บทที่ 122 : ปรุงยา
“เมิงเซียง อย่าได้เสียมารยาท! มันเป็นความผิดของเจ้าที่ล้มเหลว!” อวิ๋นเหยาเอ่ยอย่างตำหนิ
ทันทีที่คำพูดนั้นหลุดออกจากปากของนาง อวิ๋นเมิงเซียงก็ตระหนักได้ว่าโรค ‘องค์หญิง’ ของนางได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งแล้ว สถานะองค์หญิงของนางนั้นไม่มีประโยชน์ในสำนัก บิดาและท่านป้าของนางได้เอ่ยเตือนนางซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่ามิให้สร้างความขุ่นเคืองแก่ผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งด้วยท่าทีของนาง
จ้าวเฟิงนั้นเป็นศิษย์ที่ทั้งผู้เฒ่ากวนและผู้เฒ่าจางได้ยื้อแย่งกัน และมันไม่ใช่ความคิดที่ดีเลยที่จะสร้างความขุ่นข้องกับผู้ที่มีสถานะและความสามารถเช่นนี้ แต่อาจเป็นเพราะนางได้รู้สึกคุ้นเคยกับอีกฝ่ายในเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมาและอีกฝ่ายนั้นใจเย็นอยู่เสมอ นางจึงได้ลืมเลือนมันไป
“ไม่เป็นไร ก็แค่ท่าทาง” จ้าวเฟิงหัวเราะและไม่นำมาใส่ใจ
จุดสำคัญนั้นอยู่ที่การปรุงยา ตั้งแต่ที่เขาได้เข้ามายังตำหนักหญ้าไพร เด็กหนุ่มก็ได้เริ่มสนใจในการสร้างยา และความสนใจนี้ก็ได้ถูกดึงดูดโดย ‘ยาจิตวิญญาณ’
จ้าวเฟิงคิดว่าหากเขากลายเป็นนักปรุงยา เขาจะสามารถทำยาทุกชนิดที่เขาต้องการได้ นี่จะช่วยสนับสนุนการฝึกตนและประหยัดเงินของเขา นักปรุงยานั้นเป็นงานที่ได้รับความนิยมในสำนัก
“จ้าวเฟิง เจ้าเห็นข้อผิดพลาดที่อวิ๋นเมิงเซียงกระทำก่อนหน้าหรือไม่?” อวิ๋นเหยาตัดสินใจที่จะทดสอบเด็กหนุ่ม
จ้าวเฟิงไม่หวาดกลัวที่จะเอ่ยถึงข้อผิดพลาดของเด็กสาวอย่างตรงๆ
“อย่างแรก นางนั้นระมัดระวังมากเกินไปจนราวกับหนู ดังนั้นแล้วเปลวไฟของนางจึงเล็กและอุณหภูมิสูงไม่เพียงพอ อย่างที่สอง มีข้อผิดพลาดเล็กๆ ในระหว่างที่นางควบคุมเปลวเพลิง และเพราะว่าไฟนั้นเล็ก มันจึงมอดดับไปในเสี้ยววินาที แน่นอนว่านั่นเป็นข้อผิดพลาดที่ชัดเจนที่สุด ข้าขี้เกียจที่จะเอ่ยข้อผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ที่เหลือ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เด็กสาวก็โกรธเคืองอย่างหนักเสียจนร่างสั่นสะท้าน ทว่านางไม่ได้ระเบิดออกมา หากเป็นคนธรรมดานางอาจเตะพวกเขากระเด็นออกไปแล้ว ในฐานะขององค์หญิงแล้ว เมื่อใดกันที่มีผู้เอ่ยสิ่งเช่นนี้ต่อนาง?
“อืม จุดสำคัญถูกเอ่ยแล้ว” อวิ๋นเหยาเอ่ยชมขณะที่นางผงกศีรษะ
อวิ๋นเมิงเซียงทำได้เพียงกดความโกรธลงไปลึกในใจ ประกายแสงแล่นวาบผ่านดวงตาก่อนที่นางจะแย้มยิ้มและเอ่ยว่า
“เมิงเซียงนั้นโง่เขลาเกินไป ท่านนักปรุงยาจ้าวจะช่วยสั่งสอนข้าได้หรือไม่?”
“ข้าไม่ใช่นักปรุงยา”
หัวใจของจ้าวเฟิงกระตุก ชัดเจนว่าอีกฝ่ายได้เอ่ยชมเขาเพื่อที่เวลาเขาล้มเหลวเขาจะได้ย่ำแย่กว่านาง
ไม่ว่าจะเป็นผู้เรียนรู้การปรุงยาคนใดก็ดูไม่เหมือนว่าจะสามารถทำสำเร็จได้ตั้งแต่ครั้งแรก
หลังจากอวิ๋นเมิงเซียงล้มเหลวจึงเป็นตาของจ้าวเฟิง ในสมองของเขา กระบวนการทำยาของอวิ๋นเหยาในการปรุงยาโลหิตได้ปรากฏขึ้น
ในเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมานั้น เด็กหนุ่มได้ลองพยายามจุดไฟขึ้น ควบคุม และใส่วัตถุดิบลงไปอยู่ไม่กี่ครั้ง ทว่าเป็นเพียงแค่การทดลองเท่านั้น
มันยากในการที่จะนำทุกขั้นตอนมารวมกันและทำให้เสร็จสิ้นในลมหายใจเดียว
การควบคุมเปลวเพลิงนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดและข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็อาจเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ได้
ขั้นแรก ใส่วัตถุดิบลงไป
ดวงตาซ้ายของเด็กหนุ่มเปิดออกอย่างช้าๆ และเขาได้นำวัตถุดิบเท่าสัดส่วนที่ต้องการออกมา
ในบรรดาวัตถุดิบชนิดเดียวกันนั้น มันมีทั้งอันที่ดีและแย่ปะปนกันซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความชื้นและสิ่งเล็กๆ น้อยเหล่านั้น
จ้าวเฟิงเลือกส่วนผสมที่เหมาะสมที่สุด และอวิ๋นเหยาที่ได้สังเกตเห็นการกระทำเล็กๆ นี้ได้ผงกศีรษะของนางอย่างชื่นชม
เพียงแค่การเลือกวัตถุดิบ จ้าวเฟิงก็ได้เอาชนะอวิ๋นเมิงเซียงแล้ว
หลังจากเลือกวัตถุดิบแล้ว เด็กหนุ่มก็ใส่มันลงไปในเตาหลอมตามลำดับและใส่ลงไปในตำแหน่งเฉพาะ
ความร้อนของเตาหลอมนั้นไม่ได้เท่าเทียมกันทุกที่ มันมีส่วนที่อุณหภูมิสูงมากกว่าและน้อยกว่า
ขั้นตอนแรก ‘ใส่วัตถุดิบ’ เสร็จเรียบร้อย
จ้าวเฟิงไม่ได้พลาดในขั้นตอนใดๆ และหากเขาเกิดเงอะงะหรือลังเล ภาพการปรุงยาของอวิ๋นเหยาจะปรากฏขึ้นในสมองขงเขา
ขั้นตอนที่สอง จุดไฟ
การจุดไฟนั้นดูง่ายดาย ทว่ามันก็ยังมีขั้นตอนของมัน
ขนาดและอุณหภูมิของไฟนั้นไม่อาจผิดพลาดได้แม้แต่น้อย ทว่ายาระดับต่ำเช่นยาโลหิตนั้นไม่จำเป็นต้องมีเปลวเพลิงที่เฉพาะเจาะจงนัก
จ้าวเฟิงจุดไฟบนถ่านหินก่อนที่เปลวไฟสีแดงจะปรากฏขึ้น
จากนั้นจึงเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด ควบคุมเปลวไฟ
จ้าวเฟิงเพ่งสมาธิ เปิดดวงตาซ้ายและใช้พลังภายในของเขาในการควบคุมเปลวเพลิง คนผู้หนึ่งจำต้องมีพลังฝึกตนขั้นเจ็ดในขอบเขตแห่งการรวบรวมเพื่อที่จะกลายเป็นผู้เรียนรู้การปรุงยา เพราะเมื่อยามนั้นพลังภายในของพวกเขาจึงจะสามารถออกจากร่างกายและส่งผลต่อเปลวเพลิงได้ แม้กระนั้นนี่กลับเป็นวิธีที่แย่ที่สุด แต่หากคนผู้หนึ่งไม่กระทั่งเข้าสู่ขั้นเจ็ดได้ พวกเขาจะทำเช่นนี้ได้อย่างไร?
การควบคุมเปลวไฟของจ้าวเฟิงนั้นแข็งแกร่งอย่างมาก และเปลวไฟเล็กๆ ได้แผ่กระจายไปทั่วเตาหลอมอย่างเท่าเทียม
เมื่อเวลาผ่านไป กลิ่นของยาจางๆ ก็เริ่มโชยออกจากเตาหลอม
จ้าวเฟิงมักจะใส่ถ่านหินลงไปบางครั้งเพื่อที่จะคงเปลวไฟไว้ และแม้ว่าเขาจะไม่คุ้นเคยกับการควบคุมไฟเท่าใด มันก็ดูเป็นธรรมชาติยิ่งนัก
นั่นเป็นเพราะดวงตาซ้ายของเขานั้นแม่นยำและเขาสามารถควบคุมพลังภายในของเขาได้เป็นอย่างดี
เป็นเวลาสองชั่วโมงเต็มที่จ้าวเฟิงได้ควบคุมเปลวเพลิงอย่างสบายๆ นั่นทำให้สีหน้าของอวิ๋นเมิงเซียงแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางไม่ได้คาดว่าพลังภายในของอีกฝ่ายจะมากมายเพียงนี้
หากเป็นนาง พลังภายในของนางคงหมดสิ้นไปแล้ว
“ใช้พลังทุกหยาดหยดอย่างคุ้มค่าถึงที่สุด เขาเข้าสู่ขั้นเชี่ยวชาญในการควบคุมเปลวเพลิงแล้ว”
อวิ๋นเหยาถอนหายใจ ทักษะในการควบคุมเปลวเพลิงของเด็กหนุ่มนั้นสามารถเทียบเท่าได้กับนักปรุงยาที่แก่กว่าบางคนได้เลยทีเดียว
ในตอนนี้ อวิ๋นเหยารู้สึกชื่นชมดวงตาของผู้เฒ่ากวนอย่างช่วยไม่ได้ จ้าวเฟิงนั้นเป็นอัจฉริยะในการปรุงยาโดยแท้
การปรุงยานั้นต้องการความแม่นยำ โดยเฉพาะในการควบคุมไฟ
สองชั่วโมงต่อมา พลังภายในของจ้าวเฟิงจึงค่อยๆ หายไปช้าๆ พร้อมกับที่เปลวเพลิงมอดดับลง
ความร้อนที่หลงเหลืออยู่ภายในเตาหลอมยังคงทำให้เตาหลอมนั้นส่งกลิ่นของยาออกมา
จ้าวเฟิงดมกลิ่นนั้นและพบว่ามันเป็นกลิ่นของยาโลหิตจริงๆ กลิ่นของมันยามนี้แข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านับสิบเท่าเพราะมันเพิ่งถูกปรุงขึ้น
หลังจากรออยู่ชั่วคู่ เด็กหนุ่มจึงดีดนิ้วของเขาในอากาศ
เป๊าะ!
บนเตาหลอมปรากฏยาสีแดงโลหิตขึ้นนับสิบ
นี่คือขั้นตอนสุดท้าย เปิดเตาหลอม
คนผู้หนึ่งจำต้องคำนวณเวลาในการเปิดเตาหลอม หากเร็วเกินไปยาอาจยังไม่รวมตัวกัน และหากช้าเกินไป ขนาดของยาอาจใหญ่และเปราะเกินไป ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น ยาอาจระเบิดและทำลายห้องปรุงยาทั้งห้อง…
ฟุ่บ!
จ้าวเฟิงโบกชายเสื้อและจับยาสีแดงโลหิตนับสิบไว้ในอุ้งมือ
“ให้ข้าดูอัตราสำเร็จหน่อย” อวิ๋นเหยาเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
อัตราสำเร็จ?
จ้าวเฟิงชะงักไป แต่ไม่นานก็จำได้ว่ามันหมายถึงสิ่งใด
เมื่อยาจำนวนหนึ่งถูกสร้างขึ้นมันมักจะมีอัตราสำเร็จอยู่เสมอ ตัวอย่างเช่น ในยาสิบเม็ด อาจมีเพียงห้าเม็ดที่ปรุงขึ้นสำเร็จ ส่วนที่เหลืออาจเป็นเพียงยาขยะหรือยาที่ต่ำกว่ามาตรฐาน
จ้าวเฟิงส่งยาทั้งหมดไปยังอวิ๋นเหยา
“มันคงไม่ใช่ยาที่ไม่ได้มาตรฐานหรือไร้ประโยชน์ทั้งหมดใช่หรือไม่?” อวิ๋นเมิงเซียงหัวเราะ
ในตอนนั้นเองที่เด็กสาวพบว่าใบหน้าของผู้เป็นป้าเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดและตื่นตะลึง
“ยาโลหิตสิบสามเม็ด 1 สมบูรณ์แบบ 4 ยอดเยี่ยม 6 ธรรมดา และอีกสองต่ำกว่ามาตรฐานเล็กน้อย ทว่ายังสามารถจัดเป็นระดับธรรมดาได้”
อวิ๋นเหยาสูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าไปอย่างช่วยไม่ได้
“หากข้อกำหนดไม่เข้มงวดนัก นี่นับว่าเป็นอัตราสำเร็จ 100%”
100%!
ใบหน้าของอวิ๋นเมิงเซียงกลายเป็นซีดขาวราวกับผวาอย่างหนัก จากนั้นนางและอวิ๋นเหยาจึงมองไปยังเด็กหนุ่มด้วยสีหน้าซับซ้อน
“นี่คือการปรุงยาครั้งแรกของเจ้าหรือ?”
ความตกใจและสงสัยไม่อาจหายไปจากใบหน้าของอวิ๋นเหยาได้
“ถูกแล้ว”
หัวใจของจ้าวเฟิงไหววูบเล็กๆ เขาไม่ได้คาดว่าความแม่นยำและการควบคุมของเขาจะดีเพียงนี้
หลังจากได้รับคำยืนยันนั้น อวิ๋นเหยาและอวิ๋นเมิงเซียงก็ราวกับถูกทำร้ายและวิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง
“ยาทั้งสิบสามเม็ดนี่ถูกสร้างขึ้นโดยเจ้า เจ้ารับมันไปเถอะ”
อวิ๋นเหยาคืนยาที่จ้าวเฟิงปรุงให้แก่เด็กหนุ่ม
จากนั้น… มันไม่มีจากนั้น
จ้าวเฟิงถูกเตะออกจากห้องปรุงยาโดยไร้ซึ่งเหตุผล เหลือเพียงอวิ๋นเหยาและอวิ๋นเมิงเซียงไว้
“ท่านป้า เหตุใดท่านจึงไม่สอนเขาอีกเล่า?”
“ข้าจะสอนอัจฉริยะเช่นเขาได้อย่างไร? มันเป็นปาฏิหาริย์! ผู้ใดจะสามารถปรุงยาสำเร็จ 100% ในการปรุงยาครั้งแรกได้กัน?” อวิ๋นเหยาถอดถอนใจอย่างหดหู่
เป็นไปได้เช่นไร!?
อวิ๋นเมิงเซียงไร้คำพูดไป
“ตอนนี้เก็บมันไว้เป็นความลับก่อน สิ่งที่เจ้าต้องทำในตอนนี้คือการอย่าได้สร้างความขุ่นข้องหมองใจกับเขาและรักษาสัมพันธ์อันดีกับเขาไว้…” อวิ๋นเหยาเอ่ย
หลังจากออกจากห้องปรุงยา จ้าวเฟิงก็จมลึกลงในห้วงภวังค์
“เป็นเช่นนี้เอง… ไม่ว่าผู้ปรุงยาผู้นั้นจะเก่งกาจเพียงใด มันก็ยากที่จะมีอัตราสำเร็จ 100% แม้ว่าพวกเขาจะเป็นนักปรุงยาก็ตาม เว้นเสียแต่พวกเขาจะสร้างยาที่ต่ำกว่ามาตรฐานของพวกเขา…”
จ้าวเฟิงตระหนักขึ้นในที่สุดว่าอัตราสำเร็จ 100% ของเขานั้นน่าตื่นตะลึง เพราะว่าเขาปรุงยาเป็นครั้งแรก เขาจึงไม่มีมาตรฐาน ทว่าเขายังสามารถทำได้ในอัตราสำเร็จ 100%
ในเวลาไม่กี่วันต่อมา เด็กหนุ่มผ่อนคลายและว่างมากกว่าเดิม หน้าที่ที่ผู้เฒ่ากวนได้มอบให้แก่เขาได้เสร็จสิ้นลงทั้งหมดแล้ว
ในยามกลางวัน เขาจะอ่านหนังสือจำนวนหนึ่ง และในยามค่ำคืนเขาจะฝึกตน เขาให้ความสนใจกับวิชากำแพงเงินเป็นหลัก ทว่าหลังจากเข้าสู่ระดับเก้า ความพัฒนาของเขาก็ช้าลง
มันคงใช้เวลาอย่างน้อยเป็นปีที่วิชากำแพงเงินของเขาจะเข้าสู่ระดับสิบจากการคำนวณของเขา จ้าวเฟิงทำได้เพียงแค่เฝ้ารอและหวังว่าผู้เฒ่ากวนจะให้ยาจิตวิญญาณแก่เขาอีกสักสองสามเม็ด แต่หากไม่ เขาก็สามารถปรุงได้เองในภายหลัง
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วและจ้าวเฟิงได้อยู่ในสำนักกว่าครึ่งเดือนแล้วในตอนนี้
ในบรรดาศิษย์ใหม่ เซี่ยวซุน อวิ๋นเมิงเซียง และหลิวเยว่เอ๋อร์มีความพัฒนามากที่สุด เซี่ยวซุนในตอนนี้ได้เข้าขั้นครึ่งก้าวของขอบเขตก่อกำเนิดปราณแล้ว ในขณะที่อวิ๋นเมิงเซียงและหลิวเยว่เอ๋อร์ได้เข้าสู่ขั้นสุดยอดของขั้นเก้าในขอบเขตแห่งการรวบรวม
ความเร็วระดับนี้นับเป็นปาฏิหาริย์ในโลกมนุษย์ ทว่าในสำนักนั้นมันอาจเรียกได้ว่าเร็ว แต่ไม่ได้น่าตกใจ อย่างไรก็ตามเก้าขั้นแห่งขอบเขตแห่งการรวบรวมเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น
จ้าวเฟิงรู้ว่าอวิ๋นเมิงเซียงมีป้าเป็นนักปรุงยา ดังนั้นแล้วนางจึงได้รับยาชำระไขกระดูกอย่างน้อย 5 เม็ด ทว่าหลิวเยว่เอ๋อร์กลับหาตัวไม่พบในบรรดาศิษย์สายนอกแล้ว
บางคนกล่าวว่านางถูกนำตัวไปโดยผู้อาวุโสอีกคนและกลายเป็นคนที่สามที่กลายเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสหลังจากเป่ยโม่ยและซุนหยวนเฮา
หนานกงฟั่นและหยางชิงชั่นต่างเข้าสู่ครึ่งก้าวของขั้นเก้าและขั้นเก้าแห่งขอบเขตแห่งการรวบรวมตามลำดับ
เมื่อเทียบกับผู้อื่น ความเร็วในการฝึกตนของจ้าวเฟิงนั้นไม่ได้รวดเร็ว แม้ว่าเขาจะให้ความสนใจกับวิชากำแพงเงินเพียงอย่างเดียว พลังฝึกตนของเขาก็ยังคงทะลวงเข้าสู่ขั้นเก้าอยู่ดี