ตอนที่ 572 ทุกคนล้วนมีจุดอ่อน
เช้าตรู่มา คนอำเภอเซียงเหอที่ไปข้างนอกคิดจะเข้ามา คนในก็คิดจะรีบออกไป รอจนเวลาประตูเมืองเปิด ก็พบว่าประตูยังคงปิดแน่น
ยามสงบสุขในช่วงเทศกาลไม่เปิดประตูเมือง ย่อมเกิดเรื่องใหญ่ ทุกคนส่งเสียงโวยวายขึ้น ถูกทหารเฝ้าประตูเมืองหน้ำตาดุดันออกมาขับไล่ ปกติเกรงอกเกรงใจคนในอำเภอ หากเข้มงวดเช่นนี้ ทุกคนก็รู้ว่าเกิดเรื่องแล้ว ย่อมพากันแยกย้ายกลับ
ราษฎรที่อยู่รอบถนนเสาศิลา พอเช้าก็ถูกเจ้าหน้าที่ปลุกให้ตื่น กำชับเข้มงวดว่าอย่าออกมา อย่าส่งเสียงเอะอะ
กล่าวไว้แล้วว่า ถนนเสาศิลานี้ล้วนเป็นพวกคหบดีมีเงินในอำเภอเซียงเหอพักอาศัย ไม่ให้ออกไปย่อมทำให้หลายคนโกรธ จะรี่ไปที่ที่ทำการโวยวายกัน เจ้าหน้าที่ย่อมไม่อาจล่วงเกิน แต่คนพวกนี้หากยังไม่ยอมกลับโดยดี ก็จะถูกทหารองครักษ์เสื้อแพรสีหน้ำเย็นชาถือดาบเดินมาขวางหน้าไว้ ผู้ใดก็ไม่กล้าเอาเรื่องต่อ ได้แต่หดหัวกลับไป
ถนนเสาศิลามีจวนหนึ่ง ประตูหน้าและกำแพงสูงใหญ่ คนข้างนอกมองไม่เห็นด้านใน ได้แต่ฟังสาวใช้และคนงานที่ออกมาซื้อของเล่าว่า เจ้านายทำการค้าผ้าไหมอยู่เมืองอื่นตลอดทั้งปี ในจวนมีเพียงนายผู้หญิงพักอยู่
จวนระดับนี้มีเพียงนายผู้หญิง แล้วยังปิดมิดเช่นนี้ ย่อมมีคนคิดไม่ซื่อเข้าปล้นชิง ก็มีพวกนักเลงมาหาเรื่อง แต่ก็ถูกขับออกมาในวันนั้นทันที ตกค่ำพวกนักเลงก็ถูกเผาบ้านวอดวาย จ่ายเงินเจ้าหน้าที่ทางการเพียงพอ ทุกอย่างก็ย่อมเงียบกริบ
หลังจากเรื่องนี้ คนในอำเภอเซียงเหอจึงได้รู้ว่า จวนบนถนนเสาศิลานี้ไม่อาจล่วงเกินได้ อย่างไรก็อย่าได้หาเรื่องใส่ตัวเป็นดี
*************
บริเวณโดยรอบถนนเสาศิลาเต็มไปด้วยทหารแต่งกายพร้อมรบ ยังมีทหารองครักษ์เสื้อแพรในชุดมัจฉาเวหาพร้อมดาบปักวสันต์ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีทหารในชุดเกราะอีกด้วย
ยิ่งทำให้ผู้คนรู้สึกตกใจก็คือ หน้าประตูจวนที่ถนนเสาศิลานั้นถึงกับมีปืนใหญ่ตั้งอยู่หนึ่งกระบอก สีดำมันปลาบหันหน้าเข้าประตูใหญ่ มีพลปืนใหญ่ถือคบไฟเตรียมพร้อมอยู่ข้างๆ
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการปิดล้อมอย่างไร้ช่องอากาศ ทุกทิศทางยังมีพลปืนไฟอีกราว 20 กว่านาย ขึ้นไฟพร้อมจุดชนวนยิง ทำท่าพร้อมยิง หากบนกำแพงมีผู้ใดยื่นหน้าขึ้นมามอง ก็จะเล็งไป พอเห็นท่อนเหล็กดำๆ เล็งมา คนบนกำแพงก็ลนลานปีนลงไปทันที
ทั้งปืนไฟ ทั้งปืนใหญ่ ยังมีทหารองอาจเก่งกล้าเฝ้าไว้ ตั้งแต่ย่ำรุ่งถึงฟ้าสาง ‘จวนใหญ่’ บนถนนเสาศิลาแม้แต่ประตูก็ไม่กล้าเปิดออก แม้แต่คนปีนกำแพงดูก็ล้วนต้องระมัดระวังอย่างที่สุด
“ใต้เท้าหวังทงเรา ต้องการขอพบเสิ่นหวั่ง!!”
สถานการณ์ไร้สาเหตุนี้ผ่านไปสักครู่ ก็มีทหารตะโกนดังเข้าไปด้านใน พอตะโกนจบ ทหารด้านนอกก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวด้านใน
“ไม้ประตูบานใหญ่นี้ สามารถต้านทานปืนใหญ่ได้หรือ?”
คนด้านในไม่ตอบ ทหารตะโกนเข้าไปอีก พอตะโกนจบ ในนั้นก็เงียบไปสักครู่ ทหารปืนไฟหันไปมองหวังทงที่นั่งอยู่ด้านหลัง พลทหาร 10 นายประทับปืนขึ้นเล็ง มีคนมาเปิดประตู เป็นชายฉกรรจ์สีหน้าซีดขาว เห็นปืนไฟเล็งมา ก็ตกใจเอะอะดังก่อนจะถอยไปก้าวหนึ่ง เกือบล้มนั่งแปะกับพื้น
“ใต้เท้าหวัง นายท่านเชิญท่านมาหรือ?”
วาจาติดอ่าง หวังทงฉีกยิ้ม ลุกขึ้นยืนกล่าวว่า
“มาถึงขั้นนี้แล้ว ยังแสร้งไปเพื่อการใดกัน นอกจากเสิ่นหวั่งและครอบครัวแล้ว คนอื่นวางอาวุธ จากนั้นยกมือเดินออกมามอบตัว ให้เวลาหนึ่งก้านธูป เร็ว!”
หวังทงกล่าวอย่างไม่ยี่หระ แต่ตอนนี้สถานการณ์ไม่อาจต่อต้านได้ สีหน้าชายที่เปิดประตูย่ำแย่เต็มทน หากพยักหน้า หันหลังวิ่งกลับเข้าไป
ครั้งนี้รอไม่นานนัก สักพัก ก็มีดาบขวานโยนออกมา ถึงกับมีปืนสามหัวสองกระบอก จากนั้นก็เป็นไปตามคำสั่งหวังทง แต่ละคนยกมือขึ้นเดินกันออกมา
สำนักองครักษ์เสื้อแพรเทียนจินเตรียมคนมีฝีมือมาพร้อม พอออกมาคนหนึ่ง ก็รีบเข้าไปค้นตัว จากนั้นก็จับไปมัดไว้อีกทางหนึ่ง ผ่านไปครู่หนึ่งก็ไม่มีคนออกมาอีก
ถานเจียงข้างหวังทงโบกมือ ทหารองครักษ์เสื้อแพรก็เดินหน้าเข้าไป ตามคำสั่งก่อนหน้า ให้ตรวจค้นอย่างละเอียด
“เรียนใต้เท้า ตรวจค้นด้านในแล้ว เสิ่นหวั่งและครอบครัวรอกันอยู่โถงกลาง”
**************
“เจ้าสองคนนำภรรยาเสิ่นหวั่งไปเรือนข้าง ทิ้งเด็กนั่นไว้ที่นี่!!”
หวังทงสั่งการหน้าประตู จากนั้นก็หยุดรอ หญิงสองคนรีบรับคำ ก้าวเข้าไปในห้องอย่างเร็ว
ได้ยินเสียงทักทายจากด้านใน หวังทงเดินเข้าไปในห้องโถง
ราชาไตรธารเสิ่นหวั่งที่มักมีสีหน้าไม่ยี่หระสิ่งใด ยามนี้หน้ำตาบึ้งตึงนั่งอยู่บนเก้าอี้ ในอ้อมกอดอุ้มทารกน้อยที่หลับสนิทไว้ เห็นหวังทงเดินเข้ามา เสิ่นหวั่งก็นิ่งไป ถามเสียงแหบพร่าว่า
“ข้าน้อยขอบคุณนายท่านที่ปกป้อง ไม่ให้ภรรยาข้าน้อยต้องเปิดเผยใบหน้าต่อผู้อื่น”
ชายหญิงแตกต่าง ชายหญิงมีระยะห่าง ราษฎรไม่ใส่ใจ แต่คนที่เคร่งครัดล้วนให้ความสำคัญ หากเมื่อครู่ทหารกรูกันเข้ามา หรือหวังทงเดินเข้ามา เห็นภรรยาเสิ่นหวั่ง เสิ่นหวั่งย่อมเสียหน้าหมดสิ้น
หวังทงไม่ลบหลู่เสิ่นหวั่ง ตอนนี้แม้อยู่ในสถานการณ์ได้เปรียบ หากก็ไม่จำเป็นต้องลบหลู่ภรรยาของอีกฝ่าย จึงได้แต่ซื้อใจไว้ก่อนก็ดี
หวังทงไม่สนใจวาจาเสิ่นหวั่ง เดินเข้าไปอุ้มทารกน้อย ก้มหน้ามอง ยิ้มกล่าวว่า
“น่ำรักจริง คิ้วเหมือนเถ้าแก่เสิ่นมาก!”
ตอนหวังทงเข้าไปอุ้ม เสิ่นหวั่งคิดจะปฏิเสธตามสัญชาตญาณ แต่ก็ไม่ทำ ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ เสิ่นหวั่งก็ก้มหัวเล็กน้อย กล่าวเสียงแข็งว่า
“ท้องทะเลหากไร้ข้า ย่อมเกิดจลาจล ถึงตอนนั้นนอกจากต้องนำทหารออกรบ ยังไม่มีผู้ใดมาทำการค้าที่เทียนจินได้ ใต้เท้าย่อมเสียหายหนัก เงินก้อนจินฮวาส่งเข้าวังก็ย่อมไม่ได้เต็มตามที่กำหนด ไหนเลยจะมีวาสนาเงินทองเช่นวันนี้ต่อไปได้”
การคุกคามของเสิ่นหวั่ง หวังทงทำเป็นไม่ได้ยิน เพียงแค่ยิ้มกล่าวว่า
“อำเภอเซียงเหอแม้ว่าดี แต่อย่างไรก็ไม่เจริญรุ่งเรืองเท่าเทียนจิน ท่านไปอยู่ที่ประเทศวัว ไปมาบนท้องทะเลก็ย่อมต้องมีท่าขึ้นจึงจะสะดวกหน่อย ข้าได้เตรียมจวนไว้ให้ท่านพักแล้ว ให้ภรรยาและลูกชายท่านย้ายไปอยู่เถอะ!”
เสิ่นหวั่งตัวกระตุก อาการแข็งขืนหายไป จ้องมองหวังทงกล่าวว่า
“ใต้เท้า ก็แค่ภรรยาและลูกชาย หากข้าสละภาระทั้งสองนี้ได้ ท่านยังจะทำอันใดข้าได้อีก?”
ระดับนายใหญ่แห่งท้องทะเล เชี่ยวชาญการลองหยั่งเชิงเพื่อหาช่องโอกาส เห็นวาจาหวังทงไม่เคร่งเครียด ก็รีบคุยเงื่อนไข หวังยิ้มกล่าวว่า
“ก็แค่ภรรยาและลูก ท่านกล่าวได้ดี หากตอนนี้ท่านสังหารภรรยาและลูกท่านทิ้ง ข้าจะปล่อยท่านออกทะเลไป กองกำลังท่านบนท้องทะเล ย่อมไม่อาจจู่โจมเทียนจินข้า ตัดเส้นทางการค้าทะเลของข้า เทียนจินข้าก็ยังมีกำไรจากการค้าบนทุ่งหญ้า เงินก้อนจินฮวาย่อมไม่เดือดร้อน เรือรบเราท่านก็เห็นแล้วอีกไม่กี่ปี ท่านมั่นใจว่าจะรักษาตัวเองให้รอดได้หรือ?”
สีหน้าเสิ่นหวั่งเริ่มเครียดอีกครา ทารกที่หวังทงตื่นขึ้น เห็นคนอุ้มไม่ใช่บิดามารดา ก็เริ่มชะงักไปก่อนจะร้องดังขึ้นทันที เสิ่นหวั่งตัวเกร็ง รีบลุกเข้ามา ถานเจียงด้านหลังรีบชักดาบออกมาสกัดไว้ที่คอเขา
หวังทงค่อยๆ โยกแขน กล่อมทารกเบาๆ ทารกถึงกับหยุดร้อง จ้องมองหวังทง หวังทงยิ้มมองทารกน้อย กล่าวว่า
“มีวิธีการหนึ่งที่ดีกับเราทั้งสอง ครอบครัวท่านข้าไม่สังหาร ท่านเองข้าก็ไม่สังหาร แต่จับท่านตอนและปล่อยไปก็พอ ถึงตอนนั้นหากท่านนำคนมาตัดเส้นทางการค้าทางทะเลเทียนจิน จะมาก็มาแล้วกัน”
จับเขาตอนทิ้ง ทารกให้หวังทงไว้เป็นตัวประกัน จุดจบใช่ว่าเหมือนกัน เมื่อครู่ที่เสิ่นหวั่งร้อนใจก็บอกหลายอย่างได้กระจ่างแล้ว
เงื่อนไขแรกของหวังทงราวกับกระบองฟาดลงกลางกระหม่อมของเสิ่นหวั่ง หากแตกคอกันจริง สถานะหวังทงไม่แน่ว่าสะเทือน เงื่อนไขสองยิ่งโหดเหี้ยม แม้ว่าไม่แตะต้องครอบคัว แต่ก็อยู่ในความเสี่ยงไร้ทายาทสืบทอดอย่างแท้จริง
“นายท่าน เด็กน้อยไม่รู้เรื่อง ไว้ชีวิตเขาเถอะ!!”
เสียงผู้หญิงในเรือนด้านข้างร่ำไห้ดังเข้ามา แต่ทว่า เด็กน้อยถูกหวังทงกล่อมจนหัวเราะออกมา ส่งเสียง ‘เอิ้กอ้าก’ มีความสุข
เสียงหัวเราะเด็กน้อยทำให้บรรยากาศเคร่งเครียดในห้องผ่อนลงไม่น้อย ยามนี้เสิ่นหวั่งได้แต่ต้องแสดงสีหน้าหมดหวังออกมา นั่งนิ่งค้างอยู่กับที่ ไม่กล่าวอันใด
“มาสร้างจวนพักที่อำเภอเซียงเหอ บอกว่าเป็นพ่อค้าผ้าไหม แต่งกายเช่นนี้ ยังติดหนวดเคราให้ตนเองอีก ลงทุนลงแรงเช่นนี้ก็เพื่อให้ครอบครัวได้อยู่เป็นสุข ยังบอกว่าไม่สนใจ กล่าวอันใดว่าสละได้ หากไม่สนใจได้จริง ท่านรับไปที่ผิงฮู่ แล้ว วันทั้งวันได้อยู่ด้วยกันไม่ใช่ว่าดีหรอกหรือ!”
หวังทงกล่าวจบ เสิ่นหวั่งก็ก้มหัวต่ำลงไปอีกหลายส่วน รับไปอยู่ผิงฮู่ ประเทศวัว แม้ว่าได้พบกันทั้ววัน แต่ก็มีโอกาสถูกคนอื่นจับตัวเป็นประกันมาข่มขู่เขาได้ทุกเมื่อ เสิ่นหวั่งยอมไปๆ มาๆ อย่างลำบากก็ด้วยเหตุนี้ แม้ว่ารักษาตัวรอดเป็นเรื่องหลัก แต่คำนึงถึงความปลอดภัยของครอบครัวเช่นกัน
“กำลังเทียนจินท่านก็เคยเห็น หากรบทางทะเลจริง เทียนจินอาจไม่ชนะ แต่ท่านก็ย่อมเสียหายหนัก ลูกน้องท่านมีพวกระดับสองคลื่นมากมาย หรือว่าจะยังคงภักดีกับท่านไม่แปรเปลี่ยน หรือว่าพวกเขาไม่อยากเป็นหัวหน้ากัน?”
ไม่มีวาจาเกรงใจกันอีกแล้ว แต่ละคำล้วนแทงใจ บุตรชายตนอยู่ในอ้อมกอดอีกฝ่าย ที่หวังทงกล่าวมาก็เป็นเรื่องจริงที่แทงใจดำ
เสิ่นหวั่งที่นั่งอยู่ตัวงองุ้มลง เหมือนว่าอยู่ ๆ ก็แก่ลงอีกหลายสิบปี ในห้องเงียบลง หญิงในเรือนด้านข้างก็ส่งเสียงสะอื้นไห้ เด็กน้อยส่งเสียงหัวเราะ ทำให้ทุกคนยิ่งรู้สึกถึงความเงียบ
หวังทงเอาแต่นั่งหยอกทารกน้อย ไม่สนใจเสิ่นหวั่งที่สีหน้าซีดขาวและท่าทางหมดหวังอย่างที่สุด เงียบไปสักพัก เสิ่นหวั่งก็ค่อยๆ ลุกขึ้น ถานเจียงเก็บดาบ เสิ่นหวั่งก้าวมาข้างหน้าก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้นโขกศีรษะหลายที กล่าวน้ำเสียงแหบพร่าว่า
“ข้าน้อยรอนแรมมานานปี ต่อสู้บนท้องทะเลมานาน ได้พบใต้เท้าถือเป็นวาสนาที่สั่งสมมาแต่ชาติก่อน ขอใต้เท้ามอบโอกาสให้ข้าน้อยได้มีชีวิตที่ไม่ต้องหลบซ่อน!”
“ทำผิดรู้จักแก้ไข เป็นกุศลใหญ่ แต่การจะได้ชีวิตที่ไม่ต้องหลบซ่อนนี้ยังไม่รีบตอนนี้”
ได้ยินหวังทงกล่าวนิ่งๆ เสิ่นหวั่งก็นิ่งค้าง โขกศีรษะ กล่าวว่า
“ขอใต้เท้าสั่งการ”
“เป็นหัวหน้าใหญ่ท้องทะเลนี้ไปก่อน เรื่องที่เจ้าต้องทำยังมีอีกมาก…”