Skip to content

สตรีน่าตาย 9

  • by

Chapter 9 โลกใบเล็ก

“หา!?” ราชันย์โอสถอ้าปากค้าง มองเจ้าปีศาจน้อยที่ออกไปจากโลกใบเล็กของเขา เขากะพริบตาปริบๆ ครู่หนึ่ง แล้วก็ยิ้มเยาะ “หึ จะสร้างโลกใบเล็กได้ ต้องมีธาตุพื้นที่ เจ้าไม่มีธาตุสักธาตุ จะสร้างได้อย่างไร”

แต่เขากลับลืมคิดไปว่า นางไม่มีธาตุไม้และไฟ แต่ก็ยังหลอมโอสถได้

เมื่อออกมาจากโลกใบเล็ก หลินจื่อเซียนก็ลืมตาขึ้น ตรงหน้าเธอมีกระปุกสสารที่เธอสกัดกลั่นวางเรียงรายอยู่ เธอเก็บกระปุกเข้าไปในแหวนเก็บของ แล้วมองออกไปที่หน้าต่าง เห็นว่ายังไม่เช้าจึงหลับตาลง แล้วเริ่มฝึกจิต ขณะที่ฝึกจิตอยู่นั้น เธอก็คิดถึงโลกใบเล็กอยู่ตลอดเวลา โลกใบเล็ก…โลกใบเล็ก…อืม…อยากสร้างโลกใบเล็ก

พลัน! ห้วงสติของเธอก็สั่นสะเทือนราวกับเกิดแผ่นดินไหว แล้วจิตของเธอก็ถูกดูดเข้าไปในห้องๆ หนึ่ง

“เอ๋?” เธอมองไปรอบๆ ห้องที่เหมือนกับห้องปฏิบัติการทางเคมี มีอุปกรณ์ต่างๆ ครบครัน เธอเดินไปหยิบจับอุปกรณ์ต่างๆ อย่างงุนงง “นี่?”

เธอเดินดูรอบๆ ห้อง หยิบนู้น จับนี่มาดู ขณะที่เธอกำลังดูอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีคนๆ หนึ่งโผล่มา โผล่มาราวกับออกมาจากอากาศได้ คนๆ นั้นมีรูปร่างหน้าตาเหมือนตัวเธอเอง พูดว่า “บอส”

“หือ?” หลินจื่อเซียนสะดุ้งมองคนๆ นั้น หรี่ตาลง “คุณเป็นใคร?”

“ฉันคือจิตของโลกนี้” คนๆ นั้นตอบ หลินจื่อเซียนขมวดคิ้ว “จิตของโลกนี้?”

“ฉันเป็นส่วนหนึ่งของคุณ คุณเป็นเจ้านาย ฉันเป็นลูกน้อง ฉันเกิดขึ้นมาพร้อมกับโลกนี้ที่คุณสร้างขึ้น” คนๆ นั้นพูด หลินจื่อเซียนยิ่งขมวดคิ้ว “โลกที่ฉันสร้าง?”

“ใช่ค่ะ” คนๆ นั้นพยักหน้า หลินจื่อเซียนคิดๆ อยู่ครู่หนึ่งแล้วเบิกตากว้าง “โลกใบเล็ก!”

“ใช่ค่ะ” คนๆ นั้นตอบอีก หลินจื่อเซียนตกตะลึง นี่เธอสามารถสร้างโลกใบเล็กได้แล้วเหรอ? โอ้มายก็อด!

เธอหันไปมองรอบๆ ห้อง เห็นประตู จึงเดินไปเปิดประตู นอกประตูมืดมิดดำมืดมองอะไรไม่เห็นสักอย่าง เธอยังไม่ทันถาม คนๆ นั้นก็บอกว่า “ตรงนั้นบอสยังไม่ได้สร้างค่ะ”

“หมายความว่าฉันสามารถสร้างพื้นที่เพิ่มได้?” หลินจื่อเซียนถาม ในหัวก็ปรากฏภาพห้องนอนที่คุ้นเคยขึ้นมา พลัน! นอกประตูดำมืดก็ปรากฏห้องนอนที่แสนคุ้นเคยขึ้น

“นี่…” หลินจื่อเซียนอ้าปากค้าง เธอเดินเข้าไปในห้องนอน หยิบสิ่งของในห้องขึ้นมาดู แล้ววางลง พลางหยิกแขนตัวเองทีหนึ่ง “อูย…เจ็บจริง ฉันไม่ได้ฝัน!”

แล้วเธอก็หยิบกรอบรูปบนโต๊ะขึ้นมา จากนั้นก็คิดออกไป เธอรู้สึกเหมือนกำลังจั๊ม พอลืมตาขึ้นก็พบว่านั่งอยู่บนเตียง ในมือถือกรอบรูปเอาไว้ เธอมองกรอบรูปบานนั้น อ้าปากค้าง “นี่!”

แล้วเธอก็คิดถึงห้องนอนเมื่อครู่ ตรงหน้าปรากฏรอยแยกขึ้น ตัวเธอถูกดูดเข้าไปในรอยแยกนั้น เธอกลับมาอยู่ในห้องนอนนั้นอีกครั้ง บนเตียงนอนสี่เสาแบบโบราณไม่มีร่างของเธออยู่ มีเพียงรอยยุบของผ้าที่ปรากฎร่องรอยว่าเคยมีคนนั่งอยู่ตรงนี้

เธอสร้างโลกใบเล็กได้ และโลกใบเล็กของเธอไม่เพียงแค่เข้าได้เฉพาะร่างจิต แต่ร่างเนื้อของเธอก็เข้ามาได้ด้วย! อา…นี่มันล้ำหน้ากว่าโลกใบเล็กของอาจารย์อีก ฮ่าๆๆๆ

เสียงนกร้องดังแว่วมา ทำให้หลินจื่อเซียนรู้ว่าใกล้จะเช้าแล้ว เธอจึงออกจากโลกใบเล็กของเธอ เมื่อเธอลืมตาก็พบว่าตัวเองยืนอยู่กลางเตียง เธอกระโจนลงจากเตียงไปที่โต๊ะ แล้วหยิบตะเกียงบนโต๊ะขึ้นมา จากนั้นก็กลับเข้าไปในโลกใบเล็กอีกครั้ง เมื่อเธอยืนอยู่ในห้องก็พบว่าตัวเองกำลังถือตะเกียงอยู่ เธอวางตะเกียงไว้บนโต๊ะ จากนั้นก็หยิบหลอดแก้วมาถือไว้ แล้วออกจากโลกใบเล็ก เมื่อออกมาเธอก็ยืนอยู่ข้างโต๊ะ ในมือมีหลอดแก้วที่หยิบมาจากในโลกใบเล็ก เธอจ้องหลอดแก้วนั้นเขม็ง แล้วมองไปรอบๆ ตัว เธออยู่ในบ้านไม้ของป้าฉี แต่กลับถือหลอดแก้วที่เหมือนกับของในโลกของเธอ ถ้าจะบอกว่าเมื่อครู่เธอฝันไป งั้นหลอดแก้วนี่มาจากไหนล่ะ? จะบอกว่าเสกวิ้งๆ เหมือนนางฟ้าทูนหัวในการ์ตูนเรื่องซินเดอเรล่าเหรอ?

แล้วประโยคหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวเธอ ‘จิตเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน’

พลัน! ปัญญาญาณของเธอก็พลันรู้แจ้งขึ้นมา เกิดจิตรวมเป็นหนึ่ง เธอหมดสิ้นข้อสงสัยเมื่อครู่แล้ว โลกใบเล็กก็คือมิติแยกเป็นเอกเทศ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในนั้นเกิดจากจิตของเธอ สิ่งของทุกอย่างในนั้นจึงเกิดขึ้นตามความทรงจำของเธอ เมื่อหมดข้อสงสัยแล้ว จิตเธอจึงเข้าสู่สภาวะว่างเปล่า เธออิ่มเอมกับความว่างเปล่านั้นจนลืมเวลาไปหมดสิ้น

จนกระทั่งมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น “พี่จื่อเซียนๆ”

หลินจื่อเซียนจึงถอนจิตออกจากสภาวะว่างเปล่า เธอลืมตาขึ้น มองไปที่ประตู ด้านนอกยังมีเสียงเรียก “พี่จื่อเซียน ท่านไม่สบายหรือ เหตุใดจึงยังไม่ตื่น?”

หลินจื่อเซียนจึงเก็บหลอดแก้วเข้าไปในโลกใบเล็ก แล้วเดินไปเปิดประตู เซี่ยจินเย่ก็มองพี่จื่อเซียนอย่างเป็นห่วง รีบพูดว่า “สายแล้ว ข้าเห็นท่านพี่ยังไม่ออกมาจึงเป็นห่วงเจ้าค่ะ”

“ข้าไม่เป็นอะไร” หลินจื่อเซียนตอบ เซี่ยจินเย่จึงถอนหายใจโล่งอก แล้วบอกว่า “ข้าต้มโจ๊กไว้ ท่านหิวหรือยังเจ้าคะ?”

“อืม” หลินจื่อเซียนพยักหน้า เซี่ยจินเย่ยิ้ม “เช่นนั้นท่านพี่รอข้าสักครู่ ข้าจะไปยกมาให้เจ้าค่ะ”

พูดจบแล้วนางก็หมุนตัวเดินไปที่ห้องครัว ตักโจ๊กใส่ชาม แล้วยกมาให้พี่จื่อเซียน “โจ๊กเจ้าค่ะ”

“เจ้ากินรึยัง?” หลินจื่อเซียนถาม เซี่ยจินเย่ส่ายหน้า “ยังเจ้าค่ะ ข้ารอท่านพี่”

“งั้นก็ไปยกมากินพร้อมกัน” หลินจื่อเซียนบอก เซี่ยจินเย่จึงรีบไปตักโจ๊กมาอีกชาม แล้วยกมาวางใกล้ๆ กับพี่จื่อเซียน จากนั้นทั้งสองคนก็กินโจ๊กด้วยกัน

หลังจากกินเสร็จแล้ว เซี่ยจินเย่ก็เก็บชามไปล้าง ครั้นล้างเสร็จก็เดินไปหาพี่จื่อเซียน หลินจื่อเซียนซึ่งกำลังสงสัยว่า พลังธาตุเป็นแบบไหน จึงเรียกเซี่ยจินเย่ “เจ้ามานั่งนี่”

“เจ้าค่ะ” เซี่ยจินเย่เดินไปนั่งใกล้ๆ หลินจื่อเซียนก็จับข้อมือกุมเอาไว้ แล้วส่งพลังจิตเข้าไปตรวจร่างกายเซี่ยจินเย่ ตรวจอยู่สักพักก็พบว่าในร่างกายของเซี่ยจินเย่ตรงจุดตันเถียนมีพลังชนิดหนึ่ง ซึ่งแตกต่างจากพลังปราณและพลังจิตที่เธอฝึกฝน พลังนี้ก็คือพลังธาตุ ผู้คนในโลกนี้จะสามารถดึงดูดพลังจากธรรมชาติที่ตรงกับธาตุของตัวเองเข้ามาเป็นพลังของตัวเองได้ ใช้จู่โจมได้ หรือป้องกันได้ คนที่มีพลังธาตุมากก็จะยิ่งสามารถดึงดูดพลังธรรมชาติจากรอบๆ ตัวเข้ามาได้มาก อย่างเช่นเซี่ยจินเย่ที่มีธาตุไม้ หากนางมีพลังถึงขั้นที่หนึ่ง ก็จะสามารถดึงธาตุไม้ที่อยู่รอบๆ ตัวเข้ามาในร่างกายแล้วปล่อยออกไปกลายเป็นเถาวัลย์ไม้เส้นเล็กๆ ได้ ขนาดของเถาวัลย์จะใหญ่ขึ้นตามขนาดขั้นพลัง

เมื่อเข้าใจพลังธาตุแล้ว หลินจื่อเซียนจึงปล่อยมือ ตอนที่ตรวจ เธอก็พบว่าในร่างของเซี่ยจินเย่มีธาตุทองกระจายอยู่ทั่วร่าง ทองข่มไม้ นี่จึงเป็นสาเหตุให้พลังธาตุไม้ของเซี่ยจินเย่ไม่อาจใช้ได้

“เจ้าลองใช้พลังธาตุของเจ้าซิ” หลินจื่อเซียนสั่ง เซี่ยจินเย่จึงใช้พลังธาตุไม้ แต่ไม่ว่าจะพยายามอย่างไร อย่าว่าแต่จะทำให้เกิดเถาวัลย์เท่าเส้นผมเลย แม้แต่เงาเถาวัลย์ก็ไม่เกิด

“เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว” หลินจื่อเซียนพูด เซี่ยจินเย่ทำหน้าฉงน “เข้าใจอะไรเจ้าคะ?”

“เจ้าไม่อาจใช้พลังธาตุไม้ได้ก็เพราะในร่างเจ้ามีธาตุทองอยู่”

“ธาตุทอง!” คำๆ นี้เหมือนฟ้าผ่าลงกลางศีรษะของเซี่ยจินเย่ นางเข้าใจตำราธาตุทั้งห้าอยู่บ้าง แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมในร่างนางจึงมีพลังธาตุทองได้!

หลินจื่อเซียนจึงพูดว่า “เอาธาตุทองออกจากร่างเจ้าได้ เจ้าก็ใช้พลังธาตุไม้ได้”

“ทำอย่างไรเจ้าคะ?” เซี่ยจินเย่รีบถาม หลินจื่อเซียนตอบสองคำ “ใช้ไฟ”

เซี่ยจินเย่งุนงงไม่เข้าใจ ใช้ไฟ! ใช้อย่างไร?

“แต่วิธีนี้คงทำให้เจ้าเจ็บปวดมาก เจ้าจะอดทนได้ไหม? เมื่อข้าเริ่มรักษาให้เจ้าแล้ว ไม่อาจหยุดกลางคันได้ ไม่เช่นนั้นทั้งเจ้าและข้าจะได้รับอันตราย อย่างเบาก็พิการ อย่างหนักก็ตาย” หลินจื่อเซียนบอก เซี่ยจินเย่ชะงักงัน ตัดสินใจไม่ถูก ‘เจ็บปวดมาก’ ‘ไม่อาจหยุดกลางคัน’ ‘อย่างเบาก็พิการ’ ‘อย่างหนักก็ตาย’ คำเหล่านี้วนเวียนซ้ำไปซ้ำมา จนในที่สุดนางก็ตัดสินใจ “ข้าเชื่อท่าน”

“งั้นเจ้าไปนั่งบนเตียง” หลินจื่อเซียนสั่ง เซี่ยจินเย่จึงลุกไปนั่งที่เตียง หลินจื่อเซียนจึงเดินไปปิดประตูหน้าต่าง ขัดกลอนเอาไว้ เพราะเธอไม่อยากถูกใครมาขัดจังหวะขณะที่กำลังรักษา

ภายในห้องจึงมืดสลัวลง เซี่ยจินเย่ใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ หลินจื่อเซียนเดินไปนั่งบนเตียงซ้อนอยู่ด้านหลัง เตือนว่า “จำไว้ว่าเจ้าต้องอดทนให้ได้ ห้ามขยับลุกขึ้นเป็นอันขาด”

“เจ้าค่ะ” เซี่ยจินเย่รับคำเสียงเบา ใจเต้นระรัว หลินจื่อเซียนสั่งต่อ “ถอดเสื้อออก”

เซี่ยจินเย่ถอดอย่างไม่ลังเล ชีวิตนี้เป็นพี่จื่อเซียนช่วยไว้ ไม่ว่าท่านพี่จะสั่งอะไร นางล้วนยอมทำทุกอย่าง หลินจื่อเซียนทาบมือซ้ายตรงตำแหน่งกระดูกก้นกบ มือขวาวางบนกลางกระหม่อมของเซี่ยจินเย่ แล้วนางก็ปล่อยพลังจิตไปที่มือซ้าย พลังไร้รูปเข้าไปในร่างกายของเซี่ยจินเย่ แปรเปลี่ยนเป็นพลังความร้อนที่ร้อนราวกับไฟแผดเผา ทำให้เซี่ยจินเย่ร้องออกมา “โอ๊ย!”

“อดทน!” หลินจื่อเซียนสั่งเสียงเข้ม พลังความร้อนกลุ่มนั้นค่อยๆ เลื่อนต่ำลงไปที่ขาซ้าย เซี่ยจินเย่เจ็บปวดจนต้องกำมือแน่น มือขยุ้มผ้าปูที่นอนเอาไว้ เหงื่อผุดซึมออกมา นางเม้มปากพยายามอดทนต่อความเจ็บปวด เหมือนมีเข็มนับหมื่นเล่มแทงตรงจุดที่ความร้อนเคลื่อนผ่าน เจ็บปวดจนสุดจะทานทนไหว

อดทนๆๆๆๆ นางท่องสองคำนี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในใจ

พลังจิตแผดเผาเอาธาตุทองรวมเข้ามาไว้ในพลังไร้รูป เลื่อนลงไปจนถึงปลายนิ้วเท้า แล้วก็เลื่อนขึ้นกลับมาอยู่ตรงก้นกบอีกครั้ง จากนั้นก็เลื่อนไปทางขาขวา เซี่ยจินเย่ได้แต่ท่องคำว่า อดทน

เหงื่อไหลโทรมกายจนเปียกชุ่ม พลังความร้อนขุมนั้นค่อยๆ เลื่อนลงไปอย่างเชื่องช้า ทำให้ทุกลมหายใจของเซี่ยจินเย่เจ็บปวดสุดแสนทรมานจนพรรณนาไม่ออก

เมื่อเลื่อนไปถึงปลายเท้าแล้วก็เลื่อนกลับมาที่ก้นกบอีกครั้ง จากนั้นก็เลื่อนขึ้นไปตามแนวกระดูกสันหลัง เซี่ยจินเย่ได้แต่กัดฟันอดทน นางนึกถึงคำพูดที่ว่า ‘อย่างเบาก็พิการ อย่างหนักก็ตาย’ นางตายไม่เป็นไร แต่จะไม่ยอมให้พี่จื่อเซียนเป็นอะไรไปเด็ดขาด!

ความร้อนกลุ่มนั้นเลื่อนขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างช้าๆ ราวทากคืบคลาน เมื่อเลื่อนไปถึงระดับอกก็เลื่อนไปที่แขนซ้าย เซี่ยจินเย่ได้แต่กัดฟันกรอดๆ เจ็บปวดแทบขาดใจ นางเผลอร้องโอยๆ ออกมาเป็นระยะๆ จากแขนซ้ายก็ย้ายไปแขนขวา แล้วกลับมาที่อกอีกครั้ง จากนั้นก็เลื่อนขึ้นไปที่คอ ที่ศีรษะ ละอองทองพุ่งออกมาจากกลางกระหม่อม

หลินจื่อเซียนก็รวมเอาไว้ในมือขวา จนกระทั่งละอองทองละอองสุดท้ายพุ่งออกมา เธอก็ยกมือขึ้น ละอองทองก็ลอยขึ้นตามมือ เธอใช้พลังจิตหลอมมันเป็นก้อน มีขนาดเท่าลูกปิงปอง แล้วเธอก็ละมือออก กำก้อนทองไว้ในฝ่ามือ เซี่ยจินเย่ก็กระอักเลือดพรวด!

“อั๊ก…” เลือดสาดกระจายเป็นวง จากนั้นก็สลบไป หลินจื่อเซียนประคองนางลงนอน มองก้อนทองด้วยสายตาเย็นชา จากที่เธอคาดเดา คงมีคนผสมผงทองลงในอาหารให้เซี่ยจินเย่กิน จึงทำให้ในร่างกายมีทองตกค้างสะสมอยู่ในร่าง คนทำช่างอำมหิตนัก

เธอโยนก้อนทองไว้ข้างหมอน แล้วดึงผ้ามาคลุมตัวให้เซี่ยจินเย่ จากนั้นก็ลุกไปนั่งที่โต๊ะ เฝ้ารอให้เซี่ยจินเย่ฟื้น

ณ สำนักโอสถ ภายในหุบเขาอันเป็นเขตหวงห้ามของสำนัก มีถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่ง ในถ้ำมีเตียงหยกขาวหลังหนึ่ง บนเตียงมีชายคนหนึ่งนอนอย่างสงบ ชายคนนี้มีใบหน้าหล่อเหลา ดูอ่อนโยนละมุนละไม ผิวขาวดั่งหยก ผมดำขลับยาวแผ่สยาย งดงามราวเทพเซียน มุมปากบางครายกยิ้มน้อยๆ บางคราคล้ายจะหัวเราะ จากนั้นก็กลับคืนสู่ความสงบดังเดิม

เซี่ยจินเย่ลืมตาตื่นขึ้นมา สีหน้าขาวซีดเล็กน้อย หลินจื่อเซียนได้ยินเสียงจึงเดินไปหา “ตื่นแล้ว ลุกไหวไหม?”

เซี่ยจินเย่ยันตัวลุกขึ้นนั่ง ร้องออกมาคำหนึ่ง “โอย”

“ค่อยๆ ลุก” หลินจื่อเซียนช่วยประคอง เซี่ยจินเย่มองอย่างเป็นห่วง “ท่านพี่เป็นอะไรหรือไม่?”

“ข้าไม่เป็นไร” หลินจื่อเซียนตอบ ผ้าเลื่อนลงไปกองที่เอวทำให้เรือนร่างส่วนบนของเซี่ยจินเย่เปิดเผยออกมา นางรีบจับเสื้อขึ้นมาใส่ หลินจื่อเซียนก็ช่วยใส่เสื้อให้ หลังจากใส่เสื้อเสร็จแล้ว หลินจื่อเซียนก็ยื่นมือไปหยิบก้อนทองมายัดใส่มือเซี่ยจินเย่ แล้วบอกว่า “นี่คือธาตุทองที่ข้าเอาออกมาจากตัวเจ้า คิดว่าคงมีคนแอบผสมผงทองในอาหารให้เจ้ากิน”

เซี่ยจินเย่มองก้อนทองอย่างตะลึง ทองก้อนขนาดนี้ ต้องผสมให้นางกินกี่ปีมาแล้ว!

“เอาล่ะ เดี๋ยวข้าไปเอาโจ๊กมาให้เจ้า” หลินจื่อเซียนบอกแล้วก็เดินไป เซี่ยจินเย่มองอย่างซาบซึ้ง “ขอบคุณท่านพี่”

หลินจื่อเซียนยิ้มทีหนึ่งแล้วก็เดินไป กลับมาพร้อมกับชามโจ๊กอุ่นๆ ยื่นไปให้เซี่ยจินเย่ถึงเตียง เซี่ยจินเย่วางก้อนทองลง รับชามโจ๊กมา “ขอบคุณท่านพี่”

“อืม” หลินจื่อเซียนส่งเสียงคำหนึ่ง แล้วก็ขยับไปนั่งที่ขอบเตียง เซี่ยจินเย่ตักโจ๊กกิน สายตามองเห็นคราบเลือดก็พูดว่า “ข้าทำเตียงท่านสกปรกแล้ว”

“ช่างมัน เดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าค่อยไปซื้อผ้าผืนใหม่” หลินจื่อเซียนบอกอย่างไม่ใส่ใจ เซี่ยจินเย่ก็พูดว่า “ข้าติดค้างท่านมากนัก”

“ช่างมัน เจ้าทำตัวเป็นน้องสาวที่ดีของข้าก็พอ” หลินจื่อเซียนยื่นมือไปหยิกแก้มนุ่มๆ ทีหนึ่ง เซี่ยจินเย่พยักหน้า “อื้ม!”

แล้วเซี่ยจินเย่ก็ตักโจ๊กกินจนหมด หลินจื่อเซียนก็เอาชามไปล้าง แล้วอ่างน้ำมาให้เซี่ยจินเย่เช็ดตัว ส่วนคราบเลือดที่เปื้อนผ้าก็ไว้รอให้ถึงพรุ่งนี้เธอค่อยออกไปซื้อผ้าผืนใหม่

ดูแลจนเซี่ยจินเย่นอนแล้ว หลินจื่อเซียนก็นั่งลงกลางห้อง เริ่มฝึกจิต เมื่อเธอเข้าไปในห้วงสติก็เจอเงาราชันย์โอสถทำท่าคล้ายรอเธออยู่ ยังไม่ทันให้เธอพูดอะไร ราชันย์โอสถก็พูดว่า “วิธีที่เจ้าใช้รักษาแม่นางผู้นั้น เจ้าทำได้อย่างไร?”

หลินจื่อเซียนหรี่ตาลง “หมายความว่า ไม่ว่าข้าจะทำอะไร ท่านก็เห็นหมดเลยเหรอ?”

“ข้าอยู่ในห้วงจิตของเจ้า ย่อมเห็นทั้งหมด” ราชันย์โอสถตอบ หลินจื่อเซียนถามเสียงต่ำ “แม้แต่ตอนข้าอาบน้ำ ฉิ้งฉ่อง ปล่อยระเบิด?”

“หือ?” ราชันย์โอสถขมวดคิ้ว “ฉิ้งฉ่อง ปล่อยระเบิด คืออะไร?”

“ถ่ายเบา ถ่ายหนัก” หลินจื่อเซียนตอบคำศัพท์ของโลกนี้ออกมา ราชันย์โอสถพยักหน้าเข้าใจ ตอบว่า “ย่อมเห็น”

หลินจื่อเซียนหน้ากระตุกยึกๆ ด่าออกมา “ไอ้เวร! ไอ้ลามก! ไอ้ถ้ำมอง!”

พอถูกด่า ราชันย์โอสถก็เข้าใจความหมายของคำถามทันที “เห้!ๆ ข้าไม่ได้มองเจ้านะ ตอนเจ้าทำ ข้าก็ปิดประสาทสัมผัสแล้ว ข้าเป็นถึงราชันย์โอสถจะทำตัวต่ำช้าเช่นนั้นได้อย่างไร”

เขาพูดอย่างเย่อหยิ่ง เชิดคางจนแทบจะชี้ฟ้า หลินจื่อเซียนจ้องมองเขา ถามย้ำว่า “ไม่เห็นแน่นะ?”

“ข้าสาบานต่อฟ้าดิน ข้าไม่มีทางแอบดูสตรีเด็ดขาด” ราชันย์โอสถกล่าวอย่างหนักแน่น เชิดหน้าอย่างหยิ่งทะนง หลินจื่อเซียนจึงขู่ว่า “ถ้ากล้าแอบดูข้า ข้าจะทำให้ท่านแตกสลายไปซะ!”

“ข้าเป็นจิตวิญญาณ มีแต่ชิงเฉินขั้นสูงเท่านั้นที่จะทำลายจิตได้” ราชันย์โอสถพูดอย่างเย่อหยิ่ง หลินจื่อเซียนขี้เกียจต่อปากต่อคำด้วยจึงถามว่า “แล้วทำไมท่านไม่ไปผุดไปเกิดเสียทีล่ะ? มาติดตามข้าอยู่ทำไม?”

“ข้าก็อยากจะดูน่ะซิว่าศิษย์ข้ามีความสามารถขนาดไหน” ราชันย์โอสถบอก แล้วก็ย้อนกลับมาที่คำถามเดิม “เจ้าใช้วิธีอะไรรักษาแม่นางผู้นั้น?”

“ก็ในเมื่อท่านเห็นแล้ว ยังจะถามอีกทำไม?” หลินจื่อเซียนเลี่ยงไปไม่อยากตอบ ราชันย์โอสถก็พูดว่า “อันที่จริง ในตำราข้าก็เขียนวิธีการรักษาคนที่ถูกวางยาพิษทำลายธาตุเอาไว้แล้ว เหตุใดเจ้าไม่ใช้วิธีของข้าเล่า?”

“ช้าเกินไป” หลินจื่อเซียนตอบออกมาสามคำ ทำราชันย์โอสถหน้ากระตุกยึกยัก ตามตำราคือให้คนป่วยกินโอสถธาตุไฟเข้าไปขับธาตุทองออกมา ส่วนจะใช้ระยะเวลานานเท่าไหร่ก็ขึ้นอยู่กับธาตุทองที่อยู่ในร่าง วิธีของเขาเป็นวิธีที่เร็วที่สุดแล้ว แต่เจ้าปีศาจน้อยกลับบอกว่า ‘ช้าเกินไป’ ทำเขาพูดไม่ออกเลย “…”

แต่เขาก็ไม่รู้ว่านางใช้พลังอะไรขับธาตุทองออกมา ทั้งยังขับออกมาได้หมดในคราวเดียวเสียด้วย! อืม เจ้าปีศาจน้อยนี้มีความลับมากนัก เขาจะต้องขุดความลับของนางออกมาให้ได้!

“ถ้าท่านไม่มีเรื่องอะไรแล้วก็อย่ามารบกวนเวลาของข้า รีบพาข้าเข้าไปในโลกใบเล็กของท่านดีกว่า ข้ายังต้องหลอมโอสถอีกหลายชนิด” หลินจื่อเซียนบอก ราชันย์โอสถหน้ากระตุกยึกๆ ด่าออกมา “เจ้าปีศาจน้อย เจ้าช่างขูดเลือดขูดเนื้อข้าเสียจริง”

“ก็ข้าเป็นศิษย์ท่านแล้วไม่ใช่เหรอ? อาจารย์ก็ย่อมต้องส่งเสริมศิษย์ซิ” หลินจื่อเซียนพูดหน้าตาเฉย ทำราชันย์โอสถหน้ากระตุกยึกๆ ด่าไม่ออก ได้แต่พูดว่า “ตามมา”

หลินจื่อเซียนจึงออกจากห้วงสติ แล้วเข้าไปในโลกใบเล็กของราชันย์โอสถ จากนั้นเธอก็หลอมโอสถตลอดทั้งคืน จวบจนเช้าจึงได้ออกมาจากโลกใบเล็กของราชันย์โอสถพร้อมกับโอสถมากมาย เธอเก็บขวดโอสถไว้ในแหวนจัดเก็บบางส่วน อีกส่วนก็เก็บเข้าไปในโลกใบเล็กของเธอ ลูกน้องคนนั้นที่อยู่ในโลกใบเล็กของเธอ เธอจึงตั้งชื่อว่าหลิน หลินก็เก็บขวดโอสถไปเรียงไว้ในตู้

จากนั้นหลินจื่อเซียนก็ไปต้มโจ๊ก แล้วยกไปให้เซี่ยจินเย่ เซี่ยจินเย่กินโจ๊กแล้วก็กินโอสถที่ยื่นมาตรงหน้าลงไป นางไม่มีความรู้เรื่องโอสถ จึงไม่รู้ว่าโอสถที่กินลงไปเป็นโอสถระดับใด รู้แต่ว่าหลังจากกลืนลงไปแล้ว อาการเจ็บปวดก็สลายหายไปราวกับปลิดทิ้ง

เมื่อหายแล้วนางก็ลุกมาเก็บเตียง แล้วไปอาบน้ำล้างหน้า จากนั้นก็ไปจัดการตักน้ำใส่ตุ่มไว้ให้ม้ากิน เมื่อจัดการเสร็จแล้วก็เดินตามพี่จื่อเซียนไปซื้อของ ขากลับก็แวะเอาขนมไปให้ป้าฉี นางยืนเคาะประตูอยู่ครู่หนึ่ง ป้าฉีก็เดินมาเปิดประตู “พวกเจ้าเองรึ?”

“ป้าฉี ท่านพี่ข้าซื้อขนมกับผลไม้มาให้เจ้าค่ะ” เซี่ยจินเย่บอก พลางยื่นกล่องไม้ใส่ขนมกับตะกร้าผลไม้ไปให้ ป้าฉียิ้ม ยื่นมือมารับ “ขอบใจๆ เด็กดีๆ”

นางยังไม่ทันรับของไป ก็ไอโขลกๆ นางยกมือปิดปาก รู้สึกว่ามีอะไรอุ่นๆ ติดมือจึงยกมือขึ้นดู บนฝ่ามือมีเลือดเปื้อนเต็มไปหมด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!