ตอนที่ 1355 หิมะตกอยู่ตลอด
ร่างแยกเขารวมขึ้นอย่างรวดเร็วจนกลับมาเป็นร่างกายอีกครั้ง ภายในผืนฟ้าแห่งนี้ ดูเหมือนโลกแท้จริงดาราสัจธรรม แต่ในความรู้สึกลู่ยา ที่นี่กลับมีการป้องกัน อย่างหนาแน่น จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงการออกไป เพียงแค่อยู่ก็ยากยิ่งแล้ว
เมื่อซูหมิงหลับตา ทั้งโลกพังพินาศลง ลู่ยามีสีหน้าตื่นกลัว ภยันตรายเป็นตายร้ายแรงผุดขึ้นมาในใจอย่างเด่นชัด โลกรอบๆ แตกเป็นเสี่ยงๆ กลิ่นอายทำลายล้างรุนแรงถึงขีดสุด
นัยน์ตาลู่ยาฉายแววคลุ้มคลั่ง เขายกมือขวาขึ้นตบระหว่างคิ้วอีกครั้ง เพียงตบไป สัญลักษณ์น้ำเต้าตรงหน้าผากขยับแสงพร่างพราว ขณะเดียวกันร่างลู่ยาแห้งเหี่ยวลงในฉับพลัน เหมือนว่าชีวิตรวมถึงวิญญาณและเลือดเนื้อถูกสัญลักษณ์ตรงระหว่างคิ้วสูบไป
ตอนที่ทั้งตัวแห้งปานโครงกระดูก สัญลักษณ์น้ำเต้าตรงระหว่างคิ้วเปล่งแสงสว่างจ้า มันขยับแสงต่อเนื่องกันเจ็ดสีต่างกันแล้วหลุดออกมาจากในระหว่างคิ้ว ลู่ยามีสีหน้าเจ็บปวดอย่างชัดเจน จนเมื่อโลกรอบตัวพังลงเข้ามาใกล้ น้ำเต้าเจ็ดสีปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา
ลู่ยาที่ไม่มีสัญลักษณ์น้ำเต้าตรงระหว่างคิ้วดูชราลงมาก แต่ความบ้าคลั่งในสีหน้ากลับเด่นชัดยิ่งกว่าเดิม เขาเงยหน้าตะโกนขึ้นฟ้า น้ำเต้าเจ็ดสีพลันเปล่งแสงสว่างจ้าเจ็ดสีปกคลุมไปรอบๆ เมื่อปกคลุมร่างเขาเอาไว้แล้วก็ขยายออกไปยังมวลอากาศทำลายล้างที่บีบเข้ามาจากรอบๆ เป็นการโต้กลับที่รุนแรงที่สุด
ตอนนี้เองซูหมิงหลับตาสนิทแล้ว
ไม่มีเสียงครึกโครม ไม่มีเสียงดังสนั่น ไม่มีการเปลี่ยนแปลงของอภินิหารน่าตกใจ และก็ไม่มีวิชาที่ทำให้ผืนฟ้าสั่นไหว ทันทีที่ซูหมิงหลับตาลง ทั้งโลกหายไปราวกับ ถูกลบ รวมถึงแสงเจ็ดสีนั้น รวมถึงทุกโลกที่เหมือนเป็นวัฏจักรมาตลอด แล้วก็…ลู่ยาด้วยเช่นกัน
ไม่ว่าดิ้นรนอย่างไร ไม่ว่าต่อต้านอย่างไร หลังจากซูหมิงหลับตาลง ก็อ่อนแอจนรับการโจมตีครั้งเดียวไม่ไหว
เหมือนกับไม่อยู่ในสายตาซูหมิงแล้ว ดังนั้นจึงไม่อยู่ในใจเขา ดังนั้น…ทุกอย่างจึงไม่มีอยู่
ตอนที่ซูหมิงลืมตาขึ้น เขาอยู่โลกแท้จริงดาราสัจธรรม ทุกอย่างรอบตัวเป็นปกติ ทั้งโลกไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
มีเพียงช่วงที่เขายกมือขวาขึ้น ในมือปรากฏน้ำเต้าเจ็ดสีอันหนึ่ง น้ำเต้านี้เต็มไปด้วยรอยร้าวนับไม่ถ้วน ก่อนแตกสลายเป็นธุลีในมือ
“เต๋าของป้านปู่จื่อ ความบ้าอำนาจของเขาไม่เป็นรองพลังที่ขอแค่เชื่อก็จะมีอยู่ที่ข้าตระหนักรู้เลย” ซูหมิงพูดเบาๆ
ทุกอย่างจบลง
ซูหมิงพลิกมือให้เถ้าธุลีของน้ำเต้าเจ็ดสีลอยไปตามลม ก่อนหมุนตัวกลับเดินไปทางยอดเขาลำดับเก้า เขาอยากกลับบ้าน หลายร้อยปีก่อนภัยพิบัติ เขาไม่อยากไปที่ใดเลย แค่อยากกลับยอดเขาลำดับเก้า…อยู่กับสหายเงียบๆ ที่นั่น รอภัยในอีก หลายร้อยปีจากนี้
ซูหมิงกลับยอดเขาลำดับเก้าแล้ว
ไม่ได้กลับมาร้อยกว่าปี ยอดเขาลำดับเก้าไม่ได้หยุดพัฒนาเพราะซูหมิงไม่อยู่ แต่กลับรุ่งเรืองยิ่งว่าเดิม จำนวนศิษย์เพิ่มมากขึ้นไม่น้อย ภายใต้การนำของศิษย์พี่รอง จึงกำลังมุ่งหน้าไปสู่อันดับของสำนักขนาดใหญ่
ตอนที่ซูหมิงกลับมา เขามองพวกศิษย์พี่ใหญ่ มองชางหลัน สวี่ฮุ่ยและอวี่เซวียน มองท่านปู่ เห็นใบหน้าคุ้นเคยมากมาย
เหมือนว่าตอนนี้เวลาจะผ่านไปอย่างนุ่มนวล ซูหมิงกลับยอดเขาลำดับเก้าแล้วก็ไม่ได้ออกไปอีก
วันนี้หิมะตก มันเปลี่ยนแผ่นดินให้เป็นผ้าขาว มองไปเป็นแสงเงิน รวมกับหิมะที่ยังอยู่กลางอากาศแล้ว คล้ายกับว่าร่างออกมาเป็นวันพรุ่งนี้ที่สวยงาม
มีหิมะและมีสายลม
กลางพายุหิมะ ซูหมิงยืนมองหิมะตกอยู่บนหน้าผา เขานึกถึงไป๋หลิงรางๆ เพียงแต่ตอนที่นึกกลับไปจะเหมือนมีเวลาเนิ่นนานขวางเอาไว้ มีความรู้สึกผ่านโลกมานานกับแปลกตา เขาเหมือนเห็นว่าบนพื้นหิมะมีร่างเงาเด็กสาวสองคนกำลังเดินไกลออกไป รอยเท้าข้างหลังค่อยๆ ถูกปกคลุมด้วยหิมะ จึงหาร่องรอยขากลับไม่พบ
ในความเลือนรางเขายังนึกถึงเสี่ยวหง เห็นภูเขาทมิฬ เห็นบนเขาทมิฬมีเด็กหนุ่มสวมเสื้อหนังสัตว์คนหนึ่งกำลังปีนเขา กำลังเก็บสมุนไพร วานรเพลิงสีแดงตัวหนึ่งติดตามข้างกายเขา นั่นคือช่วงเวลาหนึ่งและก็เป็นช่วงเวลาที่งดงาม
ซูหมิงยิ้ม เขามองร่างเงาเด็กหนุ่มคนนั้น ในรอยยิ้มมีความแปลกตา เหมือนความทรงจำก็นานมากเช่นกัน จนกระทั่งเขาเห็นภูเขาทมิฬ เห็นผู้คนในความทรงจำในอดีต
หิมะตกอยู่ตลอด
“กำลังคิดอะไรอยู่” เสียงแก่ชราดังแว่วมาจากข้างหลังซูหมิง ร่างท่านปู่เดินกะเผลกเล็กน้อย คลุมด้วยอาภรณ์หนาๆ ตัวหนึ่ง ยืนอยู่ข้างหลังซูหมิงกล่าวด้วยความเมตตา
ซูหมิงหมุนตัวกลับมามองท่านปู่ด้วยสีหน้าปลงอนิจจัง
“กำลังนึกถึงความงดงามในอดีต”
“คนที่ชอบนึกย้อนกลับไปล้วนเป็นพวกตาแก่อย่างข้า” ท่านปู่ยิ้มมองสายลมหิมะไกลๆ
“ปีที่แล้วๆ มาในฤดูกาลนี้ล้วนเป็นช่วงเวลาที่คึกคักที่สุดในชนเผ่า อาหารที่ใช้ผ่านฤดูหนาวก็เตรียมเอาไว้พอแล้ว ในชนเผ่าจะจุดกองไฟ จากนั้นพวกชาวเผ่าจะมาเต้นรอบกองไฟผ่านฤดูหนาว
โดยเฉพาะลาซูน้อยเหล่านั้นจะตื่นเต้นเป็นที่สุด” ท่านปู่ยิ้มพลางส่ายหน้า
“ใช่ ข้ายังจำเสี่ยวถงถงได้…” เหมือนกับมีเด็กหญิงวัยห้าหกขวบที่อุ้มตุ๊กตาตัวหนึ่งลอยขึ้นมาตรงหน้าซูหมิง
“มันผ่านไปแล้ว” ท่านปู่เงียบอยู่ชั่วครู่ เหมือนว่าความชราในตัวเขามากขึ้นเล็กน้อย ร่างกายบอบบางขึ้นไม่น้อย จึงเหมือนรู้สึกถึงความหนาวในสายลมหิมะ
“ข้าชราภาพแล้ว…” ท่านปู่ส่ายหน้า มองซูหมิงแล้วหมุนตัวเดินไกลออกไป ซูหมิงหันไปมองเงาแผ่นหลังท่านปู่ เงาแผ่นหลังนั้นไม่ได้กำยำอย่างที่ตนเคยเห็นในวัยเยาว์อีก ไม่เหมือนฟ้าที่ค้ำยันทั้งชนเผ่าอีก
ยามนี้เงาแผ่นหลังนี้ราวกับชายชราที่อยู่มาหลายยุค ในช่วงบั้นปลาย ร่างเงามีความเงียบเหงาเล็กน้อย…แม้ร่างเงานี้จะไม่ใช่ฟ้าอีก แต่ในสายตาซูหมิงก็ยังเป็นท่านปู่ในตอนนั้นชั่วนิรันดร์ เป็นท่านปู่ที่เคยปกป้องชนเผ่า ปกป้องซูหมิงตลอดไป
หิมะ ไม่ได้ตกมาสิบปี แต่เวลาผ่านไปหกสิบปี
ในหกสิบปีนี้ซูหมิงวางเรื่องทุกอย่างในใจ ไม่ใคร่ครวญถึงภัยพิบัติ ไม่คิดถึง ดวงจิตสามรกร้าง แต่ตกอยู่ในห้วงยอดเขาลำดับเก้า ตกอยู่ในห้วงมิตรสหายของ เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้อง และยังอยู่กับพวกอวี่เซวียนสามคน
ที่นี่คือบ้านเขา เป็นตลอดไป
ศิษย์พี่ใหญ่ก็ไม่ใช่ไม่มีหัวอีก แต่หลังปิดด่านนั่งฌานครั้งหนึ่งก็สร้างร่างขึ้นมา กลายเป็นความคุ้นเคยในอดีตของซูหมิง ในช่วงสิบปีมานี้ ศิษย์พี่รองแต่งงานกับ หญิงหกคน บางครั้งจะหัวเราะอย่างเบิกบานใจ พอซูหมิงได้ยินแล้วจะยิ้ม
ส่วนหู่จื่อ พอได้ฟังคำสั่งสอนจากเทียนเสียจื่อที่ซูหมิงนำมาบอกต่อแล้ว ก็อึดอัดในช่วงเวลานี้มาก เขาต้องกลับไปดื่มสุรา เริ่มนอนหลับกรนเสียงดังอย่างสบายใจ ทั้งยัง…กลับมามีนิสัยชอบถ้ำมองอย่างเต็มใจ
ดังนั้น…เป้าหมายที่เขาถ้ำมองนอกจากศิษย์สตรีในสำนักแล้ว ที่มากกว่านั้นคือเหล่าภรรยาของศิษย์พี่รอง ทำให้สำนักยอดเขาลำดับเก้าเริ่มเปี่ยมล้นไปด้วยความรู้สึกในความทรงจำซูหมิง
ฤดูหนาวผ่านใบไม้ผลิผ่าน บนยอดเขาลำดับเก้ามีพืชดอกปลูกขึ้นไม่น้อย เหล่านี้เป็นฝีมือศิษย์พี่รอง เขาเหมือนจะชอบพืชดอกเหล่านี้ น่าเสียดายไม่มีร่างเงาวูบไหวไปมาในยามค่ำคืนแล้ว
ในฤดูใบไม้ร่วง ซูหมิงนั่งอยู่นอกถ้ำของเขากลางสายลมฤดูใบไม้ร่วง ข้างกายมีสุราวางอยู่ เขาดื่มมันไปทีละอึก มองใบไม้ร่วงพลางดมกลิ่นหอมสุราใบไม้ร่วง ชางหลันอยู่ข้างๆ อย่างสงบนิ่งมาก มองอวี่เซวียนกับสวี่ฮุ่ยที่กำลังฝึกฝนวิชาด้วยกัน
ด้วยความชอบชิงดีชิงเด่นของสวี่ฮุ่ยกับความไม่ยอมถอยของอวี่เซวียน เลยทำให้ หญิงสองคนนี้มักจะเกิดการกระทบกระทั่งและมีปากเสียงกันบ่อยๆ พอถึงเวลาที่เหมาะสมแล้ว ชางหลันจะพูดขึ้นหลายประโยคเหมือนไม่ได้ตั้งใจ ทำให้หญิงสองคนนี้เริ่มต่อสู้กัน
พอถึงเวลานี้ซูหมิงมักจะหิ้วสุรามานั่งยิ้มหยี่ตามองอยู่ข้างๆ ช่วงเวลานี้งดงามมาก งดงามจนบางครั้งซูหมิงคิดว่าหากเป็นอย่างนี้ต่อไป…ก็คงจะดีน่าดู
เทียบกับซูหมิงที่รู้สึกงดงามแล้ว กระเรียนขนร่วงคืนนิสัยเดิมมานานแล้ว มันพามังกรยมโลกออกไปรีดไถหินผลึกเป็นบางครั้ง กระทั่งยังแปลงกายเป็นรูปลักษณ์ต่างๆ เปลี่ยนหินผลึกในกระเป๋าศิษย์ในสำนักให้เป็นของตน
นี่แทบจะเป็นเรื่องที่มันภูมิใจที่สุด ทุกครั้งที่สำเร็จจะวิ่งมาหาซูหมิงด้วย ความตื่นเต้น ให้ซูหมิงใช้วิชาเปลี่ยนหินผลึกให้กับมันอีก ในมุมมองมัน นั่นคืออภินิหารแรกในใต้หล้าที่ไม่เคยมีมาก่อนซึ่งทำให้ใจมันไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
วันเวลาผ่านไปทีละวัน ทีละปี จนเมื่อศิษย์พี่รองตบแต่งภรรยาคนที่สามสิบเจ็ด เวลาผ่านไปร้อยปีแล้ว
ร้อยปีมานี้ มหาโลกสามรกร้างเริ่มสั่นสะเทือน การสั่นสะเทือนเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นมีผู้ฝึกฌานไม่น้อยสังเกตเห็น ราวกับว่าทั้งโลกเอียงตัว มีแรงดูดไร้รูปคงอยู่ ทำให้ผืนฟ้าไม่สงบนิ่งอีก แต่เกิดระลอกคลื่นวูบวาบเล็กน้อย
ดาวบางดวงเริ่มเหมือนกับน้ำทะเลแห้งเหือด เหมือนแผ่นดินใหญ่แตก พลังชีวิตดาวค่อยๆ เกิดร่องรอยหายไป…
ซูหมิงรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ เขาสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ของมหาโลกสามรกร้าง นั่นคือสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นก่อนปีกซางเซียงซ้อนทับกัน ทุกอย่างเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งช่วงที่ปีกซ้อนทับกัน ภัยพิบัติจะมาถึง
ร้อยปีมานี้ ร่างกายท่านปู่อ่อนแอลงเรื่อยๆ อายุขัยเขาใกล้จะหมดแล้ว ร่องรอยเขาก็จะถูกกาลเวลาลบไป สุดท้ายก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้นานนัก…
ซูหมิงอยู่ยอดเขาลำดับเก้ามาตลอด แต่ตอนที่เขาหลับตาลง ร่างกายเขาไปปรากฏที่ทุกแห่งในมหาโลกสามรกร้าง จนกระทั่งยามเช้าตรู่ของวันหนึ่ง มีฝนตกใต้ผืนฟ้า ตกลงบนแผ่นดินจึงเกิดเป็นม่านฝนให้โลกขุ่นมัว
“ควรต้องตัดสินใจแล้ว…” ซูหมิงมองสายฝนพลางพูดเบาๆ
เส้นทาง ซูหมิงไม่อาจเลือกเส้นทางไปจักรวาลกว้างใหญ่ เพราะเขาไม่มีความมั่นใจในจักรวาลกว้างใหญ่ แต่ทางเลือกที่สองต้องปะทะกับชายหนุ่มชุดคลุมดำ สำหรับซูหมิงแล้ว…นี่คือการเดิมพัน อีกทั้งแทบไม่มีโอกาสชนะ
มีเพียงทางเลือกที่สาม แต่ว่าเส้นทางนี้…ซูหมิงไม่มีอำนาจในการตัดสินใจ