Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1398

ตอนที่ 1398 จิตเต๋าขั้นสอง

ฝนกำลังตก ฟ้าเหนือฟ้า ได้ยินมองเห็น เพียงแต่สัมผัสไม่ได้

เหมือนกับเรื่องราวในอดีตที่เป้ยฉยงเล่า มองเห็นเส้นทางข้างหลังชัดเจน หาร่องรอยการเดินทางพบ แต่หมุนตัวเดินต่อไป…กลับมีสองเส้นทาง

ซูหมิงยิ้มมุมปากอยู่บนหน้าผายอดเขา รอยยิ้มนั้นเย็นชา มีความหมายลึกซึ้ง ประกอบกับความยึดมั่นในแววตาแล้วกลายเป็นความชั่วร้ายที่บอกไม่ถูก ราวกับดวงตานั้นอ่านกาลเวลาเนิ่นนานออก อ่านวัฏจักรในอดีตออก และก็อ่านทุกอย่างของตัวเองออก

เหมือนกับการตระหนักรู้ ในการตระหนักรู้นี้ หากหลงทาง เช่นนั้นวันหนึ่งที่ตื่นขึ้น บางทีการตื่นในครั้งนี้เจ้าอาจคิดไปเอง แต่ความจริงแล้วยังคงหลงทาง

แต่หากไม่หลงทางก็ต้องรักษาเจตนาเดิมเอาไว้…ไม่ให้หลงทางไปชั่วนิรันดร์!

ตอนนี้จิตเต๋าของเขาที่นั่งขัดสมาธิอยู่กลางดวงตาที่สามตรงระหว่างคิ้วลืมตาขึ้น เผยความเข้าใจต่อสายฝนนี้เช่นกัน…

มาได้ดี มาได้พิลึก มาได้ทันเวลา อีกทั้ง…ยังมาอย่างกะทันหัน!

ซูหมิงไม่ได้มองสายฝน แต่เป็นร่างเงาที่ค่อยๆ เดินไกลออกไปกลางสายฝน ร่างเงานั้นผ่านโลกมาเนิ่นนาน สวมเสื้อกันฝน สวมงอบ…ราวกับคนพายเรือ และก็เหมือน…อาจารย์ของเขาในความทรงจำ

ยามนี้เองสายฟ้าผ่าลงมาส่องสว่างแผ่นดิน ร่างเงาในสายตาซูหมิงเหมือนหยุดชะงักครู่หนึ่ง ก่อนหันหน้ากลับมาช้าๆ มองมาที่ซูหมิง แต่ตอนที่ซูหมิงจะเห็นหน้าตาเขาชัดเจนนั้น ร่างเงานี้กลับหายไปพร้อมกับสายฟ้าแล้ว

ซูหมิงหลับตาลง แต่ดวงตาที่สามลืมตาขึ้น จิตเต๋าในนั้นไม่หลับตาเช่นกัน ประกายความเข้าใจในแววตาสว่างขึ้นเรื่อยๆ จนจิตเต๋าในดวงตาที่สามยิ้มมุมปาก

เขา…เข้าใจแล้ว!

เขาได้เข้าใจเป็นครั้งแรกในโลกจริงปลอมนี้ การเข้าใจครั้งนี้ทำให้เขายึดมั่น ยิ่งกว่าเดิม และยังทำให้ยืนหยัดเด็ดขาดกว่าเดิม ทำให้จิตใจเขาอยู่ในความสงบนิ่ง ในระหว่างการต่อสู้ที่แทบจะเรียกได้ว่าโดยตรงกับเสวียนจั้งนี้…จิตเต๋าซูหมิงค่อยๆ เกิดการซ้อนทับ

เมื่อจิตเต๋าซ้อนทับ สายฝนข้างนอกตกหนักกว่าเดิม ม่านฝนปกคลุมทุกอย่าง คล้ายว่าแม้แต่ฟ้าเหนือฟ้าชั้นห้ายังถูกหมอกฝนเลือนรางปกคลุมด้วย แต่ก็ยังคงมองเห็นอย่างเดียว สัมผัสไม่ได้ เหมือนมีหลายโลกกั้นกลางชั้นหนึ่งไว้

ความรู้สึกซ้อนทับของจิตเต๋าในดวงตาที่สามของซูหมิงเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งผืนฟ้าเกิดเสียงดังสนั่น ฟ้าผ่าสะเทือนฟ้า สายฟ้าส่องสะท้อนโดยรอบ…ตอนนี้เองความรู้สึกซ้อนทับของจิตเต๋าในดวงตาที่สามรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

แต่เหมือนว่าสุดท้ายยังขาดอะไรบางอย่างไป แม้การซ้อนทับจะดูเหมือนมี จิตเต๋าสองร่าง แต่กลับยากจะแยกออก ยังคงไม่อาจมีจิตเต๋าสองร่างอย่างแท้จริง

‘ชีวิตนี้ข้าซูหมิงแสวงหาเต๋า ต้องเดินบนเส้นทางนี้ต่อไป ชีวิตยืนยาวไว้ข้างหลัง อภินิหารเป็นเพียงส่วนหนึ่งระหว่างทาง เจตนาเดิมในการแสวงหาต่างหากที่เป็นเต๋าที่ข้าต้องตามหา…

แสวงหาการไขข้อสงสัย แสวงหาความเข้าใจ แสวงหา…เต๋าที่ข้าซูหมิงต้องการ! ข้าแสวงหาเต๋านี้ นี่คือเส้นทางของข้า ตระหนักรู้การเปลี่ยนแปลงฟ้าดิน ตระหนักรู้การผันเปลี่ยนวัฏจักร เดินต่อไป ยึดมั่นในความศรัทธาของตน นี่…คือเส้นทางการแสวงหาจิตใจ’

‘เหมือนกับสายฝนนี้ ข้ามองอยู่ที่ฟ้าเหนือฟ้า แต่หากข้าอยากจะ…’ ดวงตาซูหมิงแวววาว เขายกมือขวาคว้าไปยังใต้ภูเขา ท่ามกลางเสียงฟ้าผ่าดังสนั่น ตอนที่ดึงมือขวากลับ กลางฝ่ามือมีน้ำฝนอยู่!

น้ำฝนนี้ไหลตกลงมาตามซอกนิ้ว กลายเป็นรอยยิ้มมุมปากของเขา รอยยิ้มกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ จนตอนที่เขาหัวเราะเสียงดัง จิตเต๋าในดวงตาที่สาม…

จากหนึ่งแยกเป็นสองในพริบตา!

นั่นคือการซ้อนทับกันจนถึงขีดสุดแล้วแยกออกเป็นจิตเต๋าสองร่าง!

ทันทีที่ปรากฏจิตเต๋าที่สอง ซูหมิงทะลวงพลังทันที จากจิตเต๋าขั้นหนึ่งก้าวสู่ จิตเต๋าขั้นสอง เส้นผมยาวปลิวไสว อาภรณ์โบกสะบัด สายฝนข้างนอกตกหนักกว่าเดิม ฟ้าผ่าดังสนั่นยิ่งขึ้น สายฟ้ายังสว่างขึ้น!

สายฝนนี้มาได้ดี มาได้พิลึก!

การมาของมันทำให้การตระหนักรู้ของซูหมิงยกระดับขึ้นในทันใด ทำให้เขาเหมือนคลำหาเต๋าของตัวเองพบรางๆ ในการยกระดับนี้

ทำให้พลังเขาปะทุขึ้นจากในร่างกาย ทะลวงจากจิตเต๋าขั้นหนึ่งไปจิตเต๋าขั้นสอง หากเขาเดินไปได้อีกก้าว เช่นนั้นจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ก้าวสู่…ขอบเขตวิญญาณเต๋า ผู้แข็งแกร่งที่มีไม่มากทั้งแคว้นกู่จั้ง!

‘เสวียนจั้ง ข้าเชื่อว่าโลกของข้ามีอยู่จริงๆ ข้าเชื่อว่าข้าคือซูหมิง ไม่ใช่องค์ชายสามอะไรนั่น และก็…ไม่ใช่เจ้า!

เสวียนจั้ง การต่อสู้แห่งการยึดร่างครั้งนี้ เจ้าโจมตีมา ข้าโต้กลับ…แต่สุดท้าย สักวันหนึ่ง ข้าซูหมิงจะเป็นคนลงมือ ส่วนเจ้า…ต้องตกต่ำอยู่ในโลก มาดูกันว่า…เจ้ากับข้าใครจะตื่นก่อนกัน!

การต่อสู้ทุกครั้งระหว่างเราจะทำให้ข้า…แกร่งขึ้นเรื่อยๆ!’ ซูหมิงมีสีหน้าเหี้ยมโหด ระหว่างที่สะบัดแขนเสื้อ เส้นผมเขากลายเป็นสีม่วง ผมม่วงนี้ไม่ใช่ของหวังเทา แต่เป็นของซูหมิง

ตอนนี้เขายืนขึ้น สายฝนรอบตัวในตอนนี้ ด้วยความที่ย้อมด้วยสีดำของค่ำคืนมืดและสีของซูหมิงมันจึงกลายเป็นสีแดง ราวกับเปลี่ยนเป็นทะเลโลหิตกว้างใหญ่

ช่วงที่ทะเลโลหิตถาโถม ซูหมิงยืนอยู่ข้างหน้าผา ข้างล่างเป็นเหวลึก เป็นสำนักเจ็ดจันทรา เส้นผมยาวถูกลมพัดจนยุ่งเหยิง แต่กลับไม่อาจก่อกวนจิตใจ

เขายกมือซ้ายขึ้น พลันมีเพลิงที่คล้ายจะไม่มอดดับชั่วนิรันดร์ลอยขึ้นกลางมือ มันเกิดจากจิตสำนึกซูหมิง เพลิงที่ไม่มอดดับนี้เป็นดั่งความยึดมั่นของเขาที่จะไม่ มอดดับไปตลอดกาล!

กลางเพลิงส่องสะท้อนเป็นความทรงจำเขา ระหว่างที่โดยรอบกลางพายุฝนบนหน้าผาเหมือนกลายเป็นทะเลโลหิตไหลเชี่ยว…ซูหมิงก้มหน้าลงเพ่งมองเพลิงในมือ แววตาไม่รวดเร็วและดุดันอีก แต่อ่อนโยน

กลางเพลิงนั้นเขาเหมือนเห็นสามรกร้าง เห็นสี่โลกแท้จริง เห็นศิษย์พี่สามคน และยังมีท่านปู่ ชางหลัน อวี่เซวียน สวี่ฮุ่ย รวมถึงใบหน้าคนมากมายที่กำลังยิ้ม แล้วก็…กระเรียนขนร่วง!

ในนั้นมีภูเขาทมิฬ มียอดเขาลำดับเก้า มีทุกอย่างที่ซูหมิงย่อมจ่ายทุกสิ่งเพื่อรักษา ที่นั่น…คือเจตนาเดิมที่เขายืนหยัด เป็นพลังแห่งต้นกำเนิดที่ให้เขาเดินต่อไปได้!

และก็เป็น…เส้นตายของเขา!

ผ่านไปพักใหญ่ซูหมิงถึงกำมือซ้ายเบาๆ นำเพลิงจากความทรงจำจิตสำนึกนั้นเก็บไปในกลางฝ่ามือ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองฝนบนฟ้า มองสายฟ้าผ่าด้วยแววตาสุขุมเยือกเย็น

“ข้าคือซูหมิง” ซูหมิงกล่าวนิ่งๆ ทันใดนั้นเองบนฟ้าเหนือฟ้าชั้นสี่มีสายฟ้าฝ่าลงมา ในนั้นปรากฏอักขระจำนวนมาก การปรากฏของพวกมันก่อให้เกิดเสียงดังสนั่นยิ่งกว่าเสียงฟ้าผ่า ดึงดูดความสนใจของคนสำนักเจ็ดจันทรา ตอนนี้เองอักขระเหล่านั้นรวมขึ้นเป็นเข็มทิศอักขระยักษ์กลางฟ้าเหนือฟ้าชั้นสี่ซึ่งไม่ว่าฟ้าเหนือฟ้าชั้นใดก็มองเห็น

ระหว่างที่เข็มทิศนั้นหมุนโคจรพลันมีร่างเงาหนึ่งพุ่งออกมาจากยอดเขาไกลๆ พริบตาเดียวก็ขึ้นไปบนเข็มทิศ กลายเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง

สวมชุดคลุมขาว ดวงตาดั่งดารา เส้นผมดำแกว่งไกวเผยใบหน้าหล่อเหลาไม่ธรรมดา นั่นคือ…เยี่ยหลง!

“เยี่ยหลง ขอท้าประลองวงแหวนอาคมจิตเต๋าสยบเงา วงแหวนอาคมที่เจ็ด โปรดอาจารย์อนุญาตด้วย!” เยี่ยหลงประสานมือคารวะยอดเขาที่เขามา คำพูดก้องกังวานในคืนฝนตก สั่นสะเทือนฟ้าเหนือฟ้าหนึ่งถึงห้าชั้น ทำให้ศิษย์สำนักเจ็ดจันทราที่นั่งฌานในคืนฝนตกต่างลืมตาขึ้น

เมื่อแต่ละคนมองมา บ้างก็มีกลุ่มคนเดินออกมากันอย่างไม่ขาดสาย มีสายฟ้าสายหนึ่งผ่าลงมากลางฟ้า ส่องสว่างไปรอบๆ ส่องแสงเข็มทิศอักขระยักษ์นั้น อีกทั้งยัง ส่องประกายให้เยี่ยหลงเด่นชัดในสายตาของทุกคนที่มองไป

“อนุญาต!” พริบตาที่เสียงทุ่มต่ำดังขึ้น สายฟ้าเหมือนสั่นไหว ไม่กล้าปรากฏกาย ฟ้าผ่ายังยำเกรง ไม่กล้าออกเสียง แม้แต่สายฝนบนฟ้ายังเกิดระลอกคลื่นนับไม่ถ้วน ในทุกหยาดฝนเผยเป็นร่างเงาชายชุดคลุมแดง

ทันทีที่คำพูดนี้ดังขึ้น ซูหมิงเงยหน้าขึ้นมองฟ้าเหนือฟ้าชั้นหก ตรงนั้น…คือโลกของชายชุดคลุมแดงเท่านั้น เป็นสมบัติล้ำค่าสำนักเจ็ดจันทราของผู้อาวุโสใหญ่ที่ดูแลสำนักในทุกหลายยุคของสำนักเจ็ดจันทราเท่านั้น!

เมื่อเสียงชายชุดคลุมแดงดังกึกก้องแล้ว สายฟ้าถึงกล้าส่องแสง ฟ้าผ่าถึงกล้าส่งเสียงคำราม สายฝนถึงกล้าตกลงบนแผ่นดิน ตอนนี้เยี่ยหลงบนเข็มทิศลอย กลางอากาศยืนขึ้น เงยหน้าตะโกนเสียงต่ำ

“วงแหวนอาคมที่เจ็ด!”

เสียงเขายังคงดังกึกก้อง เข็มทิศใต้เท้าพลันหมุนโคจร อักขระในนั้นส่องแสงไม่หยุด ข้างบนเหนือเขาปรากฏเข็มทิศที่สอง ขณะเดียวกันยังปรากฏอีกอันเป็นเข็มทิศ สามอัน!

เข็มทิศสามอันนี้ใหญ่ขึ้นทีละอัน เยี่ยหลงขยับวูบไหวมาปรากฏอยู่บนเข็มทิศที่สาม ยกสองมือขึ้นกดบนเข็มทิศ ทันใดนั้นเข็มทิศสามอันเกิดเสียงดังสนั่นพร้อมกัน พลังมหาศาลแผ่กระจายออกไปรอบๆ ก่อนมารวมที่ตัวเยี่ยหลง ทำให้เขาหน้าเหยเกย เส้นเลือดปูดขึ้น เปล่งเสียงคำราม

วงแหวนอาคมจิตเต๋าสยบเงามีทั้งหมดสิบสามชั้น วงแหวนอาคมแรกจะปรากฏเข็มทิศหนึ่งอัน วงแหวนอาคมที่สามปรากฏสอง จนวงแหวนอาคมที่เจ็ดถึงปรากฏ เข็มทิศสี่อัน ทุกสองชั้นจะปรากฏเข็มทิศหนึ่งอัน และตอนนี้ขณะเยี่ยหลงร้องคำราม เหนือเขาปรากฏเข็มทิศที่สี่!

นั่นคือเข็มทิศยักษ์ที่รวมจากสายฝนเป็นอักขระ จากนั้นก็รวมจากอักขระอีกที มันลอยอยู่เหนือเข็มทิศสามอัน เหมือนหลอมรวมกับสายฟ้า ทำให้ดูเหมือนว่าเข็มทิศเปล่งแสงไร้ที่สิ้นสุด

สิ่งที่เยี่ยหลงต้องทำคือยืนอยู่บนเข็มทิศที่สี่ให้ได้ นั่นถึงหมายความว่า…เขาผ่าน วงแหวนอาคมที่เจ็ด!

ภายใต้สายตาจับจ้องของทุกคน ท่ามกลางเสียงฟ้าผ่าดังสนั่น ช่วงที่สายฟ้าสว่างจ้าแสบตานั้น เสียงคำรามของเยี่ยหลงกลายเป็นเสียงเดียวในสำนักเจ็ดจันทราตอนนี้ เขายืนขึ้นด้วยร่างสั่นเทา สุดท้ายก็ข้ามผ่านเข็มทิศข้างบน มายืนอยู่บนเข็มทิศที่สี่ด้วยร่างสั่นสะท้าน พริบตานี้เอง…เขาผ่านวงแหวนอาคมที่เจ็ดแล้ว!

ฟ้าผ่าดุจมีอำนาจน่าเกรงขาม สายฟ้าดั่งแสงสว่าง สายฝนตกลงบนแผ่นดิน เยี่ยหลงในยามนี้ เส้นผมดำปลิวไสว หลังจากที่เขายืนตรงแล้วก็เงยหน้าเปล่งเสียงคำรามลากยาว

“หวังเทา แปดปีแล้ว แปดปีมานี้เจ้าไม่เคยตอบข้าเลย วันนี้…ข้าก็ยังจะถามเจ้าว่า เจ้า…กล้าท้าสู้กับวงแหวนอาคมจิตเต๋าสยบเงาหรือไม่!” เสียงเขาดังก้องในสำนัก เจ็ดจันทรา พริบตานี้เอง ทุกคนที่ได้ยินล้วนดวงตาเป็นประกายวาว

ซูหมิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนหน้าผาค่อยๆ เงยหน้าขึ้น!

นัยน์ตาเขาแวววาวเช่นกัน!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!