Skip to content

King of Gods 289

King Of Gods

บทที่ 289 : การแย่งชิงถุงร้อยบุปผา (1)

หากดูจากโครงสร้างของสุสาน สมบัติที่ชั้นแรกจะไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด ทว่าที่แห่งนี้กลับมีหนึ่งใน “สี่สมบัติสายธารจันทรา” ที่เป็นสมบัติชิ้นสำคัญอยู่

ถุงร้อยบุปผา หนึ่งในสมบัติแห่งหนทางมารอยู่ที่นี่ โจรเถาชานเฟ่ยย่อมไม่มีทางปล่อยให้หลุดมือไป

ทว่าพวกชายหนุ่มชุดสีทองทั้งสามก็ยังไม่ขยับ

สุสานของจอมโจรฉุ่ยเยว่ กับดักกลไกที่วางไว้อันตรายมากนัก และยิ่งเป็นสิ่งที่สำคัญเท่าใดก็ยิ่งไม่อาจประมาทเลินเล่อได้เท่านั้น

ชายแก่ร่างเตี้ยเดินวนรอบโลงแก้ว สีหน้าหม่นหมองลงเล็กๆ “โครงสร้างกลไกที่นี่แข็งแกร่งกว่าก่อนหน้า โอกาสเสี่ยงมีมากกว่า”

เมื่อเทียบมันกับกับดักที่ผ่านมาของแต่ละห้องนั้น สามารถเรียกได้ว่าที่ผ่านมานั้นไม่อาจเทียบเคียงได้แม้แต่น้อย

“ท่านอาจารย์ เชิญตามสบาย”

ชายหนุ่มชุดสีทองแย้มรอยยิ้มบาง สายตาจ้องมองไปยังโลงแก้ว ส่งประสาทสัมผัสจิตวิญญาณสื่อสารกับชายแก่ร่างเตี้ย

ในฐานะศิษย์เอกของจอมโจรฉุ่ยเยว่ ย่อมมีความรู้เกี่ยวกับกลไกค่ายกลอยู่บ้าง

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า

จะอย่างไร ชายแก่ร่างเตี้ยก็เป็นอาจารย์ในด้านกลไก ความรู้ในด้านนี้นับว่าเหนือล้ำไปกว่าจอมโจรฉุ่ยเยว่ การแก้กับดักของเขาทำไปอย่างเป็นขั้นเป็นตอน

เวลาผ่านไปครึ่งชั่วน้ำชาเดือด กับดักที่อยู่รอบโลงแก้วนั้นได้ถูกแก้ไขไปกว่าครึ่ง

โลงแก้วนั้นได้เปิดอ้าออกขนาดหนึ่งฝ่ามือ

ในยามนี้นี้

พวกชายหนุ่มชุดสีทองทั้งสามได้เข้าไปถึงขอบของโลงแก้วที่เต็มไปด้วยสมบัติ สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ

เพียงแค่สมบัติของชั้นที่หนึ่งยังมีค่ามากเกินกว่าสมบัติของยอดฝีมือขั้นมนุษย์แท้ทั่วไป หากนับรวม “ถุงร้อยบุปผา” ที่ทรงพลังมากความสามารถยามใช้ในหนทางมารเข้าไป กระทั่งสามารถเทียบกับสมบัติของขั้นนายเหนือแท้ได้

ครืดดดด

ประตูทิศตะวันออกของห้องสี่เหลี่ยมนี้ได้เปิดออก

เด็กหนุ่มเรือนผมสีฟ้า สีหน้าเรียบเฉยเดินออกมาอย่างเชื่องช้า

ความเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้ได้ทำให้พวกชายหนุ่มชุดสีทองทั้งสามต้องจ้องมองไป

เมื่อทั้งสามพบว่าผู้มาใหม่เป็นเพียงเด็กหนุ่มผู้ฝึกตนในนภาที่เจ็ดผู้หนึ่งก็แย้มยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้

ใบหน้าแย้มยิ้มนั้นปรากฏความโหดเหี้ยมอยู่หลายส่วน

“ฮ่า ฮ่า… เป็นเพียงเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง ทว่ากลับเป็นผู้ชนะจากด้านทิศตะวันออกหรือ?”

สายตาชายหนุ่มชุดสีทองปรากฏประกายเหยียดหยาม เดินผ่านชายแก่ร่างเตี้ยไปยังจ้าวเฟิง

หากยึดตามที่ชายแก่ร่างเตี้ยเคยกล่าว ทางเข้าสุสานประตูตะวันออกนั้นคือทิศที่ดีที่สุด

ทิศตะวันออกคือทิศของความสำเร็จ เป็นแดนของผู้ชนะ

ชายแก่ร่างเตี้ยยืนนิ่งเงียบ ถอนหายใจออกมา สายตาที่ค่อนข้างสงสารมองไปยังจ้าวเฟิงทว่าไม่ได้กระทำสิ่งใด

แม้ว่าทางที่จ้าวเฟิงเข้าไปจะเป็นทางที่ดีที่สุด ทว่าเขาอ่อนแอนัก

หากโจรเถาชานเฟ่ยอยากจะฆ่าเขาย่อมลำบากเพียงดีดนิ้ว ไม่จำเป็นต้องยกมือเสียด้วยซ้ำ

จ้าวเฟิงเดินเข้ามาถึงห้องโถงใหญ่ สิ่งแรกที่เห็นในสายตาคือพวกชายหนุ่มชุดสีทองทั้งสามที่กำลังแก้กลไกอยู่

โดยเฉพาะชายหนุ่มที่ถือพัดอยู่ในมือ อีกฝ่ายความรู้สึกอันตรายแก่เขามากนัก

ทว่าจ้าวเฟิงยังนิ่งสงบ ไม่ได้ตื่นตกใจแต่อย่างใด เด็กหนุ่มกวาดตาสำรวจรอบด้านอย่างละเอียด

ทั้งสี่ด้านของห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ นี้ได้ปรากฏประตูทองสัมฤทธิ์ขึ้นสี่บาน แบ่งออกเป็นทิศตะวันออก ตะวันตก เหนือ และใต้

จ้าวเฟิงอยู่ทางฝั่งทิศตะวันออก รอยมือที่อยู่บนกระตูทองแดงนั่นพอดีกับฝ่ามือของเขา

นั่นหมายความว่าเพียงจ้าวเฟิงยื่นมือไปสัมผัสรอยฝ่ามือนั้นก็จะสามารถผ่านไปยังชั้นที่สองได้

“ไอ้เด็กผมฟ้า เจ้ากล้าพนันกับข้าหรือไม่ ว่าเจ้าจะหนีรอดไปจากเงื้อมมือของข้าและเปิดประตูได้หรือไม่”

ชายหนุ่มชุดสีทองคลี่พัดในมือออกดัง “พรึ่บ” ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มบาง

ในระดับของเขานั้น หากต้องการฆ่าคนในนภาที่เจ็ดนั้นมันก็นับได้ว่าเป็นการละเล่นของเด็กๆ บัดนี้เพียงต้องการหยอกล้อกับเด็กหนุ่มผู้นี้

จ้าวเฟิงไม่ขยับ สีหน้าไร้อารมณ์ เขาสัมผัสถึงความอันตรายจากชายหนุ่มชุดสีทองผู้นี้ได้จริงๆ

ทว่า เขามั่นใจว่าสามารถหนีได้อย่างแน่นอน

ทว่าการยอมปล่อยมือจากสมบัติในโลงแก้วไปง่ายๆ นั้นเด็กหนุ่มรู้สึกไม่เต็มใจอยู่บ้าง ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ลงมือบุ่มบ่าม

ครืดดดด

ประตูทางทิศเหนือเปิดออก เงาร่างกลุ่มหนึ่งเดินออกมา

ฉานเซว่ตูอิง ผู้ฝึกตนเฒ่าชุดเขียวและโจรสลัดอีกสองคน

ร่างของพวกเขาสกปรก สีหน้าปรากฏความเหนื่อยอ่อน

ทว่ากลิ่นอายบนร่างของพวกเขา โดยเฉพาะปราณจิตวิญญาณของฉานเซว่ตูอิงได้ดึงดูดความสนใจของชายหนุ่มชุดสีทองไป

ในเวลาเดียวกัน การคลายกับดักรอบโลงแก้วดำเนินมาถึงช่วงสำคัญ

การปรากฏตัวของฝ่ายโจรสลัดทำให้ความสนใจของชายหนุ่มชุดสีทองเปลี่ยนไป เมินจ้าวเฟิงที่มีพลังในนภาที่เจ็ดไปชั่วคราว

“เป็นเจ้า… โจรเถาชานเฟ่ย”

ฉานเซว่ตูอิงเมื่อเห็นชายหนุ่มถือพัดก็สูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าไปอย่างช่วยไม่ได้

ในฐานะผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงด้วยกัน พลังของโจรเถาชานเฟ่ยเมื่อกันแล้วนับว่าเหนือกว่าเขามากนัก

โจรเถาชานเฟ่ยเค้นเสียงเย็นในลำคอ แม้ฉานเซว่ตูอิงจะอยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง เขาก็ไม่นำมาไว้ในสายตา

ฉานเซว่ตูอิงและอีกสามคนสีหน้าเต็มไปด้วยความระมัดระวังขณะที่เดินเข้าไปใกล้โลงแก้ว

โจรเถาชานเฟ่ยโบกพัดในมือเป็นจังหวะ ดวงตาฉายประกายเย็นเยียบราวกับจะแช่แข็งอากาศ

บรรยากาศของทั้งสองฝ่ายเต็มไปด้วยความกดดัน ไม่ว่าผู้ใดต่างก็ไม่ยอมปล่อยสมบัติที่อยู่ในโลงแก้วไป

ครืด

ทันใดนั้น ประตูทางทิศใต้ก็เปิดออกพร้อมกับเงาคนกลุ่มหนึ่งที่เดินออกมา

ผู้ที่เดินนำมาคือนายท่านปี้ ใบหน้าดำคล้ำ สภาพเหนื่อยอ่อน ด้านหลังมีปี้เฉี่ยวยู่ผู้นำตระกูลปี้และผู้ฝึกตนในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงอีกคน

การปรากฏตัวของขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงอีกคนได้ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ในยามนี้

โจรเถาชานเฟ่ยถอนหายใจเล็กน้อยก่อนหุบพัด ไม่ได้โจมตีแต่อย่างใด

ศัตรูทั้งสองก่อนหน้านั้นเขามั่นใจว่าสามารถจัดการได้ อย่างน้อยเขาสามารถรักษาตัวให้อยู่รอดปลอดภัย ทว่าหากต้องการฆ่าขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั้งสอง ความยากยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก

ทันใดนั้น

ทั้งสามฝ่ายได้สร้างสถานการณ์สมดุลประการหนึ่งขึ้น

ในทางกลับกัน จ้าวเฟิงที่อยู่ในนภาที่เจ็ดได้ถูกทั้งสามฝ่ายเมินไปโดยสิ้นเชิง

“ท่านอาจารย์เฮยหยุน”

นายท่านปี้รวมทั้งปี้เฉี่ยวยู่มองไปยังชายแก่ร่างเตี้ยด้วยความตกใจ

ชายแก่ร่างเตี้ย หรือที่พวกเขาเรียกว่าอาจารย์เฮยหยุนนั้น ยามนี้กำลังคลายกับดักอยู่ มุมปากปรากฏความขมขื่นขึ้น “นายท่านปี้ เฉี่ยวยู่ ดูเหมือนสถานการณ์ในยามนี้ไม่อนุญาตให้เรายืนอยู่ฝั่งเดียวกัน”

จ้าวเฟิงได้ยินเช่นนั้นก็พอเข้าใจได้

นายท่านปี้เคยพูดก่อนหน้าว่าปี้เฉี่ยวยู่เคยได้เรียนวิชากลไกกับอาจารย์ผู้หนึ่งก่อนหน้า แม้ว่าจะเป็นเพียงกรณีพิเศษก็ตาม

ทว่ายามนี้ อาจารย์ของปี้เฉี่ยวยู่กลับอยู่ใกล้เพียงนี้

“มิแปลกใจเลยที่พวกเขาสามารถข้ามผ่านอุปสรรคต่างๆ มาได้อย่างรวดเร็ว ที่แท้มีอาจารย์ด้านกลไกอยู่ด้วย”

สายตาจ้าวเฟิงส่องประกายระริก

ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าอาจารย์เฮยหยุนถูก “โจรเถาชานเฟ่ย” บังคับให้มาแก้กับดักเหล่านี้

“ทุกท่าน เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ สมบัติที่อยู่ในโลงแก้วนี้พวกเราทั้งสามฝ่ายมาตกลงส่วนแบ่งกัน…”

ชายหนุ่มชุดสีทองใบหน้าเค้นรอยยิ้มฝืนๆ ออกมา

ข้อเสนอนี้ทำให้นายท่านปี้และชายแก่ร่างเตี้ยถอนหายใจอย่างโล่งอก

โจรเถาชานเฟ่ยเป็นศิษย์เอกของจอมโจรฉุ่ยเยว่ รู้จักผงพิษกำยานมากมาย สามารถฆ่าคนได้โดยไร้ซึ่งร่องรอย ยากที่จะต่อกร

ต่อให้พวกเขาสองคนร่วมมือกัน อย่างมากอาจจะรับรองได้ว่าเสมอกัน

เมื่อทั้งสามฝ่ายตกลงกันเรียบร้อย โจรเถาชานเฟ่ยออกแรงมากสุดจึงได้ส่วนแบ่งสมบัติไปกึ่งหนึ่ง

ที่เหลืออีกครึ่งให้ฝ่ายโจรสลัดและฝ่ายป้อมเหิงฉุ่ยแบ่งกันคนละครึ่ง

ทั้งนายท่านปี้และฉานเซว่ตูอิงไม่ได้คัดค้าน จึงถือว่าตกลง

สำหรับจ้าวเฟิงที่เป็น “คนที่สี่” แน่นอนว่าต้องถูกทั้งสามฝ่ายมองข้ามไป

“หึ รอให้ข้าได้ถุงร้อยบุปผามา การจัดการพวกเจ้าทั้งหมดย่อมง่ายดาย”

ชายหนุ่มชุดสีทองรักษาสีหน้าเอาไว้ แย้มรอยยิ้มเย็นเยือกอยู่ในใจ

สตรีชุดสีสดที่ยืนอยู่ข้างๆ มุมปากยกขึ้นเผยสีหน้ายินดี สบตากับชายหนุ่มชุดสีทองครั้งหนึ่ง

เพียงแค่พวกเขาได้ “ถุงร้อยบุปผา” มา พวกเขาย่อมสามารถทำได้ตามใจต้องการ กระทั่งสามารถฆ่าผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ทั่วไปได้อย่างง่ายดาย

ถุงร้อยบุปผาเมื่อรวมอยู่กับสมบัติอื่นๆ ในโลงศพไม่ได้เป็นที่สะดุดตามากนัก มันมีมูลค่าและประโยชน์ในการใช้งานมากมาย ทว่าวัสดุของมันนั้นด้อยกว่าอาวุธชั้นจิตวิญญาณมากนัก

หากไม่เข้าใจถึงประโยชน์ของถุงร้อยบุปผา มันก็ไม่ต่างจากอาวุธชั้นมนุษย์ระดับสุดยอดทั่วไป

ดังนั้น กระทั่งดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงก็ยังมองข้าม “ถุงร้อยบุปผา” ไป

“จอมโจรฉุ่ยเยว่เป็นบุคคลเมื่อร้อยปีก่อน สมบัติมากมายที่อยู่เบื้องหน้านี้ หากผู้ใดไม่เคยเห็นท่านอาจารย์และถุงร้อยบุปผามาก่อนย่อมคาดเดาไม่ออกว่ามูลค่าของมันมีมากเพียงใด”

ทว่า สถานการณ์ไม่ได้ราบรื่นเช่นที่ชายหนุ่มชุดทองคิด

ผู้ฝึกตนเฒ่าชุดเขียวเป็นโจรขุดสุสาน เมื่อมองเห็นถุงร้อยบุปผาเข้าสายตาก็เปลี่ยนไป

“นายท่าน ถุงที่หลากสีนั่นมีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นถุงร้อยบุปผา หนึ่งในสี่สมบัติสายธารจันทราของจอมโจรฉุ่ยเยว่”

ผู้ฝึกตนเฒ่าชุดเขียวลอบส่งเสียงไป

เมื่อฉานเซว่ตูอิงได้ยินเช่นนั้น หัวใจพลันเย็นเยียบ สีหน้าย่ำแย่ เข้าใจในเป้าหมายของ “โจรเถาชานเฟ่ย” ในทันที

ขณะเดียวกัน อีกฝ่าย

สายตานายท่านปี้กวาดมองไปยังถุงร้อยบุปผาอย่างผ่านๆ สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย แต่ไม่แสดงออกมากนัก

โจรเถาชานเฟ่ยประเมินทั้งสองฝ่ายต่ำไป

จอมโจรขุดสุสานผู้ฝึกตนเฒ่าชุดเขียวและนายท่านปี้นั้น แม้จะอยู่ที่เหิงฉุ่ยวานมาเป็นเวลานาน ทว่าก็พวกเขาก็ล่วงรู้ถึงสิ่งที่ผู้อื่นไม่รู้หลายอย่าง

ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์

มีเพียงจ้าวเฟิงที่ไม่รู้ถึงมูลค่าของถุงร้อยบุปผา

ดวงตาเทพเจ้าของเขาจับจ้องไปยังสมบัติอื่นแทน

“ชิชิ ในกองสมบัตินั่น มิคาดมี ‘น้ำร้อยบุปผาศักดิ์สิทธิ์’ อยู่ด้วย ของเหลวนี่เป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ของสำนักร้อยบุปผามาร มีประโยชน์ในการช่วยทะลวงสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง ทั้งยังช่วยเหลือในการเปลี่ยนปราณแท้เป็นปราณจิตวิญญาณ”

ชายหนุ่มชุดทองมองไปยังเหยือกสีฟ้าเหยือกหนึ่ง จงใจเปลี่ยนจุดสนใจของผู้คนไป

จ้าวเฟิงเมื่อได้ยินดังนั้นก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นเล็กๆ “น้ำร้อยบุปผาศักดิ์สิทธิ์” นี่ฟังดูคล้ายกับยาปลดวิญญาณที่พัฒนาขึ้นอีกขั้น

ตึง

ฝาโลงศพที่ปิดอยู่หล่นลงพื้น ทำให้จิตใจของทั้งสองฝ่ายสั่นสะท้าน

ฝาโลงเปิดออก การแก้ไขกับดักสำเร็จ

ในวินาทีที่ปลดกลไกเสร็จสิ้น อาจารย์เฮยหยุนไม่ได้มีความต้องการใด รีบออกจากส่วนนั้นในทันที

แทบจะในวินาทีเดียวกัน สามผู้มีพลังในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงส่งแรงกดดันจากปราณจิตวิญญาณออกมา พุ่งกายตรงไปยังโลงแก้ว

พรึบ พรึบ

สามผู้มีพลังในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงเข้าปะทะกันเหนือโลงแก้ว พลังมหาศาลแพร่กระจายออก โลงแก้วแตกกระจาย

สมบัติมากมายกระจายออก

“เกิดอันใดขึ้น เหตุใดสามผู้มีพลังในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงจึงไม่แย่งชิงอาวุธชั้นจิตวิญญาณ ทั้งวัสดุล้ำค่าอื่นๆ ทว่ากลับไปแย่งไอ้ถุงหลากสีนั่น”

จ้าวเฟิงงุนงง

“ไสหัวไปให้หมด”

ชายหนุ่มชุดสีทองสะบัดพัดในมือ สร้างเงาสีชมพูสว่างวาบขึ้นกลืนกินพื้นที่ไปกว่าครึ่งห้อง

สามผู้มีพลังในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงลงมือเพื่อแย่งชิงเพียงแต่ถุงหลากสีนั่น

คนที่เหลือ ส่วนมากมีพลังในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง ต่างแย่งเก็บสมบัติอื่นที่ตกอยู่บนพื้น

“แย่ง”

ดวงตาจ้าวเฟิงสว่างวาบ ผ้าคลุมเงาหยินโบกสะบัด ร่างของเด็กหนุ่มกลายเป็นเงาพร่าเลือน พุ่งเข้าไปยังความวุ่นวายพร้อมด้วยประกายไฟฟ้าสีน้ำเงินเข้ม

ด้วยสำนึกรู้ที่สมบูรณ์จากมรดกอัสนีและผ้าคลุมเงาหยิน ความเร็วที่ระเบิดออกของเด็กหนุ่มนั้นแทบเรียกได้ว่าไม่ด้อยไปกว่าขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั่วไป

ในเวลาไม่กี่ลมหายใจ เด็กหนุ่มสามารถแย่งอาวุธชั้นมนุษย์ระดับสุดยอดที่เทียบเคียงได้กับคันศรหลัวซุยมาได้จำนวนมาก รวมทั้งสมบัติหายากมาอีกมากมาย

เมี้ยว เมี้ยว

แมวขโมยตัวน้อยเองก็จู่โจมในความวุ่นวายนั้นอย่างยินดี

“น้ำร้อยบุปผาศักดิ์สิทธิ์”

ผู้ฝึกตนเฒ่าชุดเขียวตวาดเสียงเบา ต่อสู้กับสตรีชุดสีสดเพื่อแย่งชิงเหยือกสีฟ้านั้น

ทั้งสองมีพลังอยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง หากสามารถครอบครองน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่ง “สำนักร้อยบุปผามาร” ก็จะมีโอกาสกว่าเก้าในสิบส่วนที่จะสามารถบรรลุสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง

“น้ำร้อยบุปผาศักดิ์สิทธิ์นี่สามารถช่วยให้พลังขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงของข้าบรรลุไปสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้”

สายตาจ้าวเฟิงส่องประกาย พุ่งตรงไปยังเหยือกสีฟ้าในทันที

ความเร็วของเขานั้นเหนือกว่าผู้ฝึกตนเฒ่าชุดเขียวและสตรีในชุดสีสด

มิรู้จักที่ต่ำที่สูงเสียแล้ว

“ได้เด็กเหลือขอ ปล่อย…”

ผู้ฝึกตนเฒ่าชุดเขียวกราดเกรี้ยว มองจ้าวเฟิงแย่ง “น้ำร้อยบุปผาศักดิ์สิทธิ์” ไปต่อหน้าต่อตาด้วยความจนใจ

สตรีในชุดสีสดใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว เค้นปราณครึ่งจิตวิญญาณมุ่งตรงไป หมายปลิดชีพอีกฝ่าย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!