ตอนที่ 1348 จิตเต๋า
ชีวิตนี้ของซางเซียงไม่เคยผ่านเต๋าไร้ที่สิ้นสุด แต่มันในอดีตเคยสัมผัสถึงการคงอยู่ของเต๋าไร้ที่สิ้นสุด นี่คือความรู้สึกที่ได้แต่มองไม่อาจแตะต้อง
ดังนั้นตอนที่สังเกตเห็นถึงกลิ่นอายพลังนี้ ในใจมันจึงลอยมาเป็นเพียงคำว่า เต๋าไร้ที่สิ้นสุด ถึงจะเป็นแค่กลิ่นอายพลังและเข้าใจเสี้ยวหนึ่ง แต่สำหรับมันแล้วนั่นคือสิ่งที่เฝ้าใฝ่ฝัน
ดวงจิตสามรกร้างก็เช่นกัน เทียบกับขั้นไม่อาจกล่าวสมบูรณ์ที่ซางเซียงเคยบรรลุถึงในอดีตแล้ว ตั้งแต่ตอนที่เขายึดครองซางเซียงไม่สำเร็จอย่างสมบูรณ์แบบใน ตอนนั้น เขาได้เสียโอกาสในการก้าวสู่ขั้นไม่อาจกล่าวสมบูรณ์แล้ว
เว้นแต่เขาจะยึดครองซางเซียงได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่เขา…ก็ทำเช่นนี้มาไม่รู้ กี่ยุคแล้ว เพียงแต่ไม่เคยทำสำเร็จ ทำได้แต่ค่อยๆ กินทีละนิด บางทีหากให้เวลาเขามากพอ สักวันหนึ่งเขาจะทำสำเร็จ แต่ต่อให้เป็นอย่างนั้นก็ไม่แกร่งที่สุดอย่าง ซางเซียงในอดีต บรรลุแค่ขั้นไม่อาจกล่าวสมบูรณ์เท่านั้น
เพียงแต่ว่าหลังจากยึดครองซางเซียงไปมากกว่าครึ่ง ดวงจิตสามรกร้างก็ได้รับมรดกความทรงจำไม่น้อย ในนั้นมีความปรารถนาต่อเต๋าไร้ที่สิ้นสุดของซางเซียง ดวงจิตสามรกร้างจึงได้เห็นเต๋าไร้ที่สิ้นสุดเองตามธรรมชาติ…และทำให้เขาเข้าใจถึง ขั้นพลังที่ซูหมิงกำลังลองตระหนักรู้อยู่ทันที
ส่วนผู้เฒ่าเมี่ยเซิง สำหรับคนที่ยังมีชีวิตรอดหลังจากซางเซียงหลายตัว ที่เขาเคยอยู่ตายลง กระทั่งเป็นคนที่วางแผนการใหญ่บางอย่างคนนี้ เขาจะไม่รู้จัก เต๋าไร้ที่สิ้นสุดได้อย่างไร ข้ามเรื่องอื่นไปก่อน เพียงแค่ได้พบกับเสวียนจั้งที่เขาเอ่ยถึงหลายครั้งก็ทำให้เขาจำกลิ่นอายพลังของเต๋าไร้ที่สิ้นสุดได้แม่นแล้ว และยังรู้ถึง ความน่ากลัวของเต๋าไร้ที่สิ้นสุด
‘ขั้นพลังเต๋าไร้ที่สิ้นสุดนี้ ต่อให้เป็นคนที่มีพรสวรรค์ของทั้งจักรวาลกว้างใหญ่ก็ไม่มีทางอาศัยการตระหนักรู้ครั้งหนึ่งก้าวไปสู่ขั้นพลังนี้ได้!
ข้ากินพลังชีวิตก่อนตายของซางเซียงมาสามตัวแล้วยังได้แค่สัมผัส เจ้า…ไม่มีทางสำเร็จ! ซูหมิงคนนี้…ทำไม่ได้!’ ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงจ้องฟ้าตาเขม็ง ก่อนยกมือขวาขึ้นด้วย สีหน้ามืดทะมึน คว้าไปทางรอยฝ่ามือซูหมิงบนป้ายไม้ตรงหน้า รอยฝ่ามือนั้น พลันเลือนราง
“ทุกอย่างต้องเป็นไปตามแผนการเดิม ของเซ่นไหว้ก็คือของเซ่นไหว้ ไม่มีทางพลิกออกจากเงื้อมมือข้าได้” แม้ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงจะกล่าวเช่นนี้ แต่สายตาที่เงยหน้าขึ้นมองฟ้าเป็นบางครั้งก็ยังมีความตึงเครียดที่พบเห็นได้ยากตลอดไม่รู้กี่ปีมานี้นอกจากตอนเผชิญหน้ากับเสวียนจั้ง
“ความแค้นยังไม่พอ โกรธ เศร้า แค้นสามตัวแทน ข้าขอสั่งให้พวกเจ้ารวม กลิ่นอายความแค้นอย่างสุดกำลัง!” ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงกำหมัดขวา ตอนที่คลายมือออกปรากฏแสงวิญญาณสามดวงขึ้น คำพูดเข้าไปในสามวิญญาณนี้ พริบตาเดียวก็ถูกส่งไปในความรู้สึกของคนชุดคลุมดำสามคนที่อยู่ฝ่ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืน
สามคนนี้อยู่ในพื้นที่ต่างกัน หลังจากเงียบแล้วก็กระจายร่างแยกมากกว่าเดิม ทุกร่างแยกมีหน้าตาเป็นซูหมิง ภายใต้การกระจายกันออกไป ทุกโลกในฝ่าย สิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนจึงเกิดพายุฝนกลิ่นคาวเลือดขึ้น
ผู้คนประหนึ่งตกอยู่ในกองเพลิง ร่างแยกหน้าตาซูหมิงทุกคนล้วนเหมือนมีจิตสำนึกของตัวเอง ระหว่างเข่นฆ่าอย่างเลือดเย็นไร้ความปรานีได้ฝากนามของซูหมิงเอาไว้
นามนี้กลายเป็นดั่งคำสาป ค่อยๆ ติดปากผู้ฝึกฌานนับไม่ถ้วนในฝ่ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืน กลายเป็นความแค้นฝังลึกดั่งทะเลโลหิต
จนกระทั่งระลอกคลื่นนี้ขยายมาถึงฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณ ภายใต้การรวมความแค้นในแต่ละส่วนต่างๆ ความแค้นที่วนเวียนของมหาโลกเงามืดรุ่งอรุณกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนจึงเข้มข้นอย่างยิ่ง
สถานการณ์เช่นนี้ดำเนินต่อเนื่องมาสิบปี ซูหมิงยังคงเดินอย่างสับสนในโลกปีกที่สี่ เขาเดินไปไกลมาก เดินผ่านโลกปีกที่สี่ทั้งหมด ผู้คนมากมายได้พบซูหมิงในผืนฟ้า โดยบังเอิญ
ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดเข้าใกล้ซูหมิงได้ ส่วนคนที่มีเจตนาร้ายเหล่านั้น พอลงมือแล้วก็ต้องรับแรงสะท้อนกลับบาดเจ็บตามขั้นพลังและความอ่อนแอกับแข็งแกร่งที่ต่างกัน เหมือนกับผู้เฒ่าเมี่ยเซิง
เวลาผ่านไปช้าๆ ไม่นานก็ผ่านไปอีกสิบปี รวมทั้งหมดยี่สิบปี สำหรับคนธรรมดาแล้วจากผู้เยาว์เป็นชายหนุ่ม สำหรับผู้ฝึกฌาน ยี่สิบปีคือพริบตาเดียว โดยเฉพาะ ตัวประหลาดที่อยู่มานานไม่รู้กี่ปีเหล่านั้น ยี่สิบปีเหมือนกับชั่ววูบหนึ่ง
เด็กเลี้ยงสัตว์ก็ดี ชายชราชุดคลุมม่วงก็ดี และยังมีชายหนุ่มชุดคลุมขาวฝึกกระบี่คนนั้น สามคนนี้เตรียมตัวเสร็จนานแล้ว ถึงขนาดพวกเขายังมีสหายอีกไม่น้อย ภายใต้การโน้มน้าวของสามคนนี้จึงเข้าใจทุกอย่าง มารวมตัวกันหมายจะฝากมรดกของตน
พวกเขาเห็นซูหมิงเดินไปเดินมาในผืนฟ้ามายี่สิบปี เข้าใกล้ไม่ได้ แต่รู้สึกรางๆ ว่า ในตัวซูหมิงมีกลิ่นอายพลังที่ทำให้พวกเขาตัวสั่น เหมือนว่ามันกำลังผงาดขึ้นช้าๆ…พวกเขามองซูหมิงพลางรอวันที่ซูหมิงตื่นขึ้นอย่างเงียบๆ
ผ่านไปหกสิบปีแรก พูดได้ว่าตอนนี้ตัวประหลาดทั้งหมดในโลกปีกที่สี่พบซูหมิง กันหมดแล้ว เวลาผ่านไปหกสิบปี สีหน้าสับสนรวมถึงกลิ่นอายพลังที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ทุกแห่งหนที่ซูหมิงผ่าน มวลอากาศจะบิดเบี้ยว ถึงขั้นที่…เสียงที่ดังสนั่นที่นี่ ชั่วนิรันดร์ยังเงียบลงตรงจุดที่เขาผ่าน
จนถึงตอนนี้ ผู้ฝึกฌานโลกนี้รู้แล้วว่าซูหมิงตกอยู่ในห้วงตระหนักรู้อย่างหนึ่ง จะรบกวนการตระหนักรู้นี้ไม่ได้ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาจะทำสำเร็จ บรรลุถึงขั้นพลังน่าตะลึง หรือไม่ก็…การตระหนักรู้ล้มเหลว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ไม่ว่าการตระหนักรู้นี้เป็นของขั้นพลังใด ก็ล้วนแล้วแต่เป็นโชควาสนาที่พบได้โดยบังเอิญ
ซูหมิงไม่รู้ถึงการไหลผ่านของเวลา เพราะตอนนี้เขาไม่มีความคิด ลืมทุกอย่าง หากไม่มีใครมารบกวน เขาจะตระหนักรู้ถึงวันนั้นที่ทั้งโลกถูกทำลายล้าง
เขาไม่รู้ว่าผ่านไปนานกี่ปี และก็ไม่รู้ว่าหลายปีมานี้นามของเขารวมความแค้นไว้มากเพียงใดในฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืน เรื่องเหล่านี้ไม่อยู่ในสภาวะเขาตอนนี้
เขามีเพียงความรู้สึกเดียวคือแสวงหาความจริง ตามหาการไขข้อสงสัย ตามหาความเข้าใจ เหมือนกับว่าตรงหน้าเขามีเส้นทางว่างเปล่าสายหนึ่ง เขาต้องเดินบนเส้นทางใหญ่นี้ ทั้งไม่มีปลายทาง ทั้งหันหลังกลับไม่ได้แล้ว
ในหกสิบปีนี้ ซางเซียงกับดวงจิตสามรกร้างสัมผัสถึงการคงอยู่ของซูหมิงเงียบๆ พวกมันไม่รู้ว่าซูหมิงจะสำเร็จหรือไม่ แต่เรื่องนี้ใหญ่นัก สามารถตัดสินสถานภาพของโลกนี้
ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงก็เช่นกัน ในหกสิบปีนี้ ช่วงเวลาเกือบเก้าส่วนกว่าในชีวิตเขาใช้ไปกับการเพ่งมองซูหมิง จนกระทั่ง…ผ่านไปอีกหกสิบปี
ผ่านไปหนึ่งร้อยยี่สิบปีแล้ว ซูหมิงยังคงไม่มีสัญญาณการตื่นขึ้น แต่กลิ่นอาย พลังเต๋าไร้ที่สิ้นสุดในตัวเขากลับเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้ความร้อนรนในใจ ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงบรรลุถึงจุดที่ต้องปะทุแล้ว เขาไม่มีทางปล่อยให้ซูหมิงตระหนักรู้ แม้เขาจะมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่มีทางสำเร็จก็ตาม แต่ว่า…เขาก็ยังไม่อาจนั่งมองให้เรื่องนี้เกิดขึ้นได้
เขากลัว…หนึ่งในหมื่นส่วนที่จะเกิดขึ้น!
ตอนนี้ห่างจากทั้งซางเซียงถูกทำลายอีกสามร้อยกว่าปี เขาจะให้เกิดเหตุ ไม่คาดคิดขึ้นไม่ได้แม้แต่น้อย ใบหน้าเขาเหยเกยทีละนิด นัยน์ตาฉายแววเด็ดขาดขึ้นเรื่อยๆ ก่อนยกมือขวาขึ้น มองไปยังวิญญาณสามกลุ่มนั้น
“ไปมหาโลกสามรกร้าง ไปเอาทุกคนในสำนักยอดเขาลำดับเก้ามาที่นี่…ใช้โลหิตพวกเขาบีบให้เขาตื่น!” ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงพูดด้วยน้ำเสียงมืดทะมึน นี่คือสิ่งที่เขาคิดได้ เป็นวิธีเดียวที่รบกวนการตระหนักรู้ของซูหมิงได้
แทบเป็นทันทีที่คำพูดเขาดังเข้าไปในสามวิญญาณนี้ คนชุดคลุมดำสามคนที่สร้างพายุฝนกลิ่นคาวเลือดแทบทุกโลกในฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์จนเกิดเป็น กลิ่นอายความแค้นไม่มีสิ้นสุดเลือกปฏิบัติตามเงียบๆ พวกเขาเรียกร่างแยกกลับมา ก่อนเป็นสายรุ้งยาวสีดำสามสายตรงไปยังช่องโหว่สามรกร้าง
แทบเป็นช่วงที่ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงกล่าวขึ้นและคนชุดคลุมดำสามคนนั้นพุ่งไปยังช่องโหว่ มีเสียงถอนหายใจดังแว่วมาจากในมวลอากาศข้างกายผู้เฒ่าเมี่ยเซิง
“เจ้าไม่เห็นต้องทำเช่นนี้” เสียงถอนหายใจนี้ดังกะทันหันยิ่ง ทำให้ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงหน้าเปลี่ยนสีและเงยหน้าขึ้นโดยพลัน มีร่างเงาหนึ่งเดินออกมาจากอากาศตรงหน้าเขา ร่างเงานี้ก็คือ…ซูหมิง
แต่ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงยังรู้สึกชัดเจนอยู่ว่าซูหมิงกำลังเดินสับสนในการตระหนักรู้
‘จิตเต๋า’ ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงหรี่ตาแคบลง ชั่วขณะที่เอ่ย ร่างเงาซูหมิงที่เดินออกมาจากมวลอากาศยกมือขวาขึ้นตบฝ่ามือไปตรงหน้าช้าๆ
ร่างเงาเขาดูสมจริง แต่ความจริงเลือนรางเป็นมายา ตอนที่ตบฝ่ามือเข้ามา ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงดวงตาวาววับ เขาขยับวูบไหว ตรงหน้าก็ปรากฏเงามายาร่างหนึ่งเช่นกัน ร่างเงานี้มีวิธีการรวมขึ้นเหมือนกับซูหมิงทุกประการ!
สองร่างเงานี้ปะทะกันในทันใด
เพียงแค่ปะทะกัน โลกที่สี่ตรงหน้าสองคนพลันถูกฉีกออกเป็นรอยแยกสายหนึ่ง รอยแยกเชื่อมผ่านมวลอากาศ ประหนึ่งระหว่างแสงและเงามืดที่ไม่มีวันมาบรรจบกัน
พริบตาที่เกิดรอยแยกนี้ เรือโบราณที่ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงซ่อนตัวอยู่เผยออกมาจากอากาศบิดเบี้ยว เส้นผมผู้เฒ่าเมี่ยเซิงปลิวไสว ร่างมายาตรงหน้าเขากลายเป็นจุดแสงผลึกกระจายออก
แต่ขณะเดียวกันร่างเงามายาของซูหมิงอีกด้านหนึ่งของรอยแยกสลายไป พร้อมกันนั้นเขาส่ายหน้าด้วยสีหน้าเสียดายและเด็ดขาด
“แค่ร้อยยี่สิบปีเจ้ากลับตระหนักรู้ถึงระดับจิตเต๋า ซูหมิง…ข้าดูถูกเจ้าไปจริงๆ แต่แล้วอย่างไร เจ้าทำอะไรข้าไม่ได้ ข้าก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้ เช่นนั้น…สามร้อยกว่าปี จากนี้ เจ้ากับข้ามาตัดสินกัน
สามร้อยกว่าปีนี้อยู่อีกไม่ไกลแล้ว!” ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงยิ้มมุมปาก ขณะกล่าว เรือโบราณของเขาค่อยๆ หายไปในอากาศพร้อมกับร่างเงาซูหมิง มีเพียงรอยแยกที่แบ่งโลกสายหนึ่งนั้นที่ยังอยู่เป็นพยานแก่เรื่องนี้
กลางฟ้า ซูหมิงที่เดินอยู่ด้วยสีหน้าสับสนพลันหยุดชะงัก กลิ่นอายพลังในตัวเขาเสถียรภาพขึ้นเรื่อยๆ สีหน้าไม่สับสนอีก แต่ลืมตาขึ้นช้าๆ
“สามร้อยกว่าปีจากนี้ ตอนที่พบกันอีกครั้ง…เจ้าจะยังเป็นเจ้าหรือ?” ซูหมิงเงียบอยู่นานมากก่อนพูดขึ้นเรียบๆ