บทที่ 460 หวนคืน (2)
สำนักจันทร์สลาย ตำหนักเจ้าสำนัก
“…จ้าวเฟิงได้เข้ามาในสิบสามแคว้นแล้ว กำลังมุ่งหน้าตรงมายังสำนักจันทร์สลาย สถานการณ์เสียเปรียบสำหรับท่านอาจารย์ยิ่งนัก”
สีหน้าของเป่ยม่อยังคงไร้ความรู้สึกเช่นเคยยามที่เอ่ยถึงข่าวที่น่าตื่นตะลึงนี้
ข้างกายของเป่ยม่อปรากฎร่างในชุดสีดำ สวมหมวกไผ่จำนวนมาก กลิ่นอายลึกล้ำ อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงโดยไม่ต้องสงสัย ทว่าเหล่าคนชุดดำสวมหมวกไผ่เหล่านี้เหมือนตายไปแล้ว ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เปิดปากพูดแม้ครึ่งคำ
“หึ! แค่ไอ้เด็กนั่นคนเดียวคิดจะฆ่าข้า?”
บนใบหน้าของเจ้าสำนักหยุนไห่เต็มไปด้วยความเย็นชา อดที่จะเค้นเสียงเอ่ยพร้อมด้วยรอยยิ้มไม่ได้ “ก่อนหน้านี้ครึ่งเดือนข้าเองก็ได้ข่าวมาบ้างแล้ว ทำให้พันธมิตรมังกรโลหะส่งผู้อาวุโสหลักมายังเทือกเขานภาจันทร์ นอกจากนั้น ข้ายังใช้เงินจำนวนมากไปเชิญพันธมิตรที่แข็งแกร่งมา เมื่อจ้าวเฟิงมา มันก็นับว่าเขาเดินเข้ามาติดกับดักแล้ว”
“ท่านอาจารย์ฉลาดยิ่งนัก เป็นแผนการที่รอบคอบยิ่ง”
เป่ยม่อปรบมืออย่างหาได้ยาก
ข่าวการกลับมายังแคว้นเมฆาของจ้าวเฟิงยังไม่ได้แพร่กระจายออกไป มีคนเพียงน้อยนิดที่รู้ หรือได้ยินเพียงข่าวลือเกี่ยวกับพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งของจ้าวเฟิง โดยเฉพาะการเอาชนะ ‘จ้าวตำหนักศพโลหิต’ ไปได้ล้วนถูกพันธมิตรสังหารมังกรปิดบังอย่างเต็มที่ จะอย่างไรมันก็เป็นข่าวที่ไม่ส่งผลดีต่อพันธมิตร
แน่นอนว่า ข่าวที่จ้าวเฟิงกำจัดกองทัพของจ้าวตำหนักศพโลหิตไปจนหมดสิ้น นอกจากคนไม่กี่คนแล้วผู้อื่นก็ไม่ล่วงรู้
แต่ที่เป่ยม่อปรบมือนั้นเป็นเพราะเจ้าสำนักหยุนไห่สามารถใช้เพียงข่าวลือวางแผนตอบโต้ได้ กระทั่งวางกับดักรอจ้าวเฟิง ชัดเจนถึงความสามารถทางกลยุทธ์ของอีกฝ่าย ความสำเร็จของเจ้าสำนักหยุนไห่จนกระทั่งถึงจุดนี้ย่อมไม่ได้พึ่งพาเพียงโชค
“ใช่แล้ว สหายเหล่านี้คือ…” สายตาของเจ้าสำนักหยุนไห่ย้ายไปยังคนชุดดำสวมหมวกไผ่เบื้องหลังของเป่ยม่อ ตั้งแต่กลับมายังหุบเขา คนเหล่านี้ก็อยู่เบื้องหลังเป่ยม่อ ไม่แม้แต่จะเอ่ยคำใด
“ตอบท่านอาจารย์! หลังจากที่จ้าวเฟิงกลับมายังสิบสามแคว้นก็ท้าทายพันธมิตรมังกรโลหะอย่างจองหองอย่างมาก สร้างแรงคุกคามมหาศาล คนระดับสูงของพันธมิตรรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก มอบคำสั่งพิเศษให้ข้านำยอดฝีมือหลายคนมาเตรียมการและ ‘เก็บเกี่ยวโดยไม่ต้องเสียแรง’ ”
เป่ยม่อเอ่ยอย่างสงบ
“เยี่ยม! ไม่คิดว่าเราศิษย์อาจารย์จะสามารถได้รับผิดชอบหน้าที่ที่หนักหน่วงของ ‘พันธมิตรมังกรโลหะ’ เช่นนี้ ดูเหมือนว่าสวรรค์จะลิขิตไว้แล้วว่าจ้าวเฟิงอาจมาได้ ทว่าไม่อาจกลับไปได้”
ความยินดีของเจ้าสำนักหยุนไห่ท้วมท้น มีท่าทีตื่นเต้นกระฉับกระเฉง
ในวันเดียวกันกับที่เป่ยม่อกลับมา เจ้าสำนักหยุนไห่ได้จัดงานเลี้ยงต้อนรับ ทั้งคนระดับสูงต่ำล้วนเฉลิมฉลองกันเล็กๆ ทว่าแม้มันจะดูร่าเริงในฉากหน้า ทั่วทั้งหุบเขานภาจันทร์กลับเต็มไปด้วยกองกำลังที่วางแนวไว้อย่างหนาแน่น
ผู้อาวุโสหลายคนที่ฝึกตนอยู่อย่างเงียบสงบของสำนักจันทร์สลายล้วนออกจากการปิดด่าน ร่วมป้องกันบริเวณสำคัญของสำนัก
สำนักจันทร์สลายอยู่ในสภาวะตื่นตัวอย่างลับๆ เหนือกว่าในรอบหลายปีที่ผ่านมา ศิษย์ระดับล่างบางคนกระทั่งรับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่แปลกประหลาดรุนแรง
ทว่าในฉากหน้า สำนักจันทร์สลายก็ยังเฉลิมฉลองอย่างมีความสุข
นี่คือกลยุทธ์ ‘นอกอ่อนในแข็ง’ ของเจ้าสำนักหยุนไห่
ในเวลาเดียวกัน
กลุ่มภารกิจที่หยางก่านนำก็ออกจากประตูสำนัก ทำภารกิจลงโทษทั้ง 49 ภารกิจ จุดเล็กๆ ท่ามกลางชั้นเมฆได้ปรากฏสัตว์อสูรประเภทนกหลายตัวขึ้น แบกเอาร่างของยอดฝีมือของสำนักจันทร์สลายเอาไว้ ประกอบไปด้วยขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงสองคนและนภาที่เจ็ดจำนวนมาก ไล่ตามกลุ่มที่ออกไปทำภารกิจนี้
“ไร้สาระจริงๆ! ให้มานั่งมองไอ้เด็กพวกนี้ทำงานที่ผู้อาวุโสคุมกฎสั่ง น่าเบื่อเกินไปแล้ว”
“เฮ้! ผู้อาวุโสคุมกฎบอกว่าตราบเท่าที่มีผู้ใดพยายามที่จะหลบหนี เราสามารถฆ่าได้ทันที”
คนบนหลังของสัตว์อสูรเหล่านี้มักจะให้ความสนใจกับสถานการณ์เบื้องล่างบ่อยๆ ภารกิจแรกของพวกหยางก่านไม่ได้ยากเย็น กลับกัน มันง่ายดายอย่างมาก
คำอธิบายของงานนี้คือการเก็บฟืนในหุบเขาใกล้ๆ สำนักจันทร์สลาย และอุจจาระของนกดุร้าย
งานที่เรียบง่ายและสกปรกเช่นนี้ ศิษย์สายนอกสามารถทำได้ ทว่ากลับให้หยางก่านและศิษย์สายในคนอื่นๆ กระทั่งศิษย์หลักลงมือ
นี่นับเป็นการท้าทายศักดิ์ศรีและความอดทนประการหนึ่ง
“ทุกคนอดทนไว้ ข้าเชื่อว่าศิษย์น้องจ้าวจะกลับมาและเปลี่ยนชะตาของสำนักในไม่ช้า”
หยางก่านส่งเสียงผ่านกระแสจิตไป
เมื่อเอ่ยถึง ‘ศิษย์น้องจ้าว’ ดวงตาของบางคนที่อยู่ในกลุ่มภารกิจก็ส่องประกายระริก ศิษย์เหล่านี้ล้วนเป็นผู้ที่มีสนิทสนมกับจ้าวเฟิง กระทั่งมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น เกี่ยวกับอดีตอัจฉริยะอันดับหนึ่งของสิบสามแคว้น คนหลายคนในที่นี้เคยได้เห็นการเติบโตก้าวเดินของเขามาแล้ว
“ความสำเร็จของศิษย์น้องจ้าวเหนือกว่าเป่ยม่อนั่นแน่ๆ”
“แต่ว่าเพียงแค่ศิษย์น้องจ้าวคนเดียวจะสามารถช่วยสำนักจันทร์สลายได้จริงๆ หรือ? เบื้องหลังของเจ้าสำนักหยุนไห่มีกลุ่มอำนาจใหญ่อย่าง ‘พันธมิตรมังกรโลหะ’ อยู่นะ…”
ศิษย์ที่อยู่ในกลุ่มภารกิจกึ่งยินดีกึ่งกังวล
“จะสามารถเปลี่ยนสถานการณ์ทั้งหมดได้หรือไม่ยังยากที่จะมั่นใจ ทว่าหากจะเปลี่ยนสำนักของพวกเรา มันไม่มีความยากเย็นใดๆ”
น้ำเสียงเยือกเย็นดังขึ้นจากหลินฟ่าน
ในอดีต หลินฟ่านคืออันดับหนึ่งในบรรดาศิษย์สายนอก หลังจากนั้นจึงกลายเป็นมิตรของจ้าวเฟิง เติบโตขึ้นในการทดสอบยอดนภา เผยพรสวรรค์ออกมาไม่น้อย เกี่ยวกับความเข้าใจในตัวจ้าวเฟิง หลินฟ่านอาจเหนือกว่าทุกคนในยามนี้
หลังจากที่เอ่ยเช่นนั้น
กลุ่มที่หยางก่านนำก็ทำภารกิจแรกเสร็จและรีบกลับไปยังประตูสำนัก เตรียมที่จะทำภารกิจเกี่ยวเนื่อง ในยามนี้เองที่ได้ยินเสียงวุ่นวายโกลาหลบริเวณทางเข้าหุบเขา
“สวรรค์… คนผู้นั้น!”
“เร็ว! รีบแจ้งผู้อาวุโส”
ทางเข้าหุบเขาได้ปรากฏร่างหลายร่างขึ้น ตื่นตะลึงจนใบหน้าขาวซีด บนท้องฟ้า สองยอดฝีมือขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงและผู้ฝึกตนในนภาที่เจ็ดจำนวนมากบนหลังสัตว์อสูรเพ่งตามองไปยังทางเข้าหุบเขา
“เป็น… เป็นเขา!”
สีหน้าของร่างบนหลังสัตว์อสูรชะงักค้าง
ปากทางเข้าหุบเขา เด็กหนุ่มที่มีเรือนผมสีน้ำเงินพลิ้วไหวไปกับอากาศ ริมฝีปากประดับรอยยิ้มบาง สองมือไพล่หลัง สายตามองตรงไปเบื้องหน้า ยังคงรักษาท่าทีเยือกเย็นไว้ได้ในสถานการณ์วิกฤต
วินาทีที่เด็กหนุ่มผู้นี้มาถึง นัยน์ตาก็ปรากฏความยินดีขึ้นอย่างชัดแจ้ง มองไปยังทางเข้าหุบเขาเบื้องหน้าราวกับมีความรู้สึกพิเศษ
“จ้าวเฟิง! เป็นเขาจริงๆ!”
ผู้ที่อยู่ใกล้ทางเข้าหุบเขา รวมทั้งร่างที่อยู่บนหลังของสัตว์อสูรตื่นตะลึงจนใบหน้าขาวซีด
“จ้าวเฟิง! เจ้าถูกเจ้าสำนักหยุนไห่ประกาศจับในสิบสามแคว้น ยังกล้ามารนหาที่ตายอีกหรือ?”
“เจ้าคนทรยศจ้าวเฟิง อย่าได้ขัดขืน!”
ผู้คุมกฎและศิษย์บางคนของสำนักจันทร์สลายที่อยู่ ณ ที่นั้นยืนอยู่บนที่สูงทำให้มองเห็นและตวาดออกมา
ทว่าโดยไม่ต้องสงสัย
ไม่มีผู้ใดกล้าลงมือ
ในสำนักจันทร์สลาย มีผู้ใดบางที่ไม่รู้ถึงปาฏิหาริย์ในอดีตของเด็กหนุ่มผู้นั้น รวมทั้งข่าวลือที่น่าหวาดกลัวเหล่านั้น
จนกระทั่งบัดนี้
ฉายานามอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งสิบสามแคว้นก็ยังคงเป็นของสำนักจันทร์สลาย ไร้ซึ่งผู้ที่สามารถสั่นคลอนได้
“ฮี่ฮี่ โปรดรายงานไปยังเจ้าสำนักหยุนไห่ว่าคนทรยศไร้พรสวรรค์ ‘จ้าวเฟิง’ ได้กลับมายังสำนักจันทร์สลายเพื่อยอมรับความผิดแล้ว”
จ้าวเฟิงแย้มยิ้ม มือทั้งสองไพล่หลังที่เหยียดตรงอย่างผ่าเผย เรือนผมสีน้ำเงินพลิ้วไหว
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทั่วทั้งบริเวณก็เต็มไปด้วยความวุ่นวาย
ในยามนี้ ไม่ว่าจะเป็นศิษย์และผู้คุมกฎบริเวณทางเข้าหุบเขา ยอดฝีมือที่อยู่บนแผ่นหลังสัตว์อสูรกลางท้องนภา หรือกลุ่มภารกิจที่ตามมาต่างก็เบิกตามองอย่างนิ่งอึ้ง
ยอมรับความผิด?
ศิษย์สำนักจันทร์สลายบริเวณนั้นตื่นตะลึงจนสมองว่างโล่ง ปากแทบจะอ้าค้าง คนทั้งหลายล้วนรู้ว่าจ้าวเฟิงถูกประกาศจับในสิบสามแคว้น ทั้งยังมีคำเล่าลือว่าหนีออกจากแคว้นเมฆาไปแล้ว
ในเมื่อหนีไปแล้ว แล้วเหตุใดจึงกลับมายอมรับผิดเล่า? มิใช่ว่าป่วยไปแล้วหรือ?
“นี่… นี่มันจะเป็นไปได้อย่างไร!”
“ศิษย์น้องจ้าว… เขากลับมายอมรับผิดจริงๆ หรือ?”
กลุ่มภารกิจที่ตามมา หยางก่านและคนอื่นๆ ราวกับถูกสาดด้วยน้ำเย็น
ก่อนหน้า พวกเขายังคาดหวังให้จ้าวเฟิงกลับมาพร้อมกับปาฏิหาริย์
ไม่คิดว่าเสี้ยววินาทีต่อมาจะเห็นคนแล้วทำให้ตนเองร่วงลงจากสวรรค์สู่นรกเช่นนี้
ราวกับรับรู้ได้ จ้าวเฟิงที่อยู่หน้าทางเข้าหุบเขาพลันมองมาเบื้องหลัง เมื่อเห็นกลุ่มของหยางก่านก็แย้มยิ้มบาง ใบหน้าแย้มยิ้มนั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและสงบนิ่ง
หยางก่าน หลินฟ่าน หยางชิงชัน และคนอื่นๆ นิ่งแข็งไปชั่วครู่
นอกจากหลินฟ่าน ใบหน้าของคนอื่นๆ ต่างยากที่จะปิดบังสีหน้าผิดหวังไว้ได้
“ศิษย์น้องจ้าวต้องไม่ยอมแพ้จริงๆ แน่”
หลินฟ่านรับรู้ได้ มาจากความเข้าใจในตัวของจ้าวเฟิงของเขา ความเยือกเย็นและเฉลียวฉลาดของจ้าวเฟิง ทั้งยังความสามารถในการควบคุมสถานการณ์ที่ยากจะหาผู้ใดเทียบ หลินฟ่านล้วนเข้าใจดี
“ศิษย์พี่ศิษย์น้อง เจอกันแล้ว”
นัยน์ตาซ้ายของจ้าวเฟิงราบเรียบ ส่องประกายสีน้ำเงิน ให้ความรู้สึกราวกับสายฝนในวสันต์ฤดู ยามที่สบกับดวงตาซ้ายลึกลับนั้น คนในกลุ่มภารกิจต่างก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกสงบนิ่งและเด็ดขาดเกินธรรมดา
ในเวลาเดียวกัน
หุบเขานภาจันทร์ โถงหลักของเจ้าสำนัก
“รายงานท่านเจ้าสำนัก! เมื่อครู่จ้าวเฟิงได้มาถึงทางเข้าหุบเขา บอกว่ากลับมายังสำนักเพื่อยอมรับความผิดต่อเจ้าสำนักหยุนไห่”
ข่าวที่น่าตื่นตะลึงนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งสำนักจันทร์สลายอย่างรวดเร็ว
ในโถงหลัก
เจ้าสำนักหยุนไห่ ผู้อาวุโสคุมกฎ ผู้อาวุโสและจ้าวตำหนักจำนวนมากเบิกตากว้างมองไป รู้สึกราวกับฟังผิด
“อันใดนะ! ยอมรับความผิด? เจ้ามั่นใจนะว่าไม่ได้จำผิดคน?”
ปากของเป่ยม่ออ้ากว้าง
จ้าวเฟิงจะยอมแพ้จริงๆ หรือ?
ต่อให้ฆ่าเขา เขาก็ไม่เชื่อ!
“เด็กหนุ่มผู้มาใหม่นั่น นอกจากดวงตาและเส้นผมที่เป็นสีน้ำเงินแล้วก็ไม่แตกต่างจากจ้าวเฟิงในอดีตเลย ทั้งยังแมวนั่น…”
ผู้คุมกฎเบื้องล่างเอ่ยอย่างนอบน้อม
แมวนั่น!
คิ้วของเป่ยม่อขมวดเข้าหากัน เปลวเพลิงแห่งความโกรธเกี้ยวแผดเผา มั่นใจในทันทีว่าเด็กหนุ่มคนนั้นต้องเป็นจ้าวเฟิงอย่างไม่ต้องสงสัย
ในอดีต เป็นเพราะแมวขโมยตัวนั้น ทำให้เขาตายในการทดสอบยอดนภา
“หึ! ดูสิว่าจ้าวเฟิงมีเล่ห์กลอันใดกัน ไปดู”
คิ้วของเจ้าสำนักหยุนไห่มุ่นเข้าหากันอย่างสงสัย ก้าวออกไปเบื้องหน้า
ชั่วครู่ต่อมา
เจ้าสำนักหยุนไห่และคนระดับสูงของสำนักอีกหลายคนจึงไปถึงยังยอดเขาที่สูงที่สุด ใช้ข้อได้เปรียบด้านมุมมองที่สูงกว่า ในสายตาได้ปรากฏร่างของเด็กหนุ่มผมสีน้ำเงิน มือทั้งสองไพล่อยู่เบื้องหลัง บนไหล่มีแมวขโมยตัวน้อยกำลังโบก ‘ธงขาว’ อยู่
เมี้ยว เมี้ยว!
แมวขโมยตัวน้อยกระโดดโลดเต้นอย่างร่าเริง โบก ‘ธงขาว’ อย่างสดใส
ธงขาวนั้น ไม่ว่าจะเป็นโลกปกติหรือยุทธภพต่างก็สื่อถึง ‘การยอมแพ้’
นี่ได้ทำให้คนระดับสูงของสำนักจันทร์สลายที่อยู่ที่ยอดเขาตื่นตะลึงและรู้สึกแปลกประหลาด สีหน้าสุดโต่งยิ่งนัก โดยเฉพาะเป่ยม่อที่ใบหน้ากระตุกอย่างรุนแรง ยามที่แมวขโมยตัวน้อยโบกธงขาวก็แทบจะทำให้เขาร้องไห้
“คนทรยศจ้าวเฟิงได้กลับมายังสำนักจันทร์สลายเพื่อขออภัยเจ้าสำนักหยุนไห่โดยเฉพาะ”
จ้าวเฟิงแย้มยิ้ม มือทั้งสองไพล่อยู่เบื้องหลัง เดินตรงไปยังสำนัก
“หยุด!”
“คนทรยศ ในเมื่อมาขอโทษก็อย่าได้ขัดขืน!”
ศิษย์และผู้คุมกฎที่อยู่ใกล้ๆ ทางเข้าหุบเขาตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤต
แค่มองทุกคนก็รู้ว่าพลังฝึกตนของจ้าวเฟิงสูงถึงขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง คนทั่วไปไม่กล้าที่จะลงมือกับเขา
“ยอมแพ้จริงๆ หรือ?”
เจ้าสำนักหยุนไห่ที่ยืนอยู่บนยอดเขาขมวดคิ้วแน่น
ท่าทีของจ้าวเฟิงในยามนี้คือใบหน้าระบายไปด้วยรอยยิ้มบาง เมื่อเทียบกับในอดีตดูสะดวกสบายกว่ามากนัก
เจ้าสำนักหยุนไห่รู้สึกกระวนกระวายอยู่ในใจเล็กๆ จากการสำรวจของประสาทสัมผัสจิตวิญญาณ เขามั่นใจว่าจ้าวเฟิงมีพลังฝึกตนอยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง ทว่าอยู่ใน ‘สามสวรรค์’ ชั้นใด เขาไม่อาจมั่นใจได้อย่างชัดเจน
“ฮี่ฮี่ ไม่ใช่ว่าเจ้าสำนักหยุนไห่ประกาศจับคนแซ่จ้าวผู้นี้ไปทั่วทั้งสิบสามแคว้นหรือ? บัดนี้ข้ากลับมายังสำนักและขอบทลงโทษ มิใช่ว่าทุกคนควรจะต้อนรับเสียหน่อยหรือ?”
บนใบหน้าของจ้าวเฟิงเต็มไปด้วยความสดใสยินดี ให้ความรู้สึกไร้ซึ่งอันตรายใดๆ ต่อคนและสัตว์
บนยอดเขา
คนระดับสูงของสำนักจันทร์สลายปรึกษากันอย่างสั้นๆ
“เจ้าสำนัก! มีอันใดต้องหวาดกลัว? ก่อนหน้าที่ตำหนักกลาง พวกเราได้ตั้ง ‘ค่ายกลแปดมังกรสังหารมาร’ ไว้แล้ว ต่อให้เด็กนี่มีพลังขนาดพลิกฟ้าก็ยากที่จะมีชีวิตรอดไปได้”
“หึ! ไอ้เด็กนี่รนหาที่ตายชัดๆ เหตุใดเราจะไม่ต้อนรับเล่า?”