Skip to content

King of Gods 339

King Of Gods

บทที่ 339 : เหล่าดวงดาราที่รวมตัวกัน (2)

“อาณาจักรนภาและอาณาจักรจื่อจินต่างเป็นพันธมิตรกัน นานครั้งที่คนรุ่นหลังของเราจะได้รวมตัวกันเช่นนี้ เมื่อได้มารวมตัวกันที่นี่ก็ควรใช้โอกาสนี้ในการประลองเสริมสร้างมิตรภาพระหว่างเราเสียหน่อย”

นัยน์ตาหงส์ของหลิงเยว่กงจูส่องประกายฉลาดกล้าหาญ

นางได้เสนอการประลองกระชับมิตรขึ้นทำให้ดูยืดหยุนกว่า มิได้เป็นเช่นอาณาจักนชื่อเซียวและกลุ่มอำนาจอื่นๆ ที่มองหาเรื่อง

จินไท่จื่อพลันรับรู้ได้ถึงความหมายบางอย่าง อย่าได้บอกเชียวว่าหลิงเยว่กงจูอยากจะท้าประลองกับตัวเขา?

เผชิญหน้ากับหลิงเยว่กงจูที่มีพลังในขั้นผู้วิเศษแท้ เขาไม่มีโอกาสชนะแม้แต่น้อย

แม้ว่าสายเลือดของจินไท่จื่อจะแข็งแกร่ง ทว่าเมื่อเทียบหลิงเยว่กงจูกับตัวเขาแล้วก็มีแต่จะแกร่งกว่าไม่ด้อยกว่า ในด้านพลังฝึกตน หลิงเยว่กงจูนับว่ามีพลังที่เหนือกว่าขั้นหนึ่ง

เป็นเรื่องดีที่

หลิงเยว่กงจูไม่ได้ต้องการท้าประลองจินไท่จื่อ

สำหรับนาง ความสามารถของจินไท่จื่อนั้นชัดเจนยิ่งนักหลังจากที่อีกฝ่ายพ่ายแพ้ให้แก่นางหลายครั้งครา ไม่ควรค่าที่จะประลองด้วย คู่ต่อสู้ที่แท้จริงของนางคือซินอู๋เหิน กระทั่งโม่เทียนอี้นางก็อยากจะท้าประลองด้วย

ไม่ช้า หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีจากอาณาจักรจื่อจินก็เดินออกมา

ทั้งสองเป็นอัจฉริยะผู้ครองอันดับสี่และห้าตามลำดับ เค่อลีและฝานเสี่ยวเยว่

พลังฝึกตนของทั้งสองอยู่ที่ขั้นมนุษย์แท้ระดับสูงและขั้นมนุษย์แท้ระดับต่ำตามลำดับ

ตำแหน่งนี้ตรงกับตำแหน่งของจ้าวเฟิงและหลิวฉินซินในอาณาจักรนภาพอดี

แต่จากประสบการณ์ของปีก่อนๆ ตำแหน่งของสิบดาราในอาณาจักรนภานั้นไม่อาจเทียบกับตำแหน่งเดียวกันของอาณาจักรจื่อจินได้

หืม?

จ้าวเฟิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่พลันรับรู้ได้ถึงจิตต่อสู้จากชายหนุ่มชุดสีเงินขาว

“เจ้าเด็กผมฟ้า ออกมาประลองกัน”

สีหน้าของเค่อลีไร้ความอดทน ไม่มีแม้อารมณ์จะพูดหยอกล้ออีกฝ่าย

หากมิใช่เป็นความต้องการของหลิงเยว่กงจู เขาย่อมไม่ให้ความสนใจต่อจ้าวเฟิง

เค่อลีมีความภาคภูมิใจของตนเอง ในงานชุมนุมเซียนมังกรคราที่แล้วเขาติดหนึ่งในสามร้อยอันดับแรก

หกเดือนก่อน ในอาณาจักรจื่อจิน เขาได้ข้ามขั้นฆ่าโจรในขั้นมนุษย์แท้ระดับสุดยอด ไล่ล่าตามติดไปกว่าหมื่นลี้จึงได้ศีรษะของโจรนั้นมา

หลังจากนั้น ชื่อเสียงของเค่อลีก็เลื่องลือไปไกล

บัดนี้ให้เขามาท้าประลองไอ้หน้าใหม่ที่พลังฝึกตนต่ำกว่า แน่นอนว่าเขาย่อมไร้ซึ่งความสนใจ

ยามที่เค่อลีตะโกนท้าประลองไม่ได้สังเกตเห็นถึงสีหน้ายินดีในความทุกข์ยากของผู้อื่นของเหล่า ‘สิบดาราแห่งอาณาจักรนภา’ ที่นำโดยจินไท่จื่อ

เทียนหยุนจือ เจียงซานเฟิง และคนอื่นๆ มีสีหน้าครุ่นคิด

รายละเอียดเหล่านี้ไม่ได้หลุดรอดไปจากสายตาของหลิงเยว่กงจูที่เผยสีหน้าตื่นตะลึงออกมา

ฝ่ายแคว้นใหญ่มังกรโลหะ

“จ้าวเฟิง”

หัวใจของเป่ยม่อกระตุก สีหน้าแปรเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง เด็กหนุ่มสูดลมหายใจลึกพร้อมมองไปทางเด็กหนุ่มผมฟ้าที่ที่พักของอาณาจักรนภา

“มีอันใดหรือ?”

ลู่หลง ตัวแทนอัจฉริยะจากแคว้นใหญ่มังกรโลหะอีกคนเห็นสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปของเป่ยม่อ

“ไม่มีอันใด แค่เห็นคนรู้จักเท่านั้น”

เป่ยม่อเพ่งสายตา ให้ความสนใจสถานการณ์ของอีกฝั่ง

ระดับสามอาณาจักรของทวีปเหนือมันเหนือกว่าที่พวกเขาจะหวังได้เข้าไป

ในยามนี้ สถานการณ์ในบริเวณนั้นได้ดึงดูดความสนใจจากอัจฉริยะจำนวนมากบนแท่นดาวเหนือ

จ้าวเฟิงนั่งอยู่ที่เดิม เสียงตะโกนอันไร้มารยาทของเค่อลีนั้นเด็กหนุ่มไม่ใส่ใจ

กระทั่งสายตาของเขายังมองไปยังมุมหนึ่ง

“ศิษย์พี่เป่ยม่อ พวกเราได้เจอกันอีกแล้ว สถานการณ์ยามนี้ของสิบสามแคว้น สำนักจันทร์สลาย เป็นเช่นไรบ้าง?”

เสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นจากความว่างเปล่า ก้องขึ้นในจิตใจของเป่ยม่อ

เป่ยม่อรู้สึกตื่นตะลึงในใจ

ยามที่จ้าวเฟิงติดต่อกับเขานั้น ลู่หลงและนายเหนือเถี่ยเซียวที่อยู่ไม่ห่างออกไปไม่กระทั่งรับรู้

มันยากที่จะจินตนาการว่าระหว่างการท้าประลองนั้น ศิษย์น้องจ้าวยังสามารถแบ่งสมาธิมาพูดคุยกับเขาได้

“จ้าวเฟิง อาณาจักรจื่อจินกับอาณาจักรนภาของเรามีการติดต่อกันมาตลอด การประลองกระชับมิตรนี้เจ้าจงรีบลงมือเถอะ จะอย่างไรก็คงไม่ทำให้เสียเวลาของเจ้ามากมายนักหรอก”

เมื่อเห็นว่าบรรยากาศเริ่มเงียบงันลง จินไท่จื่อจึงแย้มยิ้มเอ่ยไกล่เกลี่ย

จะอย่างไรเขาก็คือผู้นำของอาณาจักรนภา

คำของจินไท่จื่อได้ทำให้อัจฉริยะคนอื่นๆ ของอาณาจักรจื่อจินคิ้วมุ่นเข้าหากัน รู้สึกอึดอัดขัดใจอย่างช่วยไม่ได้

มันให้ความรู้สึกราวกับว่าหากต้องการให้เด็กหนุ่มผู้นี้โจมตี ก็ยังต้องให้จินไท่จื่อเอ่ยขอ ทั้งน้ำเสียงนั้นยังราวกับกล่าวว่า เอาเลย ไม่ว่าจะอย่างไรมันก็ไม่เสียเวลาเจ้าอยู่แล้ว

ไร้สาระ

ในใจของเค่อลีปรากฏเปลวเพลิงแห่งความโกรธเกรี้ยวขึ้น สีหน้าการตอบสนองของจินไท่จื่อและจ้าวเฟิงนับว่าดูแคลนเหยียดหยามในตัวเขายิ่งนัก

จินไท่จื่อ ความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายเมื่อเทียบกับเขาแล้ว กระทั่งนับได้ว่าเป็นคู่ต่อสู้ของหลิงเยว่กงจู

ทว่าไอ้เด็กผมฟ้าแปลกประหลาดนี่ มีคุณสมบัติอันใดกัน?

“ฮ่าฮ่าฮ่า ไอ้เด็กผมฟ้า เจ้าก็คือจ้าวเฟิงนี่เอง หากเจ้าสามารถรับมือสิบกระบวนท่าของข้าได้ จะนับว่าคนแซ่เค่อผู้นี้พ่ายแพ้”

เค่อลีไม่ได้โกรธเกรี้ยวทว่ากับแย้มยิ้มออกมาแทน อาภรณ์สีเงินขาวยาวพลิ้วไหว

ครืนน

ทั่วทั้งร่างของชายหนุ่มปรากฏลวดลายสีแดงใสขึ้นซ้อนทับกัน สร้างมีดเพลิงนับสิบขึ้น รวมตัวกันราวกับพายุมีดเพลิงที่กวาดผ่านทั่วระยะสิบหลาโดยรอบ

ผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ทั่วไป หากเข้าไปในระยะสิบหลา รอบกายอาจถูกเผาไหม้จนกลายเป็นขี้เถ้า

ไม่เพียงเท่านั้น ในมือของเขายังปรากฏดาบใบกว้างขึ้น บนใบดาบปรากฏเปลวเพลิงร้อนแรงเข้มข้น ดาบเพลิงจำนวนมหาศาลพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า

“เค่อลีดูจะเอาจริง กระทั่งใช้ ‘กระบวนท่าเพลิงผลาญ’ ชั้นที่เจ็ดออกมา”

“เมื่อรวมเข้ากับกระบวนท่าดาบม่านเพลิง พลังของเขาแทบจะสามารถท้าทายผู้ฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้ทั่วไปได้”

คนจากอาณาจักรจื่อจินมองไปยังจ้าวเฟิงด้วยสีหน้าของผู้ที่ยินดีในความทุกข์ยากของผู้อื่น

ทว่าพวกเขาก็สังเกตเห็นว่าใบหน้าของอัจฉริยะของอาณาจักรนภาปรากฏความหยอกล้อเยาะเย้ยขึ้น

“ศิษย์น้องจ้าวระวังด้วย พลังต่อสู้ของคนผู้นี้น่าหวาดกลัวนัก… หากรับการโจมตีของเขาตรงๆ ย่อมไม่ใช่เรื่องดี”

สีหน้าของเป่ยม่อแปรเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ส่งเสียงผ่านจิตไปเอ่ยเตือนจ้าวเฟิง

บางทีจ้าวเฟิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่อาจรับรู้ได้ถึงแรงคุกคาม สุดท้ายสายตาจึงมองไปยังเค่อลีในที่สุด

“เอาชนะเจ้า ข้าลำบากเพียงมองครั้งหนึ่ง”

ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงราวกับแผ่ขยายออกเป็นพื้นที่สีน้ำเงินเข้มไร้ที่สิ้นสุดอันหนาวเหน็บ

เนตรหัวใจวิญญาณ

หนึ่งในสามยอดวิชาดวงตาของจ้าวเฟิงถูกใช้ออกในเสี้ยววินาที

สายตาของเค่อลีร่วงหล่นลงไปยังโลกสีน้ำเงินเข้มอันไร้ที่สิ้นสุดนั้นอย่างช่วยไม่ได้ สีหน้าดวงตาเหม่อลอยขึ้น

จากนั้น เหล่าอัจฉริยะที่อยู่ ณ ที่นั้นพลันตื่นตะลึงขึ้น

เคร้ง

ดาบใบกว้างในมือของเค่อลีร่วงลงบนพื้น ปราณจิตวิญญาณสลายหายไป

เคร้ง

เค่อลียกฝ่ามือของเขาขึ้นและตบหน้าตนเองไม่หยุด

“ถิงเอ๋อร์ เป็นความผิดของข้า ข้ามันเป็นสัตว์เดรัจฉาน ไม่ควรทำให้เจ้าผิดหวัง”

“เจ้าต้องแต่งงานกับไอ้คนทรยศนั่น ต้องทนทรมาน ทำให้เจ้าต้องตายไป ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของข้า…”

เพียงเวลาหนึ่ง เสียงตบหน้าก็ได้ดังก้องไปทั่วแท่นดาวเหนือ

เค่อลีตบตัวเองไปมา ใบหน้าขาวซีด มุมปากปรากฏรอยเลือดขึ้น

ตุบ

ในที่สุด ชายหนุ่มก็ทรุดตัวลงคุกเข่าร้องไห้ออกมาอย่างเศร้าโศก

คนฝ่ายอาณาจักรจื่อจินสีหน้าซีดขาว ตะโกนเรียกชื่ออีกฝ่ายขึ้น

ทว่าเค่อลีจมลงในห้วงอารมณ์ของตนเอง ไม่รับรู้ถึงโลกภายนอก

“เค่อลีแพ้แเล้ว”

หลิงเยว่กงจูมองไปยังจ้าวเฟิงอย่างลึกล้ำคราหนึ่ง ให้คนนำร่างของเค่อลีออกไป

ตั้งแต่เริ่มจนจบ

จ้าวเฟิงนั่งอยู่ที่เดิม เพียงมองไปที่เค่อลีคราหนึ่ง

เนตรหัวใจวิญญาณคือการมองไปยังเจ็ดอารมณ์หกความรู้สึกของมนุษย์ สิ่งมีชีวิตทุกชนิดจิตใจมิอาจไร้ซึ่งรอยแผลได้

จ้าวเฟิงใช้เนตรหัวใจวิญญาณ ทำให้อีกฝ่ายตกลงสู่ปีศาจในจิตใจ ไม่อาจจะที่ถอนตัวขึ้นมาเองได้

ก่อนหน้า ในถ้ำสายธารจันทรา เขาได้ใช้วิชาที่ใกล้เคียงกันในการทำให้พวกนายท่านปี้ทั้งสองโจมตีโจรเถาชานเฟ่ยอย่างบ้าคลั่ง

“สายเลือดดวงตาของคนผู้นี้น่าหวาดกลัวนัก”

“เพียงหนึ่งการมองก็ข้ามขั้นเอาชนะเค่อลีได้”

อัจฉริยะจากอาณาจักรจื่อจิน อาณาจักรชื่อเซียว และอื่นๆ ในใจปรากฏความประทับใจ รู้สึกหวาดกลัวจ้าวเฟิง

ฝ่ายแคว้นใหญ่มังกรโลหะ

เป่ยม่อตื่นตะลึง ในยามนี้จ้าวเฟิงยังคงพูดคุยผ่านทางจิตกับเขาอยู่ สืบถามถึงสถานการณ์ของสิบสามแคว้นและสำนักจันทร์สลาย

อีกนัยหนึ่ง

ในขณะที่จ้าวเฟิงประลองอยู่นั่นก็ยังพูดคุยกับเขาไปด้วย ใช้เพียงหนึ่งการมองเอาชนะเค่อลี

หากผู้อื่นรู้เรื่องนี้ย่อมทำให้ผู้คนยิ่งชื่นชมสายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงขึ้นไปอีก

หลังจากที่เค่อลีพ่ายแพ้

อาณาจักรชื่อเซียวได้ส่งคู่ประลองคนต่อไปออกมา ฝานเสี่ยวเยว่ยืนสีหน้าว่างเปล่าอยู่ที่เดิม เมื่อผ่านไปนานจึงมีปฏิกิริยาอีกครั้ง

นางท้าประลองหลิวฉินซินอย่างรวดเร็ว

ฝานเสี่ยวเยว่จ้องมองไปยังสตรีงดงามสงบนิ่งผู้นี้ ความงดงามของอีกฝ่ายได้ทำให้สตรีผู้อื่นต้องรู้สึกด้อยค่า

หลิวฉินซินเผยรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้า ในมือปรากฏ ‘พิณเจ็ดสาย’ โบราณขึ้น

ยามที่นางประลองในงานแย่งชิงตำแหน่งในเมืองหลวง เด็กสาวไม่ได้ใช้พิณนี้

“ผู้ฝึกฝนศาสตร์แห่งสำเนียง”

นัยน์ตาของฝานเสี่ยวเยว่ส่องประกายหลากหลาย ไม่ให้โอกาสหลิวฉินซินในการเล่น วาดมือออกเป็นรูปจันทร์เสี้ยวสีน้ำเงินม่วงพร้อมกับประกายไฟฟ้าที่ปรากฏขึ้น

นี่คือรูปแบบการโจมตีเพียงครั้งเดียว การโจมตีรุนแรง มีความรวดเร็ว

ผู้ฝึกฝนในศาสตร์แห่งสำเนียง ครั้นเมื่อได้เล่นดนตรี พลังนับว่าน่าพรั่นพรึงยิ่งนัก

เต้ง

หยกของหลิวฉินซินไล่ไปตามสายพิณจำนวนหนึ่ง เสียงพิณสั่นสะท้าน ทำให้อัจฉริยะทั้งหลายที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้นรู้สึกสั่นสะเทือน

สายตาเห็นเพียงเสียงที่ไม่อาจมองเห็นดังขึ้นจากสายพิณ นำประกายแสงกลุ่มหนึ่งพุ่งตรงไปยังร่างของฝานเสี่ยวเยว่

แคร่ก

จันทร์เสี้ยวสีน้ำเงินม่วงของฝานเสี่ยวเยว่แตกสลายลงกะทันหัน พลังที่ไม่อาจมองเห็นหรือจับต้องได้โจมตีไปยังร่างของนาง

พรวด

ฝานเสี่ยวเยว่ตื่นตะลึง กระอักโลหิตออกมา การโจมตีจากเสียงนั้นยังคงลากร่างของนางให้ถอยหลังต่อไป

ฝานเสี่ยวเยว่ได้แพ้ในหนึ่งกระบวนท่า

ฝ่ายอาณาจักรจื่อจินเงียบงัน

“หลิวฉินซินผู้นี้น่าหวาดกลัวนัก หากให้นางมีโอกาสเล่นพิณจริงๆ หากคู่ต่อสู้อยู่ในระดับเดียวกันย่อมสามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดาย”

สีหน้าของหลิงเยว่กงจูย่ำแย่ลง รู้สึกหนาวเยือก

มีจ้าวเฟิงหรือหลิวฉินซินเพียงผู้เดียว นางไม่ใส่ใจ

ที่น่าหวาดกลัวคือความแข็งแกร่งโดยรวมของสิบดาราแห่งอาณาจักรนภา

จินไท่จื่อ หวังเสี่ยวก้วย เทียนหยุนจือ จ้าวเฟิง และหลิวฉินซิน มีผู้ใดบ้างที่ไม่น่าหวาดกลัว

“ความแข็งแกร่งของดาราแห่งอาณาจักรนภาในงานชุมนุมเซียนมังกรครานี้นับว่าเปลี่ยนแปลงไปมากนัก”

“ความแข็งแกร่งโดยรวมของดาราแห่งอาณาจักรนภาเหนือกว่าอีกสองอาณาจักร”

กลุ่มอำนาจทั้งหมดบนแท่นดาวเหนือเอ่ยพูดคุยกันอย่างกระตือรือร้น

คนระดับสูงของอาณาจักรนภาใบหน้าเชิดสูงอย่างภาคภูมิใจ สีหน้าแดงซ่าน

การประลองบนแท่นดาวเหนือทำเพื่อให้รู้สถานการณ์จริง อาณาจักรนภายังไม่เคยพ่ายแพ้ เอาชนะอีกสองอาณาจักรได้

“ทว่าในด้านของผู้นำ จินไท่จื่ออาจนับว่าด้อยกว่าเล็กๆ จินไท่จื่อพ่ายแพ้ให้แก่หลิวเยว่กงจูมากกว่าหนึ่งครั้ง”

ทว่าคนบางคนก็ยังเห็นจุดอ่อนของอาณาจักนภา

ยิ่งเวลาผ่านพ้นไป ตัวแทนของแคว้นใหญ่ สำนักใหญ่ และตระกูลชนชั้นสูงได้ปรากฏตัวมากขึ้นเรื่อยๆ

จ้าวเฟิงปิดเปลือกตา ไม่สนใจโลกภายนอก

ในบางครา

บนแท่นดาวเหนือได้ปรากฏความวุ่นวายขึ้น

“คนของสำนักหมื่นดาบมาแล้ว”

“สำนักหมื่นดาบคือสำนักดาบอันดับหนึ่งของทวีปเหนือ ความแข็งแกร่งของมันนั้นใกล้เคียงกับสิบยอดสำนัก สามารถทำลายแคว้นใหญ่ใดๆ ได้”

บนฟ้าได้ปรากฏร่างหลายร่างทิ้งตัวลงมา

คนหนึ่งคือนักดาบตาเดียวที่เป็นหัวหน้า พลังฝึกตนสูงถึงขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด กลิ่นอายเทียบเท่าได้กับยอดผู้อาวุโสของราชวงศ์แห่งอาณาจักรนภา กระทั่งแข็งแกร่งกว่าเล็กๆ

“เจ้าคนแก่นิสัยประหลาดนั่นก็มา”

สีหน้าของบุรุษเรือนผมสีเลือด เถี่ยหมัว แปรเปลี่ยนไป

ในด้านความแข็งแกร่ง สำนักหมื่นดาบนับได้ว่าใกล้เคียงกับสำนักระดับหนึ่งดารา กระทั่งแข็งแกร่งกว่าเมื่อเทียบกับลัทธิโลหะเลือด

ตัวแทนอัจฉริยะของสำนักหมื่นดาบมีสองคน

หนึ่งคือบุรุษชุดฟ้า มีเรือนผมสีขาวแปลกประหลาด

อีกหนึ่งคือเด็กสาวชุดขาว ราวกับฝุ่นผงไม่อาจกล้ำกราย ดวงตาส่องประกาย ครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับปรากฏประกายคมดาบรวดเร็วรุนแรงขึ้น

“เป็นนาง…”

เป่ยม่อชะงักงัน ใบหน้าซีดขาว มองไปยังเด็กสาวชุดขาวที่คุ้นเคย

ในอดีต เด็กสาวชุดขาวสะอาดผู้นี้ หนึ่งดาบด้วยร่างของสตรี เหยียบย่ำอัจฉริยะทั้งหมดของสิบสามสำนักพันธมิตรลงใต้ฝ่าเท้า

เด็กหนุ่มมองไปยังจ้าวเฟิงอย่างไม่รู้ตัว ทว่าอีกฝ่ายยังปิดเปลือกตาทำความเข้าใจ ไม่ได้รับรู้ถึงโลกภายนอก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!