Skip to content

King of Gods 89

King Of Gods

บทที่ 89 : การประลองชี้แนะ (2)

ความสามารถของจ้าวเฟิงนั้นยังทำให้เฟิงฮันเยว่ จ้าวหยูเฟ่ย และหยางชิงชั่นอึ้งไป

“เด็กนั่นนับว่าไม่ธรรมดา สามารถโจมตีได้โดยที่อยู่ในระยะของวิชาแรงดึงแห่งเซียนของศิษย์น้องหนานกงฟั่น” หยางชิงชั่นหัวเราะเสียงดัง

ร่างของจ้าวเฟิงนั้นราวกับสายลม เขาส่งเส้นแสงที่ราวกับอุกกาบาตออก กระบวนท่าลมเคลื่อนได้เพิ่มความเร็วและพลังโจมตีขึ้นอย่างมาก

วิชาแรงดึงแห่งเซียนของหนานกงฟั่นนั้นคือการใช้พลังภายในในการควบคุมลมและสร้างลมหมุน ทว่าจ้าวเฟิงได้ใช้กระบวนท่าลมเคลื่อนของเขาในการสลายมันและทำให้สีหน้าของอีกฝ่ายมืดทะมึนลงเล็กๆ

ในฐานะที่มีอาจารย์คนเดียวกัน เขาต้องการที่จะสั่งสอนจ้าวเฟิง ทว่ามิคาดว่าอีกฝ่ายจะร้ายกาจเพียงนี้

“พายุหมุน!”

หนานกงฟั่นตวาดลั่นขณะที่ลมหมุนแต่เดิมนั้นกราดเกรี้ยวยิ่งขั้นและกระจายไปทุกทิศทุกทาง พลังของแรงลมนั้นสามารถพังบ้านให้แตกเป็นเสี่ยงๆ ได้โดยง่าย

เป็นกระบวนท่าที่น่าหวาดกลัวอันใดเช่นนี้!

จ้าวเฟิงรู้สึกได้ถึงแรงปะทะที่หน้าอก สายลมได้ฉีกกระชากเสื้อผ้าของเขาออกเป็นชิ้นๆ

“นี่คือพลังของวิชาเซียนเช่นนั้นหรือ?”

ดวงตาซ้ายของเด็กหนุ่มหรี่ลงขณะที่พยายามจะสังเกตความเปลี่ยนแปลงพลังภายในของอีกฝ่าย วิชากำแพงเงินของเขานั้นอยู่ที่ขั้นสุดยอดของระดับหก ยืนต้านลมกราดเกรี้ยวที่พัดพาได้อย่างไม่สะทกสะท้าน

หืม?

ดวงตาซ้ายของเขาพบรูปแบบและความลึกล้ำภายใต้กระบวนท่าของอีกฝ่าย และเขาพบว่ามันคล้ายคลึงกับกระบวนท่าวายุกรรโชกของเขา

จากนั้นเขาจึงเปิดความสามารถของดวงตาซ้ายออกและจดจำภาพนั้นลงไปในสมอง

ฟุ่บ!

ในเสี้ยววินาที ภาพของหนานกงฟั่นใช้กระบวนท่าพายุหมุนก็ปรากฏขึ้นในมิติในดวงตาซ้ายของเขา ภายในมิตินั้น ภาพนั้นได้ฉายซ้ำในความเร็วที่ช้ากว่าเดิมสิบเท่า และมันสามารถมองเห็นได้จากมุมมองที่แตกต่าง

ไม่ช้า จ้าวเฟิงก็ได้พบว่ากระบวนท่านี้มีความคล้ายคลึงกับกระบวนท่าวายุกรรโชก

“กระบวนท่าที่ห้า ดรรชนีดารา!”

จ้าวเฟิงเคลื่อนไหวไปพร้อมกับสายลมและทิ่มแทงนิ้วออกไปเบื้องหน้า ทิ้งจุดแสงสีเขียวไว้ด้านหลัง ในเสี้ยววินาที พลังโจมตีของดรรชนีดาราได้เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย

ดรรชนีดาราระดับห้า!

ทั้งเฟิงฮันเยว่และจ้าวหยูเฟ่ยต่างตื่นตะลึง ดรรชนีดารานั้นมีชื่อเสียงในจักรวรรดิเมฆาในด้านของความยากในการฝึกฝนและความเสี่ยงอย่างใหญ่หลวง

วิชานี้มีทั้งหมดเจ็ดระดับ หากฝึกฝนจนเข้าระดับสี่ พวกเขาสามารถปลดปล่อยพลังภายในออกนอกร่างได้โดยที่ไม่ต้องเข้าสู่ขั้นเจ็ด เมื่อฝึกจนเข้าระดับห้า การโจมตีจะเป็นราวกับอุกกาบาต รวดเร็วและงดงาม และที่น่าหวาดกลัวมากไปกว่านั้นคือจ้าวเฟิงสามารถมองเห็นช่องว่างในวิชาแรงดึงแห่งเซียนของหนานกงฟั่นได้และเขาก็ได้เล็งไปยังจุดนั้น

“ไอ้หมอนี่ทำเช่นนี้ได้อย่างไร…?”

สีหน้าของหนานกงฟั่นแปรเปลี่ยนไปในที่สุดขณะที่เขารีบระเบิดชั้นลมของเขาออก

ตูม!

หลุมลึกสามเมตรเกิดขึ้นในจุดที่ทั้งสองปะทะกัน

ณ จุดนั้น พลังฝึกตนของหนานกงฟั่นเหนือกว่าขีดจำกัดของผู้ฝึกตนขั้นเจ็ด

ปึก!

ร่างของจ้าวเฟิงกระโดดลงบนพื้นโดยไร้ซึ่งอาการบาดเจ็บ เพราะวิชากำแพงเงินของเขาได้เข้าสู่ขั้นสุดยอดของระดับหกแล้ว เขาสามารถรับการโจมตีเกือบทั้งหมดของอีกฝ่ายได้โดยตรงหากอีกฝ่ายจำกัดพลังฝึกตนไว้ต่ำกว่าขั้นแปด

“ขอบคุณ” จ้าวเฟิงแย้มรอยยิ้มขณะที่กลับไปยังที่นั่งของเขาอย่างเงียบงัน

“ศิษย์น้องจ้าวเฟิง! เรายังไม่จบ” หนานกงฟั่นรู้สึกเคืองเล็กๆ

“ข้าว่าเอาจริงๆ นะ ศิษย์น้องหนานกงฟั่น พลังฝึกตนของเจ้านั้นเหนือกว่าศิษย์น้องจ้าวเฟิงก่อนหน้า ในฐานะของศิษย์พี่ เจ้าไม่ควรจะใช้พลังฝึกตนที่สูงกว่าในการเอาชนะเขา ใช่ไหม?” เสียงของหยางชิงชั่นดังขึ้น

ชัดเจนว่าหากทั้งสองมีพลังฝึกตนในขั้นเดียวกัน หนานกงฟั่นไม่อาจเอาชนะจ้าวเฟิงได้

“ข้าประเมินเขาต่ำไป คราวหน้า ข้าจะประลองอย่างจริงจังกับศิษย์น้องจ้าว” หนานกงฟั่นเอ่ยขณะที่เดินกลับไปยังที่นั่งของตน

ประลองอย่างจริงจัง?

จ้าวเฟิงรับรู้นัยของคำเหล่านั้น หากพวกเขาประลองกับอย่างจริงจัง นั่นหมายความว่าหนานกงฟั่นต้องการจะใช้พลังฝึกตนระดับแปดของเขา

ภายในห้อง เหล่าศิษย์ไม่รู้ว่าการประลองนั้นไม่ได้ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น

“ศิษย์น้องเย่ จ้าวเฟิงผู้นี้นับว่าดีกว่าที่คาด วิชากำแพงเงินของเขาได้เข้าถึงขั้นสุดยอดของระดับหกแล้ว และวิชาดรรชนีดาราอันร้ายกาจนั่นก็ยังเข้าสู่ระดับห้า ไม่เพียงเท่านั้น เขาดูเหมือนจะมีความเข้าใจในวิชาเซียน…” องครักษ์สามรู้สึกประหลาดใจเล็กๆ

“ท่านคิดว่าผู้ใดกันที่นำเขามาที่นี่?” เย่หลินเหลียนเอ่ยอย่างมั่นใจ

ทั้งสองได้เห็นการประลองระหว่างจ้าวเฟิงและหนานกงฟั่น ความสามารถของจ้าวเฟิงนั้นเหนือกว่าที่คาด

“หืม ไม่เลว ดูเหมือนว่าตาของข้าจะผิดพลาดในครานี้” เสียงเสียงหนึ่งดังลอดเข้าหูของทั้งสอง

“ใช่” องครักษ์สามและเย่หลินเหลียนผงกศีรษะพร้อมกัน

เอ๊ะ! เดี๋ยว! ไม่ใช่…

เสี้ยววินาทีต่อมา ทั้งสองก็สะดุ้งสุดตัว อุทานว่า “อาจารย์!”

เมื่อหันหลังกลับไป ไม่มีแม้แต่ร่างเดียวอยู่รอบข้าง ทว่าเสียงของเจ้าเมืองกว่านจวินนั้นได้ลอดเข้ามาในหูของพวกเขาจริงๆ

ทั้งสองสำรวจรอบกาย ก่อนจะพบร่างของเจ้าเมืองกว่านจวินนั่งขัดสมาธิอยู่บนต้นไม้ห่างออกไป 200-300 เมตร กลิ่นอายของเขานั้นราวกับเป็นหนึ่งเดียวกับต้นไม้ และหากไม่ได้สังเกตก็สามารถมองผ่านเขาไปได้ง่ายๆ

การประลองระหว่างศิษย์นั้นไม่เพียงเข้าหูขององครักษ์สามและเย่หลินเหลียน ทว่ายังลอยไปเข้าหูของเจ้าเมืองกว่านจวินด้วย

ทว่าเมื่อคิดดูแล้ว มันค่อนข้างมีเหตุผลเมื่อตำหนักกว่านจวินนั้นเป็นอาณาเขตของเจ้าเมืองกว่านจวิน ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นภายในนี้ย่อมไม่อาจเล็ดรอดสายตาของเขาไปได้ และคนเหล่านี้ล้วนเป็นศิษย์ของเขาทั้งสิ้น

“อาจารย์มองการประลองนี้จริงจังนัก”

องครักษ์สามและเย่หลินเหลียนสบตากัน มองเห็นความตะลึงในแววตาของอีกฝ่าย

สายตาของเจ้าเมืองกว่านจวินนั้นจับจ้องไปที่เป่ยโม่ยมากกว่าผู้อื่น พวกเขาทุกคนต่างแสดงความสามารถออกมาได้ดี โดยมีจ้าวเฟิงสร้างความประหลาดใจให้เล็กๆ ทว่าแน่นอนว่าเจ้าเมืองกว่านจวินย่อมสนใจศิษย์หลักของเขา เป่ยโม่ย ที่สุด

“เป่ยโม่ย เราไม่ได้ประลองกันมานานแล้ว” หยางชิงชั่นเอ่ย

ในด้านของพลังนั้น หยางชิงชั่นมีแข็งแกร่งกว่าหนานกงฟั่นเล็กน้อย และเขานับว่าเป็นรองเพียงเป่ยโม่ย

จ้าวเฟิงและคนอื่นๆ ต่างมีสายตาสนใจเช่นกัน เป่ยโม่ยนับเป็นสัตว์ประหลาดใจสายตาของพวกเขา

“สู้หนึ่งต่อหนึ่งนับว่าน่าเบื่อหน่ายเกินไป” เป่ยโม่ยลุกขึ้นยืนและไม่ได้ปฏิเสธคำท้านั้น

“เจ้าหมายความว่า…”

คิ้วของทั้งหนานกงฟั่นและหยางชิงชั่นกระตุก จ้าวเฟิงตระหนักขึ้นเล็กๆ ว่าอีกฝ่ายต้องการอันใด

“พวกเจ้าทั้งห้าเข้ามาพร้อมกัน” น้ำเสียงของเป่ยโม่นั้นเยือกเย็นราวกับว่าเขากำลังเอ่ยเรื่องไร้สาระ

อันใดนะ! พร้อมกัน?

เหล่าเด็กหนุ่มสาวที่อยู่ที่นั่นต่างตกตะลึง ในเวลาเดียวกันนั้น ความโกรธเคืองก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหนานกงฟั่นและหยางชิงชั่น

“อันใดกัน? พวกเจ้ากลัวหรืออย่างไร?”

เป่ยโม่ยเดินอย่างเชื่องช้าไปในระหว่างคนทั้งห้า

“ได้!”

เฟิงฮันเยว่เดินออกไปยังลานประลอง หยางชิงชั่นและหนานกงฟั่นพลันเดินไปล้อมร่างของเป่ยโม่ยไว้ทันที เป็นเพราะจ้าวเฟิงและอีกสองคนนั้นมีพลังฝึกตนต่ำกว่า พวกเขาจึงอยู่ห่างออกไปอีกเล็กน้อย

บรรยากาศตึงเครียดอย่างหนัก

เป่ยโม่ยนั้นได้เข้าสู้ขั้นสุดยอดของขั้นแปด ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามนั้นมีผู้ฝึกตนขั้นแปดสองคน และผู้ฝึกตนขั้นเจ็ดสามคน

“เขานับว่าจองหองเกินไปหรือไม่?” จ้าวเฟิงคิด

ในตอนนี้ องครักษ์สามและเย่หลินเหลียนต่างกลั้นลมหายใจขณะที่เพ่งความสนใจไปยังการประลอง

“แรงดึงแห่งเซียน!”

หนานกงฟั่นเริ่มโจมตีเป็นคนแรก เขาผลักฝ่ามือออกพร้อมกับที่วงอากาศสีขาวลอยไปยังร่างของเป่ยโม่ย

วูบบบ

แรงดึงกระชากอย่างรุนแรงพลันปรากฏขึ้นบนร่างของเด็กหนุ่ม ทว่าเป่ยโม่ยกลับยืนนิ่งราวก้อนหิน

ราวกับว่าสองเท้าของเขาหยั่งลึกลงในผืนดิน

“หิมะถล่ม!” หยางชิงชั่นตวาดลั่นขณะที่เขาส่งฝ่ามือทรงพลังไปยังร่างของเป่ยโม่ย

เขาและหนานกงฟั่นนั้นโจมตีเป็นหลัก ในขณะที่อีกสามคนนั้นเป็นฝ่ายสนับสนุน

ดรรชนีดารา!

มายาจันทร์สลาย!

พันกลีบเริงระบำ!

จ้าวเฟิง เฟิงฮันเยว่ และจ้าวหยูเฟ่ยโจมตีจากด้านข้าง จากสามคนนั้น การโจมตีของจ้าวเฟิงสามารถคุกคามผู้ฝึกตนขั้นแปดได้ ในขณะที่อีกสองคนนั้นเกือบจะทำได้

ทันใดนั้น คลื่นการโจมตีทั้งหมดก็พุ่งไปยังร่างของเด็กหนุ่มคู่ต่อสู้เพียงหนึ่งเดียว

“ดี! ระลอกแห่งการทำลายล้าง…”

เป่ยโม่ยยืนนิ่งขณะที่ผายมือทั้งสองออก ขณะที่เขาทำเช่นนั้น ระลอกพลังภายในก็ได้แผ่กระจายออกไปทุกทิศทาง

แคร๊กกกก… ตูมม!

การโจมตีของหนานกงฟั่นและหยางชิงชั่นพลันสลายหายไป และคลื่นพลังภายในระลอกถัดไปก็ได้ส่งร่างของพวกเขากระเด็นออกไป

พรวด!

หนานกงฟั่นพลันกระอักเลือดคำโต ในขณะที่หยางชิงชั่นใบหน้าซีดขาว บาดเจ็บภายใน

เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!

ระลอกพลังภายในถัดไปพลันสลายการโจมตีของจ้าวหยูเฟ่ย เฟิงฮันเยว่ และจ้าวเฟิงขณะที่ส่งสองคนแรกกระเด็นออกไป

ฟุ่บ

พลังที่เหลือได้สร้างม่านฝุ่นคลุ้งขึ้นปกปิดสภาพภายใน…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!