่านพ้นไป ก็มีคนมาซื้อป้ายกันด้วยตัวเองแล้ว…