บทที่ 290 : แย่งชิงถุงร้อยบุปผา (2)
น้ำร้อยบุปผาศักดิ์สิทธิ์นั้น สำหรับยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั้งสามที่อยู่ในที่แห่งนั้นไม่นับเป็นของมีค่าหายากแต่อย่างใด
ทว่าสำหรับสตรีชุดสีสด ผู้ฝึกตนเฒ่าชุดเขียว และผู้ฝึกตนในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงผู้อื่น มูลค่าของมันนั้นเหนือกว่าอาวุธชั้นจิตวิญญาณทั่วไป
สตรีงดงามในชุดสีสด ปราณครึ่งจิตวิญญาณแปรเปลี่ยนไปแล้วกว่าเจ็ดในสิบส่วน พลังฝึกตนเข้าใกล้ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงยิ่งนัก
หากนางสามารถครอบครอง ‘น้ำร้อยบุปผาศักดิ์สิทธิ์’ ได้ นางย่อมสามารถทะลวงขั้นสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้อย่างแน่นอน
พลังฝึกตนของผู้ฝึกตนเฒ่าชุดเขียวนั้นทำให้เขาไม่อาจปล่อยน้ำร้อยบุปผาศักดิ์สิทธิ์ไปได้ มูลค่าของมันสำหรับเขาไม่นับว่าด้อยไปกว่าถุงร้อยบุปผา
ถุงร้อยบุปผานั้นคนทั้งสองไม่มีหวัง มันคือของที่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั้งสามแย่งชิงกัน
ในยามนี้
น้ำร้อยบุปผาศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังจะได้มาในกำมือกลับถูกเด็กหนุ่มในนภาที่เจ็ดผู้หนึ่งแย่งชิงไป ความโกรธแค้นในใจของพวกเขานั้นไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้
จ้าวเฟิงกำน้ำร้อยบุปผาศักดิ์สิทธิ์อย่างมั่นคงก่อนจะนำมันใส่ไปในกำไลมิติ
“ไอ้เด็กเหลือขอ ทิ้งน้ำร้อยบุปผาศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
“น้องชาย มอบน้ำร้อยบุปผาศักดิ์สิทธิ์ให้กับพี่สาวเถอะ แล้วข้าจะขอให้ศิษย์พี่ปล่อยเจ้าไป”
ผู้ฝึกตนเฒ่าชุดเขียวและสตรีในชุดสีสดใช้ความวุ่นวายอำพราง มุ่งตรงไปหวังฆ่าจ้าวเฟิง
เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวขยับเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ทิ้งประกายสายฟ้าเอาไว้เบื้องหลัง ความเร็วเหนือกว่าคนทั้งสอง สามารถหลบเลี่ยงการโจมตีรุนแรงไปหลายครั้งคราอย่างเยือกเย็น
นอกจากนั้น ขณะที่เขาขยับเคลื่อนไหวไปมาก็ยังไม่ลืมหยิบสิ่งของที่กระจัดกระจายจากการต่อสู้กลางเวหาไปด้วย
ยาจิตวิญญาณ วัสดุ อาวุธ และสมบัติล้ำค่าต่างๆ… สมบัติแต่ล่ะชิ้นถูกจ้าวเฟิงตีค่าอย่างสบายๆ
แมวขโมยตัวน้อยที่อยู่ใกล้ๆ โหดร้ายนัก จู่โจมแย่งชิงสมบัติอย่างไม่เชื่องช้าไปกว่าผู้เป็นนาย
ในเวลาเดียวกัน ผู้นำตระกูลปี้กลับทำได้เพียงมองอย่างตะลึงงัน
ในช่วงเวลาสำคัญที่สามยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั้งสามต่อสู้กัน คนกับแมวคู่นี้กลับราวกับมัจฉาในธารา เหมือนเช่นเรียกลมเรียกฝนได้ดั่งใจ
“ไอ้เด็กเวรนี่ ความเร็วมากนัก บางทีผ้าคลุมนั่นอาจจะเป็นอาวุธชั้นมรดก…”
สีหน้าของผู้ฝึกตนเฒ่าชุดเขียวขาวซีด ดวงตาปรากฏความโกรธแค้นและโลภโมโทสัน
สตรีชุดสีสดไล่ล่าโจมตีอย่างดุดัน
ใจกลางความวุ่นวายนี้ เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้ว จ้าวเฟิงกลับมีท่าทีเยือกเย็นกว่า ทั้งลูกหลงจากการต่อสู้ของสามยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงยังไม่เห็นส่งผลต่อเด็กหนุ่ม ความแข็งแกร่งในระดับนี้ไม่นับว่าด้อยไปกว่าขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั่วไปเลย
ความจริงแล้ว จ้าวเฟิงจงใจไม่สู้กับทั้งสอง
ไม่เพียงเพราะพลังของอีกฝ่ายที่เหนือกว่าสี่เงาขนนกทมิฬไปอย่างมาก แต่ยังมีปัจจัยอื่นอีก
หากเด็กหนุ่มลงมือฆ่าหรือทำให้ใครสักคนบาดเจ็บสาหัส ทำลายสมดุลของสถานการณ์ปัจจุบัน มันย่อมดึงดูดความสนใจของสามยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงอย่างช่วยไม่ได้
นอกจากนั้น ในเวลาวุ่นวายเช่นนี้ควรฉวยโอกาสเก็บสมบัติ เวลามันเป็นเงินเป็นทอง
“แส้อสรพิษโลหิตลึกลับ”
“แส้นี่เป็นอาวุธเลื่องชื่อของลัทธิมารจันทราชาดในอดีต”
ผู้คนต่อสู้แย่งชิงกันอย่างรุนแรง
ทั้งกลุ่มโจรสลัดโลหิตคลั่งและตระกูลปี้จิตต่อสู้พุ่งพล่าน
แส้สีดำประกายเงิน มีรอยโลหิตของอสรพิษพาดผ่าน เป็นอาวุธชั้นจิตวิญญาณ เมื่อเหวี่ยงฟาด พลังของมันนั้นเหนือกว่าพลังสายเลือดจำนวนมาก
ในบรรดาสมบัติทั้งหมดมีอาวุธชั้นจิตวิญญาณอยู่ห้าหกชิ้น ทว่ามูลค่าของมันนั้นสูงที่สุด คุณสมบัติไม่ธรรมดาที่สุด
เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าของจ้าวเฟิงกวาดมอง รู้สึกแปลกประหลาด ‘แส้อสรพิษโลหิตลึกลับ’ นี้เป็นของชั้นจิตวิญญาณระดับต่ำ ไม่อาจเทียบกับอาวุธชั้นจิตวิญญาณอื่นๆ ได้
ทว่ากลิ่นอายของแส้อสรพิษโลหิตลึกลับนี้กลับคล้ายคลึงกับอาวุธที่ข่มขู่มาจากผู้คุ้มครองศพโลหิตลายเงินในอดีต ‘ดาบจันทร์โลหิตกลืนวิญญาณ’ ทว่ามันเป็นอาวุธชั้นจิตวิญญาณที่แตกหัก
“นี่นับเป็นโอกาสดี ในอนาคตเมื่อฆ่าบรรลุสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง ย่อมต้องการอาวุธระยะประชิดชั้นจิตวิญญาณ อาวุธประเภทแส้นั้นเหมาะสมกับรูปแบบการต่อสู้ของมรดกอัสนีนัก”
แววตาของเด็กหนุ่มส่องประกายระริก ตัดสินใจในทันที
ในไม่กี่ปีที่ผ่านมา ระดับฝึกตนของจ้าวเฟิงยังต่ำอยู่ ได้ครอบครองอาวุธชั้นจิตวิญญาณจึงนับว่าไร้ประโยชน์ ทว่าบัดนี้ห่างไกลจากขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงไม่มากนัก อาวุธชั้นจิตวิญญาณยังพอฝืนใช้ได้บ้าง
ทันนั้น
ผู้ที่อยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงหลายคนได้ต่อสู้แย่งชิง ‘แส้อสรพิษโลหิตลึกลับ’
ในบรรดาสมบัติจำนวนมากนี้ มูลค่าของแส้อสรพิษโลหิตลึกลับนับว่าเทียบได้กับหนึ่งในสี่สมบัติสายธารจันทรา ‘ถุงร้อยบุปผา’
ผู้ฝึกตนเฒ่าชุดเขียวสายตาส่องประกาย ถูกดึงดูดไปโดยแส้นี้เช่นกัน
เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการขุดสุสาน สมบัติในสายธารแห่งประวัติศาสตร์ย่อมล่วงรู้มาบ้าง สายตาของชายชราพลันปรากฏความชั่วร้ายขึ้น
จ้าวเฟิงไม่รู้ว่าคุณสมบัติของแส้อสรพิษโลหิตลึกลับนี้สามารถดูดกลืนโลหิตและเลื่อนขึ้นได้ ดังนั้นความสามารถของมันจึงเทียบเคียงได้กับอาวุธชั้นมรดก
ทว่า ในยามนี้
ผู้นำตระกูลปี้ สตรีชุดสีสด ผู้ฝึกตนเฒ่าชุดเขียว และผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงคนอื่นๆ ต่างก็จ้องมองไปยัง ‘แส้อสรพิษโลหิตลึกลับ’
กระทั่งทำให้สามยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงต้องแบ่งความสนใจมา
แส้อสรพิษโลหิตลึกลับนี้ รวมทั้งอาวุธชั้นจิตวิญญาณล้ำค่าอื่นๆ กระทั่งยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงก็ยังต้องริษยา
ทว่าทั้งสามไม่อาจปล่อยมือจากถุงร้อยบุปผาได้
โดยเฉพาะหากถุงร้อยบุปผาไปตกอยู่ในมือของโจรเถาชานเฟ่ย มันจะลำบากเพียงมือเดียวในการฆ่าคนทั้งหมด
อันตรายของถุงร้อยบุปผานั้นร้ายแรงนัก สามารถส่งผลต่อสถานการณ์ทั้งหมดได้ นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนจดจำไว้ขึ้นใจ
ดังนั้นแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกอยากได้แส้อสรพิษโลหิตลึกลับมากเพียงใด แต่ก็ไม่อาจปล่อยมือจากถุงร้อยบุปผาไปได้
“เมื่อข้าได้รับแส้อสรพิษโลหิตลึกลับต้องรีบหนีไปทันที”
จ้าวเฟิงตัดสินใจอยู่ในใจ
เมื่อได้ครอบครองน้ำร้อยบุปผาศักดิ์สิทธิ์ แส้อสรพิษโลหิตลึกลับ และสมบัติล้ำค่าอื่นๆ ย่อมเพียงพอต่อการล่าถอย
สำหรับถุงร้อยบุปผานั้น จ้าวเฟิงไม่รู้ถึงความสามารถของมัน จึงไม่ได้ให้ความใส่ใจ
แน่นอน
หากจ้าวเฟิงรู้ว่าถุงร้อยบุปผานั้นมีอันตรายมากเพียงใด กระทั่งสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในปัจจุบันได้ เขาย่อมไม่เพิกเฉยต่อมัน
“แย่ง”
จ้าวเฟิงและแมวขโมยตัวน้อยสบตากันอย่างรู้ใจ พลันพุ่งร่างตรงไปยังแส้อสรพิษโลหิตลึกลับในทันที
ใกล้ๆ แส้อสรพิษโลหิตลึกลับได้ปรากฏร่างของผู้ฝึกตนในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงสี่ห้าคนหมายแย่งชิงเช่นกัน
ผู้ฝึกตนเฒ่าชุดสีเขียวและสตรีในชุดสีสด พลังแข็งแกร่งที่สุด เทียบเท่าได้กับผู้นำตระกูลปี้
“ไอ้เด็กนั่นมาแล้ว”
แววตาของผู้ฝึกตนเฒ่าชุดสีเขียวส่องประกายเกลียดชังและโหดเหี้ยม
สตรีชุดสีสดเองก็สังเกตเห็นจ้าวเฟิง ทว่ายังรักษาสีหน้าเอาไว้ได้
คนทั้งสองตัดสินใจ ระหว่างที่พยายามแย่งชิงแส้อสรพิษโลหิตลึกลับ หากมีโอกาสต้องฆ่าจ้าวเฟิงให้ได้
ผ้าคลุมเงาหยินบนร่างของเด็กหนุ่ม รวมทั้งน้ำร้อยบุปผาศักดิ์สิทธิ์ มูลค่าของพวกมันไม่อาจนับว่าด้อยไปกว่าแส้อสรพิษโลหิตลึกลับได้
ทว่าพวกเขาเองก็เข้าใจถึงความแข็งแกร่งและความเร็วของอีกฝ่าย หากไม่มีโอกาสทอง ย่อมไม่อาจโจมตีเด็กหนุ่มผมฟ้าได้ง่ายๆ
เหล่าผู้เข้าร่วมแย่งชิงแส้อสรพิษโลหิตลึกลับ รวมทั้งจ้าวเฟิง ได้เข้าสู่สภาวะเร่าร้อนถึงที่สุด
ผู้ฝึกตนขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงสองคนที่อ่อนแอที่สุดเผชิญหน้ากับความยากลำบาก สุดท้ายจำต้องล่าถอยออกไปชั่วคราว
เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงเหลือเพียงผู้ฝึกตนเฒ่าชุดเขียว สตรีชุดสีสด ผู้นำตระกูลปี้ และจ้าวเฟิง
ความแข็งแกร่งของจ้าวเฟิงไม่ใช่น้อยๆ แม้ผู้ฝึกตนขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั้งสามร่วมมือกันกลับไม่ทำให้เด็กหนุ่มยากลำบากแต่อย่างใด
“ความแข็งแกร่งของเด็กหนุ่มผู้นี้ ปิดบังไว้ล้ำลึกนัก”
ผู้ฝึกตนเฒ่าชุดเขียว สตรีชุดสีสด และผู้นำตระกูลปี้หัวใจสั่นสะท้าน
อาจารย์เฮยหยุนที่เฝ้ามองอยู่ด้านนอก รวมทั้งสามยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั้งสามที่กำลังต่อสู้กันก็รับรู้ถึงจุดนี้
พลังต่อสู่ของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวน่าตื่นตะลึงนัก ด้านความเร็วเมื่อเทียบกับสามผู้ฝึกตนขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงที่ร่วมมือกัน กลับยังสามารถเป็นผู้นำได้
ทั่วทั้งร่างของจ้าวเฟิงปรากฏเสียงคำรามของสายฟ้า ความเร็วเข้าสู่จุดสูงสุด เขาต้องครอบครองแส้อสรพิษโลหิตลึกลับให้เร็วที่สุด
“อย่าแม้แต่จะคิด”
“ไอ้เด็กเหลือขอ เจ้ารนหาที่แล้ว”
ผู้ฝึกตนเฒ่าชุดเขียวและสตรีชุดสีสดใช้พลังของตน เริ่มโจมตีไปยังจ้าวเฟิง
ผู้นำตระกูลปี้เค้นเสียงเย็น ไม่ป้องกันให้เด็กหนุ่ม ทว่ามุ่งตรงไปยังแส้อสรพิษโลหิตลึกลับจากด้านหนึ่ง
ทันใดนั้น
จ้าวเฟิงได้เผชิญหน้ากับการล้อมกรอบของสามยอดฝีมือในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง
หากจ้าวเฟิงหยิบแส้อสรพิษโลหิตไปกลางอากาศ เขาต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีของสามคนที่ร่วมมือกัน ไม่นับว่าด้อยไปกว่าการรับการโจมตีจากขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงตรงๆ
“ให้เจ้า”
ร่างของจ้าวเฟิงหล่นวูบลง
เมี้ยว เมี้ยว
แมวสีเทาขนาดเท่าฝ่ามือหนึ่งปรากฏตัวขึ้นใจกลางอากาศในเสี้ยววินาที คว้าแส้อสรพิษโลหิตและหายไป
อันใดกัน
ไอ้แมวน่าชัง
สามยอดฝีมือในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงตกใจจนใบหน้าขาวซีด พลันปรากฏความเกลียดแค้นขึ้น ไม่หยุดการโจมตีที่มุ่งตรงไปยังจ้าวเฟิง กระทั่งเพิ่มพลังให้รุนแรงขึ้น
“ท่านพ่อ… อย่า…”
ปี้เฉี่ยวยู่ที่อยู่ที่มุมหนึ่งใบหน้าขาวซีด สีหน้าไม่อาจทนดูได้
จ้าวเฟิงที่ตกอยู่ในวงล้อมของสามยอดฝีมือในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง ในช่วงเวลาอันตรายไร้ซึ่งความหวาดกลัว สีหน้ายังคงไร้ความรู้สึก
วงแหวนอัสนี
เด็กหนุ่มสูดลมหายใจลึก แขนทั้งสองข้างผายออก เรือนผมสีฟ้าพลิ้วไหวขึ้น ภาพลักษณ์ราวกับเทพเจ้าแห่งอัสนีใต้เมฆสายฟ้า
ในพริบตา กระแสไฟฟ้าสีเขียวครามก็ได้ก่อตัวขึ้น คล้ายกับคลื่น กวาดออกไปทุกทิศทาง
รอบกายจ้าวเฟิงในระยะสิบหลาพลันกลับกลายเป็นสีดำไหม้
สามยอดฝีมือในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงที่โจมตีไปยังเด็กหนุ่มถูกวงแหวนสายฟ้ากวาดผ่าน ทั่วทั้งร่างหกเกร็งสั่นสะท้านรุนแรง
ความรู้สึกหนึบชาและสั่นเกร็งได้แพร่กระจายไปทั่วร่าง
หลังจากนั้นสามลมหายใจ
พลังที่น่าพรั่นพรึงของวงแหวนอัสนีทำให้จ้าวเฟิงได้รับความสนใจจากคนทั้งหมด กระทั่งสามยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงยังรู้สึกสั่นไหว
ผู้ฝึกตนเฒ่าชุดเขียว สตรีชุดสีสด และผู้นำตระกูลปี้ยืนนิ่งอยู่ที่จุดเดิม ทั่วทั้งร่างอ่อนแรง แทบจะไม่อาจยืนอยู่ได้
“ไป”
จ้าวเฟิงไม่เสียเวลา พุ่งตัวล่าถอยไปพร้อมกับแมวขโมยตัวน้อย
บัดนี้เด็กหนุ่มได้ครอบครองทั้งน้ำร้อยบุปผาศักดิ์สิทธิ์และแส้อสรพิษโลหิตลึกลับ จ้าวเฟิงจึงรีบหลบหนีก่อนเมื่อยังได้เปรียบ
ทิศทางที่เป็นเป้าหมายของเขาแน่นอนว่าเป็นประตูทองสัมฤทธิ์ทางทิศตะวันออก เพียงแค่วางมือลงบนประตูก็สามารถเปิดทางไปยังชั้นสองได้
“ศิษย์พี่ อย่าปล่อยให้เขาหนีไป…”
“ไอ้เด็กหัวฟ้าบัดซบนี่”
ความเกลียดชังในใจของผู้ฝึกตนเฒ่าชุดเขียวและสตรีชุดสีสดพุ่งจนถึงขีดสุด
ทว่าสามยอดฝีมือในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงถูกโจมตีโดยวงแหวนอัสนี ในระยะเวลาสั้นๆ ไม่อาจเคลื่อนไหวได้
การเคลื่อนไหวของจ้าวเฟิงได้สร้างความไม่พอใจให้กับสามยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงกลางอากาศในที่สุด
โจรเถาชานเฟ่ยเค้นเสียงเย็น พุ่งกายไปยังจ้าวเฟิงพร้อมกับฉานเซว่ตูอิง ละทิ้งการแย่งชิงถุงร้อยบุปผาไป
สามยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงต้องการฆ่าจ้าวเฟิง
ในเวลาสั้นๆ ทั้งสามและถุงร้อยบุปผาได้เข้ามาใกล้ร่างของจ้าวเฟิง
สีหน้าของเด็กหนุ่มย่ำแย่ลง มิคาดว่าสามคนนี้ไม่ต้องการปล่อยตัวเขาไป
“ดี งั้นข้าจะแย่งของพวกเจ้า”
สีหน้าของจ้าวเฟิงเผยความโหดเหี้ยมออกมา นำคันศรหลัวซุยมาถือในมือ
ทันใดนั้น ศรหลัวซุยทั้งสามก็ได้ทาบลงไปยังสายคันศร
จ้าวเฟิงโคจรพลังสายเลือดในร่าง สำนึกรู้จากมรดกอัสนีถูกใช้ออกจนถึงขีดสุด กระทั่งสัมผัสถึงปลายขอบของชั้นที่สอง
ฟิ้ว ฟิ้ว
ในเสี้ยววินาที ศรหลัวซุยอัสนีเยือกแข็งทั้งสามก็พุ่งออกไป สร้างพายุเหมันต์อัสนีตามหลังไป
“เหมันต์อัสนีทำลายล้าง”
จ้าวเฟิงรั้งสายคันศร ดวงตาเพ่งเล็งไป สามลูกธนูที่มีพลังสายเลือดที่แข็งแกร่งที่สุดนำพายุเหมันต์อัสนีตรงไปยัง ‘ถุงร้อยบุปผา’
ฟุ่บ ตูม
ทั้งห้องสั่นสะท้านเล็กๆ
ถุงร้อยบุปผาที่เป็นเป้าหมายของธนูทั้งสามดอก การโจมตีนั้นเทียบเท่าได้กับการโจมตีเต็มกำลังของขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง กระทั่งมีพลังของเหมันต์อัสนีที่ตามไป ทำให้ถุงร้อยบุปผาเกิดรอยแยกเล็กๆๆ ขึ้น
ถุงร้อยบุปผาส่งหมอกพิษออกมาจางๆ ก่อนที่จะเผาไหม้ถุงจนกลายเป็นก้อนสีดำ
“ไม่นะ”
โจรเถาชานเฟ่ยร้องโหยหวน แทบจะเสียสติไป
ฉานเซว่ตูอิงและนายท่านปี้มองไปด้วยสีหน้าว่างเปล่า รู้สึกหมดสิ้นหนทาง