บทที่ 126 : ความโกรธของเซี่ยวซุน
“อนุญาตคำขอของเขา!”
น้ำเสียงเย็นดังก้องขึ้นพร้อมกับกลิ่นอายแข็งแกร่งที่ปรากฏออกมา ทุกสิ่งระยะรัศมี 100 เมตรตกอยู่ในความเงียบงัน
จ้าวเฟิงรู้สึกว่าน้ำเสียงนั้นช่างคุ้นเคย และเมื่อเงยหน้าขึ้นมอง เจ้าของเสียงนั้นก็คือบุรุษวัยกลางคนในอาภรณ์สีคราม รองหัวหน้าตำหนักที่เขาเคยพบก่อนหน้า
รองหัวหน้าตำหนัก!
หัวใจของชายชราในขอบเขตก่อกำเนิดปราณสั่นสะท้านขณะที่เขาผงกศีรษะ
“คารวะท่านรองหัวหน้าตำหนัก ข้าจะอนุญาตคำท้าประลองของเขาเดี๋ยวนี้”
ฟุ่บ!
บุรุษวัยกลางคนในชุดสีครามเหลือบตามองไปยังจ้าวเฟิงก่อนจะทิ้งภาพติดตาไว้ในอากาศและหายไป
จ้าวเฟิงเข้าใจว่าพลังฝึกตนของบุรุษวัยกลางคนนั้นใกล้เคียงขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงมากแล้ว และครอบครองอำนาจมากในสำนัก
“จ้าวเฟิง! ในสามวันเจ้าต้องเผชิญหน้ากับว่าที่ศิษย์สายในอันดับสาม อันดับแปด และอันดับเก้า เอ่อ… นอกจากนั้นเจ้าต้องเผชิญหน้ากับการท้าประลองของเซี่ยวซุนด้วย”
สีหน้าของชายชราแปรเปลี่ยนไปเมื่อเอ่ยไปเรื่อยๆ
นั่นหมายความว่าเด็กหนุ่มนั้นต้องประลองถึงสี่ครั้งในคราเดียว ซึ่งสามในนั้นครองอันดับสูงกว่า ในขณะที่อีกหนึ่งนั้นครองอันดับต่ำกว่า โฮวหยวนที่ครองอันดับสามและเป็นหนึ่งในศิษย์สายนอกที่แข็งแกร่งที่สุดเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
“เข้าใจแล้ว”
จ้าวเฟิงหมุนกายและจากไป ทิ้งร่างของผู้ที่นิ่งอึ้งไว้เบื้องหลัง
หนานกงฟั่นและหยางชิงชั่นไม่รู้ว่าจะเอ่ยอันใด พวกเขาตกตะลึงกับการเคลื่อนไหวอันบ้าคลั่งของผู้เป็นศิษย์น้องอย่างเห็นได้ชัด
ความประหลาดใจระบายอยู่บนใบหน้าของอวิ๋นเมิงเซียง นานไปนางจึงได้กลับเป็นปกติ
ปึก!
ร่างของจ้าวเฟิงขยับวูบและกลับไปยังสวนของเขา
หยางชิงชั่นนั้นทำท่าจะติดตามอีกฝ่ายไป ทว่ากลับถูกหยุดโดยหนานกงฟั่น
“ในเวลาสามวัน ศิษย์น้องจ้าวจะต้องมีสมาธิในการเพิ่มความแข็งแกร่งของตน คงเป็นการดีกว่าถ้าเราจะไม่ไปรบกวนเขา”
ไม่มีผู้ใดหยุดจ้าวเฟิงได้อีกแล้ว
ในค่ำคืนนั้น ข่าวนี้ได้สร้างความตื่นตะลึงให้แก่ศิษย์สายนอกทั้งหมด
มีคนคนหนึ่งได้ท้าประลองว่าที่ศิษย์สายในในครั้งเดียว และทุกคนล้วนเป็นสิบอันดับแรก โดยที่ผู้ที่เก่งที่สุดอยู่ที่อันดับสาม
ศิษย์สายนอกเกือบทุกคนได้ยินข่าวนี้ หลายคนได้ไปถามยังหยางชิงชั่นและหนานกงฟั่น
ทั้งสองนั้นเป็นกังวลและรู้สึกผิดอย่างมากเพราะทุกสิ่งนั้นเกิดจากพวกเขา
ศิษย์สายนอกหลายคนเฝ้ารอให้เวลาสามวันผ่านพ้นไป
ภายในสวน
“การประลองในอีก 3 วัน… ข้า เซียวซุนจะเอาชนะเจ้าโดยสิ้นเชิงจนกระทั่งเจ้าไม่อาจที่จะไปต่อได้อีกต่อไป”
หมัดของชายหนุ่มกำแน่นพร้อมกับที่จิตต่อสู้ได้แพร่กระจายออกจากร่าง
สายตาของเขากวาดไปยังสวนที่สิบสาม ที่พักของจ้าวเฟิง
ในฐานะของอันดับที่สิบหก พวกเขาห่างกันเพียงสองสวนกั้นเท่านั้น
ราตรีอันมืดมิด ในกระโจมแห่งหนึ่งได้ปรากฏร่างสี่ร่าง
หนึ่งในนั้นเป็นชายหนุ่มหล่อเหลา สวมเสื้อแถบคาดสีดำ แสดงให้เห็นถึงฐานะศิษย์สายใน
“ศิษย์พี่กวานเฉิน” โฮวหยวนเอ่ยอย่างนบนอบ
กวานเฉินยืนโดยสองมือไพล่หลัง รอยยิ้มเย็นปรากฏขึ้นบนใบหน้า
“ดูเหมือนว่าข้าจะดูแคลนความกล้าของจ้าวเฟิงไป เขากล้าที่จะต่อต้านข้าได้อย่างไร?”
“ศิษย์พี่กวานเฉิน มันไม่เป็นอันใด เขาไม่อาจเอาชนะข้าได้” โฮวหยวนเอ่ยอย่างช้าๆ
“ฮ่าฮ่าฮ่า ไอ้ตัวโง่เขลานั่นจะประลองสี่ครั้งในวันนั้น และเขาต้องเอาชนะเซี่ยวซุนก่อนซึ่งย่อมทำให้เขาเสียพลังไปโดยมาก หลังจากที่เผชิญหน้ากับพวกเรา เขาย่อมเสียผิวหนังไปสักชั้นหากไม่ตาย”
พี่น้องหงเต็มไปด้วยความมั่นใจ
กวานเฉินผงกศีรษะขณะที่เขากวาดตามองทั้งสาม
จ้าวเฟิงนั้นราวกับไข่ที่พยายามจะกะเทาะหิน ทว่ามันยังมีสิ่งน่าเคลือบแคลงอยู่
เหตุใดจ้าวเฟิงจึงได้ท้าประลองทั้งสามเมื่อเขาต้องเผชิญหน้ากับเซี่ยวซุนเช่นกัน?
การประลองทั้งสี่ล้วนอยู่ในวันเดียว!
จ้าวเฟิงนั้นปัญญาอ่อนหรือ? เขาจะทำเช่นนี้ไปเพื่อสิ่งใด?
ความคิดนี้ปรากฏขึ้นในหัวใจของทั้งสี่ก่อนจะหายไป เมื่อพวกเขาตัดสินแล้วว่าอีกฝ่ายนั้นต้องพ่ายแพ้ยับเยิน แล้วกระบวนการจะสำคัญอันใด?
เวลาผ่านพ้นไป และวันที่สามกำลังเข้าสู่จุดสิ้นสุด ในเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมา ไม่มีผู้ใดมารบกวนจ้าวเฟิงและเด็กหนุ่มเองก็ทำเพียงอยู่ในห้อง ไม่ได้ออกมาด้านนอก
ทุกคนมั่นใจว่าจ้าวเฟิงนั้นกำลังใช้เวลาทุกวินาทีในการฝึกตนและลับคมตนเอง ทว่าความจริงนั้น จ้าวเฟิงได้ใช้เวลาส่วนมากไปในการทำความเข้าใจภาพมัจฉามายาและตำราทค่ายกล
จ้าวเฟิงต้องการที่จะเรียนรู้ตำราทั้งเจ็ดเล่มเพื่อที่เขาจะได้สามารถเข้าไปยังบ่อพันบุปผาและพัฒนาร่างกายของเขาได้
เพื่อที่จะเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณด้วยร่างกายของเขา นี่คือเป้าหมายในปัจจุบันของเด็กหนุ่ม
เพื่อการนั้น เขาได้กินยาชำระไขกระดูกที่เขาได้ปรุงขึ้น ยาชำระไขกระดูกนั้นมีประสิทธิภาพอย่างมากสำหรับผู้ที่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตก่อกำเนิดปราณ และมันสามารถเพิ่มคุณสมบัติของร่างกายของคนผู้หนึ่งได้ แต่เพราะมันเป็นครั้งที่สองที่เขากินมัน ประสิทธิภาพของมันจึงมีเพียงแค่กึ่งหนึ่งของคราก่อน
ทว่าด้วยดวงตาซ้ายลึกลับของเขา เขาสามารถดูดซึมพลังงานได้มากกว่า และแม้ว่าพลังงานจะถูกดูดซึมไปเพียงแค่ครึ่งหนึ่งของครั้งแรก มันก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้อื่นที่กินเป็นครั้งแรกแม้แต่น้อย
หลังจากกินยาชำระไขกระดูกแล้ว จ้าวเฟิงจึงได้โคจรวิชากำแพงเงินและเคล็ดลมหายใจหวนก่อนจะรู้สึกว่าร่างกายและอวัยวะของเขาแข็งแกร่งขึ้น
ร่างกายที่พัฒนาขึ้นนั้นได้เพิ่มพื้นฐานของวิชากำแพงเงินของเด็กหนุ่ม เขากระทั่งรู้สึกว่าพลังภายในของเขานั้นหนานแน่นและแข็งแกร่งขึ้นกว่าแต่ก่อน
ในวันที่สาม จ้าวเฟิงมั่นใจว่าเคล็ดลมหายใจหวนของเขาได้เข้าสู่ระดับสูงสุด ทั้งปริมาณและคุณภาพของพลังภายในได้มากกว่าที่มันควรจะเป็น
นั่นหมายความว่าเคล็ดลมหายใจหวนของเขาได้เข้าสู่ขั้นหลอมรวมและกระทั่งเหนือกว่านั้นไปเล็กน้อย ดังนั้นแล้วพลังภายในของเขาจึงเทียบเท่าได้กับผู้ฝึกตนขั้นครึ่งก้าวของขอบเขตก่อกำเนิดปราณทั่วไปส่วนมากเป็นอย่างน้อย
สิ่งเดียวที่น่าเศร้าคือวิชากำแพงเงินไม่ได้พัฒนามากนัก มันยังคงเหลือระยะห่างกับขั้นปลายของระดับเก้า ทว่าจ้าวเฟิงเข้าใจว่ามันเป็นเพราะว่าร่างกายของเขาได้พัฒนาขึ้น การทะลวงระดับของวิชาเสริมกายาย่อมง่ายขึ้นมาก
ดังนั้นแล้ว ขั้นสุดยอดของระดับเก้าของวิชากำแพงเงินจึงไม่ได้สิ่งต่อต้านใดๆ สิ่งที่เขาต้องการนั้นก็แค่เวลาอย่างมากสิบวัน
ส่วนยาชำระไขกระดูกนั้น จ้าวเฟิงตัดสินใจที่จะขายมันและเก็บผลึกเริ่มต้นกลับมา เขาได้ใช้ผลึกเริ่มต้นจำลอง 5 ผลึกเพื่อซื้อวัตถุดิบที่เขาต้องการในการปรุงยาชำระไขกระดูก 2 เม็ด และแต่ล่ะเม็ดสามารถขายได้ 5 ผลึกเริ่มต้น
เช้าวันต่อมา
จ้าวเฟิงเดินออกจากสวนของเขาและสูดเอาอากาศสดชื่นเข้าไปในร่างขณะที่อ้าปากหาวออกมา
หืมมม?
เด็กหนุ่มรับรู้ถึงศิษย์สายนอกจำนวนมากใกล้ๆ สวนของเขา
“จ้าวเฟิงออกมารึยัง?”
“วันนี้เป็นวันประลอง เขาคงไม่ทำตัวดั่งเต่าแล้วหดหัวหรอกใช่หรือไม่?”
ศิษย์สายนอกเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ชื่นชอบในการเห็นสวรรค์ล่ม
ไม่มีผู้ใดไม่ชอบดูการแสดง ทั้งการแสดงนี้ได้สร้างความตื่นตะลึงให้กับศิษย์สายนอกทั้งหมด
ในฐานะของผู้สร้างปัญหา จ้าวเฟิงกลายเป็นจุดรวมความสนใจของทุกคน ในเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมา ชื่อเสียงของเขาได้โด่งดังขึ้น
“ศิษย์น้องจ้าว!”
หนานกงฟั่นและหยางชิงชั่นมาถึงอย่างรวดเร็ว
ตอนแรกนั้น ทั้งคู่ต่างโกรธเคืองเด็กหนุ่มที่กระทำการผลีผลามเช่นนี้
“ไปเถอะ”
ดวงตาสงบเยือกเย็นของจ้าวเฟิงมีความแหลมคมในตัวมันซึ่งทำให้ผู้อื่นไม่กล้าที่จะจ้องเข้าไปในดวงตาของเขา
หัวใจของหยางชิงชั่นและคนอื่นๆ สั่นสะท้าน ในตอนนี้ ศิษย์น้องจ้าวผู้นี้ให้ความรู้สึกราวกับดาบที่สามารถตัดผ่าทุกสิ่งได้
พวกเขาราวกับตระหนักขึ้นในที่สุดว่าไม่มีผู้ใดเลยที่สามารถมองเด็กหนุ่มผู้นี้ได้ทะลุปรุโปร่ง ตั้งแต่ยามที่อยู่กับเจ้าเมืองกว่านจวิน พวกเขารู้สึกว่าเป่ยโม่ยนั้นน่ากลัวที่สุด ทว่าพวกเขารู้ว่าเด็กหนุ่มสกุลเป่ยนั้นน่ากลัวเพียงใด ไม่เหมือนจ้าวเฟิงเบื้องหน้าเขาที่ให้ความรู้สึกลึกลับ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าขีดจำกัดของเขาอยู่ที่ใด
ไม่ช้าจ้าวเฟิงก็ปรากฏตัวภายใต้การ ‘คุมกัน’ ของศิษย์สายนอกจำนวนมากและมาถึงยังเวทีประลองสำหรับว่าที่ศิษย์สายใน
ผู้คนรวมตัวกันใกล้ๆ มากขึ้นเรื่อยๆ
ศิษย์สายนอกนั้นมีคนจำนวนมาก ตั้งแต่อายุสิบขวบปีกระทั่งสามสิบปี ศิษย์ที่มีช่วงวัยแตกต่างกันต่างอาศัยอยู่ที่นี่ และบัดนี้คนกว่าสองถึงสามร้อยคนได้รวมตัวกันที่นี่ เกือบจะถึงครึ่งหนึ่งของศิษย์สายนอก
ดวงตาของจ้าวเฟิงกวาดมองฝูงชนก่อนจะพบร่างของเซี่ยวซุนในไม่ช้า
ในฐานะของผู้ท้าประลอง ชายหนุ่มจึงได้มาก่อน
จากนั้นจึงเป็นโฮวหยวนและพี่น้องหงที่ปรากฏตัวขึ้นทีล่ะคน
ทั้งสามนั้นล้วนแล้วแต่อยู่ในขั้นครึ่งก้าวของขอบเขตก่อกำเนิดปราณ และกลิ่นอายที่พวกเขาปลดปล่อยออกมานั้นได้ทำให้ศิษย์ที่อยู่ใกล้เคียงรู้สึกอึดอัด โดยเฉพาะโฮวหยวนที่ครองอันดับสามที่เพียงแค่สายตาของเขาก็ทำให้ผู้อื่นต้องก้มศีรษะหลบมัน
จ้าวเฟิงรู้จักโฮวหยวนเล็กน้อย จากนั้นเด็กหนุ่มจึงเบนสายตาไปยังสองพี่น้องหง พี่น้องหง หงซานและหงซื่อเป็นฝาแฝดและมีหน้าตาเหมือนกัน พวกเขาต่างไว้ผมสั้นและมีร่างกายกำยำเต็มไปด้วยมัดกล้าม ขณะที่พวกเขาเดินนั้น กล้ามเนื้อของพวกเขาจะโป่งออกมา ทว่ามันก็ไม่ได้ใหญ่โตเสียจนส่งผลต่อความคล่องแคล่วของพวกเขา
“การประลองวันนี้ถูกดูแลโดยข้า”
ผู้คุมกฎชิวเดินออกมาอย่างช้าๆ และปลดปล่อยกลิ่นอายของนภาที่เจ็ดแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณออกมาซึ่งทำให้เหล่าศิษย์สายนอกตระหนักได้ถึงความต้อยต่ำของพวกเขาในสำนัก
ฝูงชนเงียบลงในไม่ช้า
มีกระทั่งผู้คุมกฎและรองผู้คุมกฎบางส่วนที่มาในวันนี้ด้วยสีหน้าสนใจ
“การประลองแรก เซี่ยวซุน อันดับที่ 16 ท้าประลอง จ้าวเฟิง อันดับที่ 13”
น้ำเสียงของผู้คุมกฎชิวดังก้องไปทั่วพื้นที่
ปึก!
เพียงสิ้นคำ ร่างของเซี่ยวซุนก็พุ่งวาบราวกับกระแสเพลิงและร่อนลงบนเวที
จ้าวเฟิงกระโดดขึ้นไปในอากาศและร่อนลงบนเวทีประลองอย่างแผ่วเบาเช่นกัน
การประลองแรก: เซี่ยวซุน vs จ้าวเฟิง!
ศิษย์เข้าใหม่ต่างตื่นเต้นอย่างมาก
ทั้งเซี่ยวซุนและจ้าวเฟิงได้เข้าร่วมสำนักพร้อมกัน และเซี่ยวซุนมักจะมีพลังฝึกตนสูงที่สุดอยู่เสมอ ในขณะที่จ้าวเฟิงนั้นมีชื่อเสียงโด่งดังในทักษะการต่อสู้ของเขา
“จ้าวเฟิง… เจ้ารับคำท้าของข้าแต่ยังกล้าไปท้าประลองโฮวหยวนกับคนอื่นๆ นับว่าไม่เห็นข้าในสายตาแล้ว” เซี่ยวซุนพึมพำในใจ
ในดวงตาซ้ายของชายหนุ่มปรากฏแสงสีแดงขึ้น มันเต็มไปด้วยจิตต่อสู้และความกราดเกรี้ยว ภายใต้วิชามนุษย์ระดับกลาง คู่มือเพลิงอัสดง แสงสีแดงเพลิงได้สว่างวาบไปทั่วเวทีพร้อมกับที่อุณหภูมิพุ่งสูงขึ้น… บัดนี้เซี่ยวซุนนั้นราวกับเทพเจ้าแห่งเปลวไฟ