บทที่ 90 : กองทัพสัตว์อสูร
แค่ก แค่ก
ฝุ่นกระทั่งลอยไปทางใบหน้าขององครักษ์สามและเย่หลินเหลียน ทั้งสองมองหน้ากัน เห็นความตื่นตะลึงในแววตาของอีกฝ่าย
พลังของหกอัจฉริยะนี่นับว่าเทียบเทียมกับผู้ฝึกตนขั้นเก้าแล้ว ในตอนนี้ รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเจ้าเมืองกว่านจวินขณะที่เขาจ้องมองไปยังฝุ่นที่ฟุ้งกระจาย
ใจกลางกลุ่มฝุ่นนั้น
เป่ยโม่ยยืนนิ่งโดยที่เท้าจมลึกลงไปในพื้นครึ่งนิ้ว ทุกสิ่งในสายตาถูกทำลาย
รอบกายเขาปรากฏเหล่าเด็กหนุ่มสาวใบหน้าซีดขาว โดยที่หนานกงฟั่นและหยางชิงชั่งได้รับบาดเจ็บภายใน อีกด้านนั้นเฟิงฮันเยว่และจ้าวหยูเฟ่ยได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเช่นกัน มีเพียงคนเดียวที่เป็นข้อยกเว้น บริเวณด้านนอกของฝุ่นที่ฟุ้งกระจาย มีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่โดยไร้ซึ่งอาการบาดเจ็บ ใบหน้าเคร่งเครียด
“พลังของหมอนี่นับว่าเหนือกว่าผู้ฝึกตนขั้นเก้าส่วนมาก…” ดวงตาของจ้าวเฟิงจับจ้องไปยังเป่ยโม่ย
ตั้งแต่ที่เขาเข้าร่วมตระกูลหลักจ้าวและมายังนครหลวงแห่งนี้ เขาไม่เคยพบอัจฉริยะที่มากพรสวรรค์เช่นนี้มาก่อน บางทีคงมีเพียงซินหวู่เฮิงที่สามารถต่อกรกับเขาได้
เมื่อฝุ่นร่วงโรยลง สถานการณ์จึงเปิดเผย
เป่ยโม่ยยืนสีหน้าไร้อารมณ์และเอ่ยอย่างสบายๆ
“ข้าใช้พลังเพียงหกจากสิบส่วนเท่านั้น”
หกจากสิบส่วน!
เหล่าอัจฉริยะที่ยืนอยู่อยากจะเอ่ยบางอย่าง ทว่ากลับไร้ซึ่งเสียงใดๆ
นี่คือความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขาเช่นนั้นหรือ?
รอยยิ้มขมขื่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเฟิงฮันเยว่ เขาตระหนักได้ในที่สุดว่าเหตุใดเป่ยโม่ยจึงกลายเป็นศิษย์หลักเพียงคนเดียวของเจ้าเมืองกว่านจวิน ในขณะที่เขาเป็นได้เพียงศิษย์สายนอก เขาไม่ได้รับรู้ว่าความแตกต่างระหว่างพวกเขาจะมากมายถึงเพียงนี้
“ในเวลาเพียงเดือนเดียว ความแข็งแกร่งของศิษย์น้องเป่ยโม่ยเกือบจะเทียบเท่าข้าแล้ว” เย่หลินเหลียนถอนหายใจ
ภายในตึกนั้น เหล่าเด็กหนุ่มสาวอ้าปาก ทว่าไร้ซึ่งเสียงใดๆ
เงียบสนิท
บนต้นไม้ห่างออกไป รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเจ้าเมืองกว่านจวิน
“ไม่ช้าก็จะถึงเวลา…”
ชั่วขณะต่อมา
“ไอหย๋า ศิษย์น้องเป่ยโม่ย แข็งแกร่งเกินไปแล้ว” หยางชิงชั่นเอ่ยอย่างจนใจ ในขณะที่ความอิจฉาแล่นวาบในดวงตาของหนานกงฟั่น
มีเพียงจ้าวเฟิงและจ้าวหยูเฟ่ยที่ยังคงเยือกเย็นเพราะความแตกต่างในพลังฝึกตนของพวกเขานั้นมากเกินไป
“ศิษย์น้องจ้าวเฟิง” ทันใดนั้น เป่ยโม่ยก็หันไปหาจ้าวเฟิง
หืม?
ร่างของจ้าวเฟิงเกร็งขึ้น อันใดกัน?
สายตาของทุกคนจับจ้องไปยังร่างของเด็กหนุ่ม
“เจ้าเป็นผู้ยิงดรรชนีนั่นใช่หรือไม่?” เป่ยโม่ยจ้องอีกฝ่ายขณะโบกชายแขนเสื้อ
เด็กหนุ่มสาวในที่นั้นต่างหรี่ตาก่อนจะพบรูเล็กๆ บนแขนเสื้อของเป่ยโม่ย แน่นอนว่ามันจำกัดอยู่เพียงแค่ชายเสื้อ บนแขนของเขาไม่มีร่องรอยอันใด
เขาทำได้เช่นไร?
กระทั่งตอนนั้นจึงทำให้ทุกคนรู้สึกประหลาดใจ เมื่อพวกเขาปะทะกัน เป่ยโม่ยได้ใช้วิชาระยะกว้างที่กระทั่งสลายการโจมตีของหนานกงฟั่นและหยางชิงชั่นจนหมดสิ้นได้ก่อนที่จะเข้าใกล้ร่างของเขา
ภายใต้สายตาตื่นตะลึง จ้าวเฟิงแย้มยิ้มบาง
“บางทีอาจเป็นเพราะข้าเพียงแค่โชคดี”
โชคดี?
ความเคลือบแคลงปรากฏขึ้นในแววตาของหยางชิงชั่น มีเพียงจ้าวเฟิงเท่านั้นที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ ไม่เพียงเท่านั้น ดรรชนีของเขายังพุ่งผ่านช่องว่างของกระบวนท่าของเป่ยโม่ยและทิ้งรูเล็กๆ ไว้บนชายแขนเสื้ออีกด้วย
หากเขาทำได้เพียงหนึ่งอย่าง เช่นนั้นอาจเป็นเพียงโชค แต่หากรวมทั้งสองจุดเข้าด้วยกัน โอกาสที่จะเป็นเพียงโชคนั้นน้อยนิดยิ่งนัก
“หืม!”
องครักษ์สามและเย่หลินเหลียนต่างตะลึงไปเล็กๆ ยามที่ทั้งหมดปะทะกันนั้นมันวุ่นวายจนเกินไปจนพวกเขาไม่ได้สังเกตมัน
เป็นเจ้าเมืองกว่านจวินที่อยู่บนต้นไม้ที่พึมพำขึ้น
“เป็นสายตาที่น่าเหลือเชื่ออันใดเช่นนี้ กระทั่งจับช่องว่างของเป่ยโม่ยในเสี้ยววินาทีและโจมตีในความวุ่นวายนั่น”
คนเดียวที่รู้ความจริงนอกจากจ้าวเฟิงและเป่ยโม่ยก็มีเพียงเจ้าเมืองกว่านจวิน เจ้าเมืองกว่านจวินได้สรุปสถานการณ์ เขาเองก็ไม่ได้สังเกตก่อนหน้าเช่นกัน
“โชคดี?”
เป่ยโม่ยไม่ได้เอ่ยถามไปมากกว่านั้น ทว่ารู้สึกไม่พอใจเล็กๆ เขาต้องการที่จะเอาชนะหกอัจฉริยะในครั้งเดียวด้วยจุบจบที่สมบูรณ์แบบ ไม่เพียงแค่มันไม่เกิดขึ้น เขายังได้รับรูเท่านิ้วชี้บนชายเสื้ออีก
นี่เป็นเพียงร่องรอยเดียวที่ทำให้เขามัวหมอง ตั้งแต่เขาได้ถูกเจ้าเมืองกว่านจวินรับเป็นศิษย์หลัก เขาก็ไม่เคยพ่ายแพ้ผู้ใดในเรื่องใดๆ ในบรรดาคนรุ่นเดียวกันเขา จ้าวเฟิงเป็นคนแรกที่เอาชนะเขาได้ อย่างแรกอีกฝ่ายได้เอาชนะเขาในด้านของความจำ และบัดนี้ รูก็ปรากฏขึ้นบนชายเสื้อของเขา
การประลองชี้แนะของศิษย์จบลงที่นี่
เจ้าเมืองกว่านจวิน องครักษ์สาม และเย่หลินเหลียนจากไป ศิษย์ทุกคนต่างได้รับอะไรบางอย่าง ดังนั้นพวกเขาจึงรีบกลับไปยังบ้านเพื่อฝึกตน
ในระหว่างทางกลับ ภาพของกระบวนท่าของเป่ยโม่ยฉายซ้ำขึ้นในสมองของจ้าวเฟิง
แข็งแกร่งยิ่ง!
จ้าวเฟิงไม่อาจค้นหาทางใดในการต่อสู้กับอีกฝ่ายตรงๆ ได้เลยแม้แต่น้อย เป่ยโม่ยนั้นกระทั่งใช้พลังเพียงหกส่วน จ้าวเฟิงเปิดดวงตาซ้ายของเขาและพบว่าพลังฝึกตนของอีกฝ่ายนั้นได้เข้าใกล้ขั้นเก้ายิ่งนัก ทั้งพลังภายในของอีกฝ่ายกระทั่งดีกว่าเคล็ดลมหายใจหวนของเขา
หลังจากสรุปการต่อสู้ จ้าวเฟิงสามารถยืนยันได้ว่าเป่ยโม่ยผู้นั้นได้ฝึกฝนวิชาเซียนอย่างน้อย 3-4 วิชา ในบรรดาวิชาทั้งหมด วิชาคลื่นกระเพื่อมนั้นแข็งแกร่งกว่าวิชาเซียนส่วนมาก และมันทำให้จ้าวเฟิงตระหนักได้ว่ามันยังมีความแตกต่างระหว่างวิชาเซียน ไม่ช้า เขาก็จดจำได้ถึงรายละเอียดบางอย่างในหนังสือที่เขาจดจำจากหอตำรา
“วิชาเซียนถูกแบ่งออกเป็นระดับต่ำ ระดับกลาง ระดับสูง และระดับสุดยอด วิชาที่ข้าเห็นในคลังสมบัติวันนั้นน่าจะเป็นวิชาเซียนระดับต่ำทั้งหมด”
ภายในสมองของจ้าวเฟิงมีความรู้จำนวนมหาศาล สองวันก่อนเขาได้คัดลอกความรู้จำนวนนับไม่ถ้วนเข้าสมอง ส่วนมากยังคงไม่ได้ย่อย
เมื่อกลับไปยังที่พัก จ้าวเฟิงจึงเริ่มทำความเข้าใจในสิ่งที่เขาได้เรียนรู้ในวันนี้ แก่นแท้ของกระบวนท่าลมเคลื่อนนั้นถูกเข้าใจแล้ว นอกจากนั้นเขายังได้ความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนท่าวายุกรรโชกจำนวนหนึ่ง
ฮู่ว!
เด็กหนุ่มโคจรเคล็ดลมหายใจหวน รอบกายของเขาปรากฏเสียงหวีดหวิวของสายลม
ดรรชนีดารา!
จ้าวเฟิงแทงนิ้วออกไป นิ้วธรรมดาทำให้สายลมรอบๆ พัดพุ่งไปในทิศทางนั้น
“เป็นเช่นนี้ กระบวนท่าลมเคลื่อนนั้นช่วยในในด้านวิชาเคลื่อนไหว ในขณะที่กระบวนท่าวายุกรรโชกช่วยในด้านวิชาโจมตีและสร้างการโจมตีวงกว้าง” จ้าวเฟิงเข้าใจมากขึ้น
กระบวนท่าทั้งสี่นั้นคือกระบวนท่าลมเคลื่อน กระบวนท่าวายุกรรโชก กระบวนท่าเสี้ยววายุ และกระบวนท่าตัดวายุเพลิง ทุกๆ กระบวนท่าจะยิ่งล้ำลึกและแข็งแกร่งมากขึ้น จนบัดนี้ จ้าวเฟิงได้เรียนรู้ห้าถึงหกในสิบส่วนของกระบวนท่าวายุกรรโชก หากเขาเข้าใจถูก กระบวนท่าตัดวายุเพลิงและกระบวนท่าเสี้ยววายุนั้นล้วนเป็นวิชาโจมตี
ในเวลาสองสามวันต่อมา เด็กหนุ่มยังคงอยู่ในห้อง
วันหนึ่ง
จ้าวเฟิงเปิดเปลือกตาออก
“นายน้อยจ้าว นายท่านเย่หลินเหลียนได้บอกให้ท่านไปหา มีการประชุมที่สำคัญ” เสียงของข้ารับใช้ดังขึ้น
โดยปกติแล้ว ข้ารับใช้จะไม่เข้ามารบกวนเขาเว้นเสียแต่จะเป็นเรื่องเร่งด่วน จ้าวเฟิงเดินออกจากห้องก่อนจะถามทิศทาง
จุดรวมตัวนั้นอยู่ที่กองพันองครักษ์ฟ้า
ไม่ช้า จ้าวเฟิงก็มาถึงยังใจกลางของลาน เมื่อเขาไปถึงก็มีคนอยู่แล้วจำนวนมาก สองคนที่นั่งอยู่ที่ที่นั่งบนสุดคือองครักษ์สามและเย่หลินเหลียนตามลำดับ
ที่เหลือนั้นคือศิษย์สายนอกของเจ้าเมืองกว่านจวินทั้งหมดและสิบองครักษ์ฟ้ารุ่นใหม่
เมื่อทุกคนมาถึง
“ท่านองครักษ์สาม เกิดอันใดขึ้น?” เด็กหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยถาม
องครักษ์สามเอ่ยตอบ
“ภารกิจนี้มีความเกี่ยวข้องกับภารกิจกวาดล้างโจรก่อนหน้าเล็กน้อย”
ภารกิจกวาดล้างโจร?
จ้าวเฟิงรู้สึกประหลาดใจเล็กๆ ไม่ใช่ว่าพวกเขาจัดการโจรทั้งหมดแล้วหรือ?
เด็กหนุ่มสาวคนอื่นที่อยู่ที่นั่นต่างสงสัย จากนั้นจ้าวเฟิงจึงเริ่มคิด หากเป็นเพียงภารกิจกวาดล้างอีกอัน เหตุใดเป่ยโม่ย ศิษย์หลัก จึงได้อยู่ที่นี่ด้วย?
“เรื่องเป็นเช่นนี้ หลังจากที่เราออกจากเขตโจร กลุ่มสัตว์อสูรและสัตว์ปีศาจจำนวนมากก็ได้เริ่มจู่โจมหมู่บ้านใกล้ๆ และสร้างกองทัพสัตว์อสูรขึ้นด้วยความต้องการที่จะทำลายนครหลวงกว่านจวิน” เย่หลินเหลียนเอ่ยเหตุผล
กองทัพสัตว์อสูร?
เด็กหนุ่มสาวทุกคนต่างตกตะลึง
เหตุใดเขตโจรจึงได้มีกองทัพสัตว์อสูรไร้ที่มาขึ้นได้?
จ้าวเฟิงนึกถึงภาพที่เขาเห็นยามตามล่าหัวหน้าโจรอย่างช่วยไม่ได้ ในตอนนั้น จ้าวเฟิงเห็นร่างในชุดคลุมและสัตว์ปีศาจระดับสูงจำนวนหนึ่ง
“ขนาดของกองทัพสัตว์อสูรนี่ใหญ่ยิ่งนัก มีสัตว์ปีศาจระดับต่ำจำนวนมากและสัตว์ปีศาจระดับสูงจำนวนหนึ่งซึ่งได้ทำลายหมู่บ้านไปแล้วสองสามหมู่บ้าน และได้เริ่มคุกคามนครหลวงกว่านจวิน” เย่หลินเหลียนเอ่ยอย่างเคร่งเครียด
สัตว์ปีศาจระดับสูง?
หัวใจของทุกคนบีบรัด มีคำร่ำลือจำนวนมากเกี่ยวกับสัตว์ปีศาจระดับสูง
จ้าวเฟิงได้รับรู้ถึงความแข็งแกร่งของเสือเขี้ยวดาบสองปีกด้วยตนเอง ไม่ว่าพวกมันตัวใดก็สามารถทำลายหมู่บ้าน กระทั่งคุกคามเมืองเล็กๆ บางเมืองได้
“นครหลวงกว่านจวินได้ส่งกองทัพออกไปแล้ว ทว่ายังไม่เพียงพอ กองทัพสัตว์อสูรในครานี้เองก็เป็นโอกาสสำหรับพวกเจ้า เจ้าเมืองกว่านจวินได้ออกคำสั่งให้พวกเจ้าต่อต้านพวกมัน” องครักษ์สามเอ่ย
ต่อต้าน?
เหล่าเด็กหนุ่มสาวทุกคนต่างพ่นลมหายใจออก
“มีเพียงแค่การต่อสู้เท่านั้นที่ความสามารถของเจ้าจะถูกกระตุ้น” ท่าทางของจ้าวเฟิงนั้นสดใส
ในตอนที่ทั้งหมดกำลังพูดคุยกันนั้นเอง
กว๊ากกกกกก
เสียงคำรามกรีดแก้วหูดังขึ้นเหนือนครหลวงกว่านจวิน
“สถานการณ์เป็นอย่างไร? กองทัพสัตว์อสูรมาถึงนครหลวงกว่านจวินแล้วหรือ?” หัวใจของจ้าวเฟิงกระตุก
เขาเปิดดวงตาซ้ายและพบภาพของนกสีทองตัวใหญ่ยักษ์บนท้องฟ้า กลิ่นอายที่มันปลดปล่อยออกมานั้นกระทั่งแข็งแกร่งกว่าเสือเขี้ยวดาบสองปีก