Skip to content

King of Gods 88

King Of Gods

บทที่ 88 : การประลองชี้แนะ (1)

จ้าวเฟิงนั้นเฝ้ารอการประลองชี้แนะที่จะเกิดขึ้นเพราะเขาไม่รู้ว่าผู้อื่นนั้นแข็งแกร่งเพียงใด ยังคงมีเวลาเหลืออีกสองสามวันกระทั่งถึงวันนั้น ก่อนหน้านั้นเด็กหนุ่มต้องไปยังคลังสมบัติ

คลังสมบัตินั้นมีตำราหลายเล่มรวมทั้งตำราเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ยา และวิชาต่อสู้ ตำรานี้ในเป็นสิ่งหายากยิ่ง ทว่าในฐานะของศิษย์ของเจ้าเมืองกว่านจวิน เด็กหนุ่มจึงสามารถอ่านพวกมันได้ทุกเวลาที่ต้องการ

จ้าวเฟิงไปยังส่วนของวิชาต่อสู้ซึ่งระดับที่สูงที่สุดนั้นได้เข้าถึงระดับอรรธเซียน ระดับอรรธเซียนนั้นค่อนข้างหายากแม้แต่กับจอมยุทธ์ หากคนผู้หนึ่งไม่พิสูจน์คุรค่าของตน พวกเขาย่อมไม่มีสิทธิที่จะได้พวกมัน ทว่าจ้าวเฟิงนั้นสามารถมาที่นี่และอ่านพวกมันได้ทั้งหมด ทว่าเขาสามารถนำออกไปได้เพียงสิบเล่ม จ้าวเฟิงใช้ดวงตาซ้ายอ่านตำราวิชาที่เขาสนใจทั้งหมดอย่างรวดเร็ว

กระทั่งบัดนี้ วิชาทั้งหมดของเขาล้วนเรียกได้ว่าเป็นระดับอรรธเซียน วิชาที่จ้าวเฟิงได้รับจากเป่ยโม่ยและองครักษ์สามนั้นต่างเป็นวิชาอรรธเซียนชั้นแนวหน้า โดยเฉพาะเคล็ดลมหายใจหวน มันเกือบจะเข้าระดับเซียนแล้ว

“ดูเหมือนว่าข้าจะยังไม่จำเป็นต้องเลือกวิชาอรรธเซียนอื่นในตอนนี้” จ้าวเฟิงสรุป

หากเกิดปัญหา เขามีดรรชนีดารา ทว่าหากหลอมมันเข้ากับกระบวนท่าลมเคลื่อน มันจะทรงพลังยิ่งนัก และเขาไม่ต้องการใช้เวลากับวิชาโจมตีอื่นมากเกินไป เด็กหนุ่มเลือกที่จะใช้พลังงานมากขึ้นกระบวนท่าวายุทั้งสี่ กระบวนท่าลมเคลื่อน กระบวนท่าวายุกรรโชก กระบวนท่าเสี้ยววายุ และกระบวนท่าตัดวายุเพลิง

บัดนี้จ้าวเฟิงได้เรียนรู้กระบวนท่าลมเคลื่อนได้เกือบหมดแล้ว เขาได้ขยับไปที่กระบวนท่าวายุกรรโชก

ตั้งแต่ที่เขาได้เห็นวิชาเซียน เขาได้สำนกขึ้นเล็กๆ ว่ากระบวนท่าวายุทั้งสี่นี้ไม่อาจนับได้ว่าธรรมดา เพียงแค่กระบวนท่าที่ไม่สมบูรณ์ก็มีพลังมากมายเพียงนี้

ภายในมิติในดวงตาซ้าย จ้าวเฟิงสามารถแสดงความทรงจำจากหลายๆ ฉากรวมทั้งกระบวนท่าวายุทั้งสี่และฝ่ามือลมลี้ลับ จ้าวเฟิงพบว่าเมื่อนำทั้งสองมาเทียบกันนั้นดูคล้ายคลึงกันในหลายๆ ทาง จากนั้นเขาจึงนำวิชาทั้งหมดที่เขาคิดว่าน่าสนใจและคัดลอกมันไว้ในสมองเพื่อเพิ่มความรู้ของเขาออกมา

หลังจากนั้นเขาจึงเปลี่ยนไปยังประวัติศาสตร์และภูมิประเทศส่วนหนึ่ง เพราะเขานั้นเกิดในตระกูลสาขาแสนอ่อนแอ เขาจึงไม่มีความรู้เกี่ยวกับโลกภายนอกมากนัก ภูมิประเทศและประวัติศาสตร์นั้นจำกัดอยู่เพียงสิบสามจักรวรรดิเมฆาคล้อยเท่านั้น

“ป่าเมฆาคล้อยนั้นใหญ่โต… มันมีชายขอบติดกับสิบสามจักรวรรดิ…” จ้าวเฟิงชะงักงันไปเล็กๆ

เช่นเดียวกับชื่อ สิบสามจักรวรรดิต้องร่างสนธิสัญญาขึ้นเพื่อร่วมมือกันต่อต้านศัตรู

ศัตรูอันใดกันที่ทำให้สิบสามจักรวรรดิต้องร่วมมือกัน? จ้าวเฟิงรีบพลิกผ่านตำราในทันที

“ในเวลาพันปีที่ผ่านมา สิบสามจักรวรรดิได้ถูกขนาบข้างโดยจักรวรรดิทรงอำนาจสองจักรวรรดิ จักรวรรดิคลังนภาและจักรวรรดิโลหะเลือด ทั้งสองจักรวรรดินั้นได้ก่อสงครามกันมานับล้านปี และไม่ว่าผู้ใดชนะ ก็หมายถึงความล่มสลายของสิบสามจักรวรรดิ…” จ้าวเฟิงตะลึงขณะที่เอ่ยออกมา

เมื่อนานมาแล้ว เขาคิดว่าเมืองประกายอรุณนั้นใหญ่โตแล้ว และจักรวรรดิเมฆานั้นเป็นเพียงความฝัน ทว่าบัดนี้ สิบสามจักรวรรดิ รวมทั้งจักรวรรดิเมฆานั้นต้องดิ้นรนระหว่างจักรวรรดิมหาอำนาจทั้งสอง

เมื่อสมดุลระหว่างสองจักรวรรดินั้นถูกทำลาย สิบสามจักรวรรดิย่อมถูกทำลาย

“หืม? ทวีปเหนือ?”

จ้าวเฟิงพบว่าหนังสือภูมิศาสตร์นั้นกล่าวว่าจักรวรรดิมหาอำนาจทั้งสองนั้นเป็นเพียงหนึ่งในจักรวรรดิในทวีปเหนือ ในเวลาครึ่งวันต่อมา จ้าวเฟิงได้ย่อยความรู้ที่เขาได้รับ ทว่าอันใดบางอย่าง เพียงแค่อันใดสักอย่าง เขารู้สึกว่าตำราเหล่านั้นเพียงแค่แตะลงที่มุมหนึ่งของภูเขา

สามวันผ่านไปในเวลาเพียงชั่วพริบตา

เช้าวันนั้น เฟิงฮันเยว่ จ้าวหยูเฟ่ย และจ้าวเฟิงต่างไปยังบ้านของหนานกงฟั่น เจ้าเมืองกว่านจวินนั้นมีศิษย์สายนอกทั้งหมด 10 คน ทว่ามีเพียงแค่ 5-6 คนที่อยู่ในรุ่นเดียวกัน รวมทั้งหนานกงฟั่น เฟิงฮันเยว่ จ้าวเฟิง และจ้าวหยูเฟ่ย นอกจากนั้นก็มีเด็กหนุ่มนามหยางชิงชั่น อายุราวๆ 16-17 ปี เป็นผู้ฝึกตนขั้นแปด

“ฮ่าฮ่า ศิษย์น้องหนานกงฟั่น เจ้าจะไม่แนะนำพวกหน้าใหม่นี่กับข้าหน่อยหรือ?” หยางชิงชั่นตะโกนลั่นและดูกระตือรือร้นยิ่งนัก

หนานกงฟั่นรู้สึกปวดศีรษะยามที่เขาแนะนำทั้งสามแก่อีกฝ่าย

“เหตุใดเจ้าเด็กน้อยเป่ยโม่ยจึงยังไม่มา? คนผู้นี้ได้ฝึกวิชาคลื่นกระเพื่อมแล้ว ข้าหวังว่าเขาจะบ้าคลั่งไป… ฮ่าฮ่าฮ่า…” หยางชิงชั่นหัวเราะ

คนที่มีอายุใกล้เคียงกันล้วนอยู่ที่นี่แล้ว ยกเว้นเป่ยโม่ย

ในเวลานั้น ปากของหยางชิงชั่นไม่เคยหยุด หนานกงฟั่นรู้สึกจนใจ ทว่าหยางชิงชั่นนั้นแข็งแกร่งกว่าเขา

“เขาอยู่ที่นี่แล้ว!” หยางชิงชั่นตะโกน

เด็กหนุ่มไร้อารมณ์เดินเข้ามา เขาคือเป่ยโม่ย

“ศิษย์น้องเป่ย ในที่สุดเจ้าก็มา” หนานกงฟั่นพ่นลมหายใจออก

เป่ยโม่ยกวาดสายตามองทุกคนก่อนจะนั่งลงและเริ่มฝึกตนอีกครั้ง ในขณะที่จ้าวเฟิงและอีกสองคนนั้นงุนงง หนานกงฟั่นและหยางชิงชั่นต่างแสดงท่าทีราวกับมันเป็นเรื่องปกติ

เหล่าศิษย์ต่างพูดคุยถึงสิ่งที่พวกเขาเรียนและบางครั้งก็ได้แสดงวิชาของพวกเขาออกมา ในบรรดาคนทั้งหมด ส่วนมากเป็นหนานกงฟั่นและหยางชิงชั่นที่พูด ในขณะที่อีกสามคนนั้นถูกเตะออกไปในคราเดียวในเวลาสั้นๆ สำหรับเป่ยโม่ยนั้นเขาราวกับท่อนไม้ที่ทำเพียงนั่งอยู่ตรงนั้นและฝึกตน

ไม่ช้า เหล่าเด็กหนุ่มสาวจึงตัดสินใจที่จะประลองชี้แนะ

“ผู้ใดต้องการจะเล่นกับข้า?” หยางชิงชั่นเอ่ยอย่างกระตือรือร้น

“ข้าเอง!”

เฟิงฮันเยว่เดินออกไปและเผชิญหน้ากับหยางชิงชั่น อีกฝ่ายได้จำกัดพลังฝึกตนอยู่ที่ขั้นสุดยอดของขั้นเจ็ด

ร่างทั้งสองปะทะกันในพื้นที่เล็กๆ

กระบวนท่าดึงดูดภูผา!

หยางชิงชั่นพลันใช้วิชาเซียนออกและส่งฝ่ามือออกไป ทำให้อากาศกรีดออก

“กระบวนท่ามายาสวรรค์!”

เฟิงฮันเยว่ใช้วิชาเซียนที่ไม่สมบูรณ์ของเขา เสี้ยววินาทีนั้น ร่างของเขาพลันคล้ายดวงจันทร์ พร่าเลือนและรวดเร็ว ทว่าเขายังคงถูกกดดันโดยหยางชิงชั่นอยู่ดี

ในอีกยี่สิบกระบวนท่าต่อมา เฟิงฮันเยว่เหงื่อไหล และนี่เป็นเพียงการประลองที่หยางชิงชั่นได้จำกัดพลังของเขาไว้

หลังจากนั้น จ้าวหยูเฟ่ยจึงออกไปและแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากับหยางชิงชั่นเล็กน้อยโดยที่ฝ่ายหลังได้จำกัดพลังฝึกตนไว้ที่ระดับเดียวกับคู่ต่อสู่เช่นเคย

แม้ว่าความสามารถของจ้าวหยูเฟ่ยจะดีกว่าที่คาด นางก็ยังคงพ่ายแพ้ในอีกสามสิบกระบวนท่าหรือราวๆ นั้น

“หยางชิงชั่นได้ฝึกฝนวิชาอรรธเซียนจำนวนมากจนขั้นสูง และเขายังดูเหมือนจะมีวิชาเซียนที่สมบูรณ์อีกด้วย”

หลังจากเฟิงฮันเยว่และจ้าวหยูเฟ่ยแพ้ ก็เป็นตาของจ้าวเฟิง

ตาข้า?

จ้าวเฟิงลุกขึ้นยืน

“ฮี่ฮี่ ให้ข้าเอง!” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของหนานกงฟั่นขณะที่เขาเข้าไปแทนที่หยางชิงชั่น

หยางชิงชั่นรู้สึกสงสัยเล็กๆ เหตุใดหนานกงฟั่นจึงได้ออกไปเผชิญหน้ากับจ้าวเฟิงกัน? ทว่าเขาไม่ได้ปฏิเสธและยกที่ให้กับหนานกงฟั่น

จ้าวเฟิงรู้ว่าคำพูดของเขาได้สร้างความไม่พอใจให้กับหนานกงฟั่นเมื่อครั้งที่พวกเขาออกจากหอจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้

“ศิษย์น้องจ้าวผ่อนคลายเถอะ ข้าจะจำกัดพลังฝึกตนของข้าไว้ที่ขั้นเจ็ด เช่นเดียวกับเจ้า” หนานกงฟั่นเอ่ยอย่างเถรตรง

ฟุ่บ!

จ้าวเฟิงไม่สนใจจะเอ่ยคำใดและพลันปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าอีกฝ่าย ทุกการเคลื่อนไหวล้วนไร้เสียงโดยสิ้นเชิง

เร็วยิ่ง!

จ้าวหยูเฟ่ยและเฟิงฮันเยว่ต่างประหลาดใจ จ้าวเฟิงได้ใช้ย่างก้าวหมอกผันแปรซึ่งมีลักษณะพิเศษคือความเงียบ

ดรรชนีดารา!

จ้าวเฟิงพลันใช้ดรรชนีดาราในขั้นสุดยอดของระดับสี่ออก ซึ่งปล่อยเส้นแสงสีคราม

“ไม่เลว!” หนานกงฟั่นแย้มยิ้มและโบกชายเสื้ออย่างลวกๆ และสามารถสลายการโจมตีของอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย

สบายยิ่งนัก!

จ้าวเฟิงนั้นเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด คู่ต่อสู้อาจฝึกฝนวิชาเซียนซึ่งสามารถทำลายดรรชนีดาราของเขาได้ในเสี้ยววินาที

หลังจากสลายการโจมตีแล้ว หนานกงฟั่นจึงผลักฝ่ามือของเขาและส่งวงลมสีขาวไปยังร่างของอีกฝ่าย จ้าวเฟิงอยากจะหลบ ทว่าเขารู้สึกได้ถึงแรงที่หยุดยั้งเขา

ใจกลางนั้น หนานกงฟั่นได้ดูดเศษฝุ่น ใบไม้ และกิ่งไม้ทั้งหมดไป

“ชิชิ แรงดึงแห่งเซียนของศิษย์น้องหนานกงฟั่นดูจะพัฒนาขึ้นอีกแล้ว” หยางชิงชั่นหัวเราะ

ดรรชนีชี้ดารา

จ้าวเฟิงพุ่งไปเบื้องหน้าแทนที่จะถอย เด็กหนุ่มใช้แรงดึงนั้นและพลันใช้ท่าไม้ตายของดรรชนีดาราออกในทันที

ปึก! ปึก! ปึก!

ดรรชนีของจ้าวเฟิงนั้นแทงออกซ้ำๆ และส่งประกายแสงสีครามงดงามออกมา

“พลังนั้นแข็งแกร่งจริง ทว่าไม่มีประโยชน์ต่อหน้าข้า” หนานกงฟั่นหัวเราะขณะที่เขายังยืนอยู่ที่เดิมและวาดมือของเขา

ฟู่ว ฟู่ว

ชั้นลมสีขาวได้เริ่มหมุนรอบร่างของหนานกงฟั่น เมื่อการโจมตีของจ้าวเฟิงมาถึง พลังของมันจะค่อยๆ ถดถอยลงและหายไปในที่สุด

เพียงแค่จ้าวเฟิงเกือบจะเข้าสู่สถานการณ์อันตรายนั้น

กระบวนท่าลมเคลื่อน!

ร่างของเด็กหนุ่มพลันหลอมรวมเข้ากับชั้นอากาศสีขาว ราวกับเป็นหนึ่งเดียวกับมัน

ดรรชนีชี้ดารา!

การโจมตีของเขานั้นราวกับขึ้นอยู่กับสายลม

“ไอ้เด็กเหลือขอนี่มันสลายวิชาเซียนของข้าได้!” สีหน้าของหนานกงฟั่นเปลี่ยนไปในที่สุด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!