บทที่ 38 ลมปราณม่วงแปลงกระถาง
ป๋ายเสี่ยวฉุนจิตใจฮึกเหิม ลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายเล็กน้อยก็ควบคุมกระบี่ไม้เล่มเล็กให้ลอยกลับไปมาอยู่ในลานบ้านอีกครั้ง บางครั้งก็คำรามเสียงดังลอยไปไกลอย่างรวดเร็ว บางครั้งก็หยุดชะงักอย่างกะทันหันราวกับหนักเป็นพันจวิน
กระบี่ไม้ทั้งเล่มเปลี่ยนแปลงอย่างคาดเดาไม่ได้อยู่ในลานบ้าน ไม่นานก็ก่อรูปเป็นไอกระบี่กระจายไปรอบทิศ ราวกับว่าก่อให้เกิดลมแรงได้โดยไม่มีที่มาที่ไป นั่นยิ่งทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้น
ผ่านไปครู่ใหญ่ มือขวาของเขาสะบัดหนึ่งที กระบี่ไม้ก็หายวับไปในพริบตา กลับมาอยู่ในฝ่ามือของเขา สีสันลายตาที่มองแล้วขัดตา แต่ในความเป็นจริง กระบี่ไม้เล่มเล็กที่ถูกหลอมพลังจิตมาแล้วสามครั้งเล่มนี้ ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางคุณลักษณะที่ต่างออกไปแล้ว
“หากสามารถควบคุมได้ทั้งยกหนักเสมือนเบาและยกเบาเสมือนหนัก ถ้าเช่นนั้นเมื่อนำมาประสานด้วยกัน ก็จะสามารถรวบรวมออกมาเป็น…วิชาพลังอภินิหารเพียงหนึ่งเดียวในพลังลมปราณม่วงควบคุมกระถาง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก ดวงตาฉายแววคาดหวัง
“ลมปราณม่วงแปลงกระถาง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเก็บกระบี่ไม้ หลับตายืนอยู่ในลานบ้าน หลังผ่านไปเนิ่นนาน ทันใดนั้นเขาก็ยกมือขวาขึ้นมาชี้ไปกลางอากาศ พลันพลังวิญญาณที่อยู่กลางอากาศเบื้องหน้าเขาซึ่งเดิมทีมองไม่เห็นนั้นก็เปล่งแสงวาบปรากฏขึ้น เมื่อมองอย่างละเอียด พลังวิญญาณดั่งเส้นไหมกำลังล่องลอยวาดโครงร่างของกระถางใบหนึ่งออกมาอย่างรวดเร็ว
ราวกับมีพลังลึกลับบางอย่างชี้นำ ทำให้กระถางใบนี้ก่อรูปร่างขึ้นมาอย่างว่องไว
ขณะเดียวกันนั้น พลานุภาพกดดันที่น่าตกตะลึงระลอกหนึ่งก็กระจายออกมาจากบนกระถางนี้อย่างฉับพลัน ความยิ่งใหญ่ของแรงดันวิญญาณ แข็งแกร่งยิ่งกว่าตอนกระบี่บินก่อนหน้านี้เสียอีก
ส่วนทางป๋ายเสี่ยวฉุน ใบหน้าของเขาก็ซีดเผือดลงทันควัน พลังวิญญาณในร่างกายกำลังเผาผลาญไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งเผาผลาญไปได้เกือบแปดส่วน กระถางใบนั้นถึงได้กลายเป็นรูปร่างอย่างสมบูรณ์แบบ กระจายพลังวิญญาณที่เข้มข้นยิ่งกว่าเดิมอยู่กลางอากาศ เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนชี้นิ้วไปข้างหน้า กระถางใบนี้ก็ทะยานพรวดออกไป กระแทกแรงๆ หนึ่งที
ทันทีที่สัมผัสกับพื้นดินนั้น กระถางแตกออกก่อน แต่ก็มีพลังวิญญาณจำนวนมหาศาลระเบิดซ่านออกมา
เสียงยิ่งดังสนั่น ถึงขั้นที่ว่าได้ยินไปทั่วทิศ พื้นดินที่อยู่ภายในรัศมีร้อยจั้งเกิดเสียงขลุกขลักออกมาทันที อีกทั้งรอยแตกระแหงเป็นเส้นๆ ก็ปรากฏขึ้นมา
ยังดีที่เขาเซียงอวิ๋นนี้มีค่ายกลปกป้องอยู่ รอยแตกเหล่านั้นจึงหายไปในเวลาอันรวดเร็ว แต่พลังสะท้านสะเทือนนี้ยังคงมีลูกศิษย์ฝ่ายนอกหลายคนที่ได้ยิน จึงพากันแปลกใจ
ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดหายใจเฮือก เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าลมปราณม่วงแปลงกระถางจะแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้ การกระแทกครั้งนี้ แม้แต่เขาเองก็ยังรู้สึกว่าตนเองมิอาจต้านทานได้
“ลมปราณม่วงแปลงกระถาง ไม่เสียแรงที่เป็นวิชาอภินิหารหนึ่งเดียวในพลังลมปราณม่วงควบคุมกระถาง แต่จำต้องเข้าใจวิชายกหนักเสมือนเบาและยกเบาเสมือนหนักให้ได้ทะลุปรุโปร่งเสียก่อน ถึงจะแสดงออกมาได้” ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งประกายสดใส แต่ไม่นานก็ขมวดคิ้วฉับ วิชาอภินิหารนี้แม้ว่าจะแข็งแกร่ง แต่เผาผลาญพลังเยอะเกินไป
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่รู้ว่า ในความเป็นจริงแล้วเขาเสียพลังไปเพียงแปดส่วนเท่านั้น นี่เป็นเพราะว่าพลังวิญญาณของเขาได้เค้นหลอมจนบริสุทธิ์ หากเปลี่ยนเป็นลูกศิษย์คนอื่น ต่อให้ตระหนักรู้วิชาอภินิหารนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แต่ก่อนที่จะฝึกได้ถึงการรวมลมปราณขั้นที่แปดก็ยากยิ่งที่จะสำแดงออกมาได้ ด้วยพลังวิญญาณในร่างกายจะต้องเผาผลาญไปจนเกลี้ยง มีเพียงได้ถึงขั้นรวมลมปราณที่แปดแล้วเท่านั้นจึงจะสามารถแสดงออกมาได้อย่างแท้จริง แต่ก็ต้องเสียพลังไปไม่น้อยเช่นกัน
“ในพลังลมปราณม่วงควบคุมกระถางได้อธิบายวิชาอภินิหารนี้เอาไว้ ว่าแบ่งออกเป็นบน กลาง ล่าง สามระดับ ในเวลานี้กระถางที่ข้ารวมออกมาได้เป็นเพียงแค่ระดับล่างเท่านั้น หากถึงระดับกลาง จะสามารถรวมออกมาได้สองกระถาง ถึงระดับบน ไม่เพียงแต่มีกระถางปรากฏขึ้นถึงสามใบ แต่ยังสามารถหลอมรวมเข้าด้วยกัน กลายเป็นกระถางใบใหญ่หนึ่งใบ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนขบคิดอะไรได้ นั่งขัดสมาธิเริ่มปรับลมปราณ เมื่อพระจันทร์กระจ่างลอยสูง เขาลืมตา ดวงตาเผยความมีชีวิตชีวา ตบะในร่างกายฟื้นคืนกลับมาพอสมควร
“วิชาอภินิหารนี้สามารถเป็นท่าไม้ตายของข้าได้แล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ หากพวกคนที่ชื่นชอบโจวซินฉีมาหาเรื่องให้ข้ามีน้ำโห ข้าก็จะเอามันทุบพวกเขาเสียเลย” ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งรู้สึกวางใจ แต่กลับนึกถึงลูกศิษย์ฝ่ายในที่แซ่เฉียนคนนั้น หัวคิ้วจึงขมวดเข้าหากันอีกครั้ง
“สามารถเป็นลูกศิษย์ฝ่ายในได้ อย่างน้อยต้องถึงขั้นแปดของการรวมลมปราณ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกไม่วางใจขึ้นมาทันที ขณะที่ครุ่นคิดก็มองผิวหนังของตนเอง ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกายวาบ ลุกขึ้นยืนเดินออกไปข้างหน้าสี่ห้าก้าว รวดเร็วดั่งบิน มือขวายกขึ้น นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้มีแสงสีดำเปล่งวาบ เขาหันมือไปด้านข้างแล้วบิดนิ้ว
เสียงคึ่กๆ ดังออกมาจากอากาศว่างเปล่า ถึงขั้นให้ความรู้สึกแตกร้าวได้เลือนราง แรงบิดครั้งนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุน ดุจอานุภาพเกรียงไกรที่สามารถทำลายได้แม้แต่กำแพงเหล็กที่แข็งแกร่ง เขามองไปยังนิ้วทั้งสองของตนเอง ลังเลอยู่ชั่วครู่ แต่ก็สงบลงอย่างรวดเร็ว
“นี่คือท่าพิฆาต…ใช้รักษาชีวิต” ป๋ายเสี่ยวฉุนลังเลเล็กน้อย รู้สึกว่าท่าพิฆาตปกป้องชีวิตเช่นนี้ ยิ่งอานุภาพมากก็ยิ่งดี เพียงแต่สำหรับวิชาอมตะมิวางวาย ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกกลัวขึ้นมาจริงๆ
ก่อนหน้านี้หลังจากที่เขาฝึกผิวหนังคงกระพันสำเร็จ ก็ได้ลองฝึกวิชาอมตะมิวางวายติดต่อกันมา แต่แค่เริ่มฝึก ความรู้สึกหิวโหยเช่นนั้นก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
และชายฝั่งทิศใต้ของสำนักธาราเทพแห่งนี้ก็มีแค่ลูกไก่หางวิเศษเท่านั้นที่เหลืออยู่ ไม่มีอะไรให้กินแล้วจริงๆ อาศัยแค่อาหารวิเศษที่กินในแต่ละวัน ป๋ายเสี่ยวฉุนมั่นใจเลยว่าตัวเองต้องหิวตายอย่างแน่นอน
เขาเองก็ออกไปตามหาสัตว์วิเศษอย่างอื่นที่กินได้มาทั่วภูเขาแล้ว แต่หลังจากที่ชื่อเสียงปีศาจคลั่งขโมยไก่โด่งดังออกไป หลายๆ เขตของยอดเขาทั้งสามในชายฝั่งทิศใต้ที่เดิมทีก็ไม่ได้เลี้ยงสัตว์วิเศษมากมายอยู่แล้ว ยิ่งเพิ่มการคุ้มกันแน่นหนาถึงขีดสุด
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็กลุ้มใจ ตอนนี้พอนึกถึงปัญหาข้อนี้ขึ้นมาอีกครั้งจึงหน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้นมาทันที กำลังครุ่นคิดว่ามีวิธีใดบ้างที่ช่วยขจัดอาการหิวโหยไปได้ พลันก็นึกถึงยาเพิ่มอายุที่ได้มาตอนแรกเม็ดนั้น
“ใช่สิ…” ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นประกาย ยาวิเศษมีหลากหลายชนิด ไม่เพียงแต่เพิ่มตบะได้เท่านั้น ยังสามารถบำรุงพลังชีวิตได้ด้วย และหลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนผ่านการฝึกผิวหนังเหล็กคงกระพันมาได้ ก็ค้นพบแล้วว่าการฝึกวิชาอมตะมิวางวาย จริงๆ แล้วสิ่งที่จำเป็นคือพลังชีวิต
“ตอนนี้ความรู้ด้านพืชหญ้าของข้าสำเร็จไปขั้นใหญ่ แม้ว่าจะไม่ได้เลื่อนขั้น แต่สามารถกลั่นหลอมยาออกมาได้เองแล้ว อีกทั้งในสำนักเองแม้ว่าราคายาวิเศษที่หลอมสำเร็จจะไม่ธรรมดา แต่ราคาของพืชหญ้ากลับถูกมาก” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่านี่คือทางออก
“ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ข้าได้สัมผัสกับการกลั่นหลอมยาก่อน รอภายหลังพอไปทดสอบเลื่อนขั้นก็จะยิ่งมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น การกลั่นหลอมยาฐานรากในภายภาคหน้าก็ยิ่งง่ายขึ้น” ป๋ายเสี่ยวฉุนตัดสินใจเด็ดขาดในทันที นั่งเท้าคางดวงตาฉายความครุ่นคิด จนกระทั่งถึงเช้าตรู่วันต่อมา ร่างของเขาก็กระโดดเหยงขึ้น
“หลอมยาจำเป็นต้องใช้ตำรับยา ข้อนี้ก็ง่าย ไม่จำเป็นต้องรอให้เลื่อนขั้นเป็นศิษย์โอสถก็ทำได้ ตลาดตรงตีนเขาก็มีตำรับยาบางส่วนขายกระจัดกระจาย” ป๋ายเสี่ยวฉุนลูบกระเป๋าเสื้อ หลังจากที่เขามาอยู่เขาเซียงอวิ๋นก็แทบจะไม่มีที่ให้ใช้เงินเลย ผู้ที่เป็นศิษย์ฝ่ายนอก ทุกเดือนจะได้รับหินวิเศษมาจำนวนหนึ่ง ตอนนี้จึงมีเก็บอยู่ไม่น้อย
สำหรับวัตถุนอกกายเหล่านี้ เขาไม่เคยให้ความใส่ใจ เวลานี้จึงพุ่งทะยานลงเขาเซียงอวิ๋นไปตามเส้นทางเล็กๆ
นับตั้งแต่ที่มาอยู่เขาเซียงอวิ๋น นี่เป็นครั้งที่สองที่ป๋ายเสี่ยวฉุนลงเขามา ครั้งแรกที่ลงเขาในปีนั้นก็เพื่อไปซื้อพืชหญ้าเอามาแลกยา เวลานี้ขณะที่เขาเพิ่งออกมาจากเขาเซียงอวิ๋น บนเขาชิงเฟิงก็พลันมีเงาร่างสองเงาตรงดิ่งไปยังที่พักแห่งหนึ่ง
“ศิษย์พี่เฉินอยู่หรือไม่!”
“ศิษย์พี่เฉิน ป๋ายเสี่ยวฉุนลงเขาไปแล้ว!” ทั้งสองร่างนี้ล้วนบึกบึนอย่างยิ่ง ตบะไม่ธรรมดา ล้วนได้ถึงขั้นที่สี่ของการรวมลมปราณ เวลานี้ในดวงตาของคนทั้งสองมีความฮึกเหิม เมื่อเข้ามาในลานบ้าน ปราดเดียวก็มองเห็นชายร่างใหญ่ผู้หนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่
ชายร่างใหญ่ผู้นี้ร่างกายยิ่งกำยำล่ำสัน สูงใหญ่แข็งแรง ได้ยินดังนั้นก็ลืมตาขึ้นมา ในดวงตามีประกายเฉียบคมวาบผ่าน
“ป๋ายเสี่ยวฉุน? ในที่สุดเขาก็ลงเขาเสียที!” ชายร่างใหญ่แสยะยิ้ม ลุกพรวดขึ้นยืน ทั้งตัวราวกับภูเขาลูกย่อม ลักษณะท่าทางไม่ธรรมดา มีตบะถึงการรวมลมปราณขั้นที่ห้า ซึ่งแปลงเป็นแรงดันวิญญาณกระจายออกมา
เขาก็คือฝ่ายตรวจการในปีนั้น เฉินเฟย
ปีนั้นพวกเขาสามคนอยู่ในฝ่ายตรวจการกันดีๆ อยู่ที่นั่นอยากมีอยากได้อะไรก็แทบได้มาทุกอย่าง ไม่เพียงแต่มีนักการคอยปรนนิบัติรับใช้ แถมเมื่อหักเงินออกแล้ว ยังมีหินวิเศษมาเสริมรายได้ แต่นึกไม่ถึงว่าจะโดนพวกป๋ายเสี่ยวฉุนผลักขึ้นเขา กลายเป็นลูกศิษย์ฝ่ายนอก ชีวิตที่ยากลำบากตลอดสองปีมานี้ทำให้พวกเขาเกลียดพวกป๋ายเสี่ยวฉุนเข้ากระดูกดำ
แต่รู้สึกว่าไปหาเรื่องจางต้าพั่งได้ไม่ง่ายนัก เฮยซานพั่งก็ยิ่งยากจะไปพัวพันด้วย มีเพียงป๋ายเสี่ยวฉุนเท่านั้นที่ถึงแม้ว่าพลังของเขาในตอนแรกนั้นจะไม่ธรรมดา แต่โดยรวมแล้วรู้สึกว่าเขาอ่อนแอที่สุด เดิมทีคิดจะหาโอกาสไปแก้แค้น แต่หนึ่งคือป๋ายเสี่ยวฉุนแทบจะไม่ออกจากสำนักเลย สองคือในสำนักแห่งนี้ แม้ว่าเฉินเฟยจะมีเส้นสายอยู่บ้าง แต่ก็ไม่กล้าทำผิดกฏสำนัก
ถึงอย่างไรเส้นสายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา ก็เป็นแค่เพียงญาติผู้พี่ที่เป็นลูกศิษย์ฝ่ายในคนหนึ่งเท่านั้น อีกทั้งปกติก็ไม่ค่อยสนใจใยดีเขาเท่าไหร่ คอยดูแลให้ตอนเป็นนักการก็ถือว่ามากที่สุดแล้ว
ฉะนั้นจึงรอคอยให้ป๋ายเสี่ยวฉุนออกไปข้างนอกอยู่ตลอดเวลา การรอครั้งนี้กินระยะเวลาเกือบสองปี ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง อีกทั้งเฉินเฟยยังมั่นใจอย่างยิ่งยวดว่าวันก่อนตบะของเขาได้ฝ่าทะลุไปถึงการรวมลมปราณขั้นที่ห้าแล้ว และก็ได้ไปสืบเรื่องตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนมาแล้วเช่นกัน รู้ว่าถึงแม้อีกฝ่ายจะได้ที่หนึ่งของการประลองเล็ก แต่เป็นการชนะด้วยความบังเอิญ
“ปีนั้นถูกวิชายกหนักเสมือนเบาของเขาขู่เสียตกใจ ยังนึกไปว่าเขาเข้าใจยกหนักเสมือนเบาได้อย่างลึกซึ้งแล้วจริงๆ หึ บีบให้พวกข้าต้องกลายมาเป็นศิษย์ฝ่ายนอก ความแค้นนี้ ครานี้ต้องระบายออกมาแรงๆ ให้จงได้!” แววตาเฉินเฟยฉายความดุดัน เขาไม่ได้คิดจะตีป๋ายเสี่ยวฉุนจนตาย แต่กลับตั้งใจมั่นว่าจะต้องให้อีกฝ่ายกระดูกหักเอ็นฉีกเสียบ้าง อย่างน้อยก็ต้องนอนนิ่งอยู่สักปีถึงจะพอใจ
เรื่องเช่นนี้แม้ว่าในสำนักจะต้องตามตรวจสอบ แต่หนึ่งจับไม่ได้คาหนังคาเขา สองไม่มีการตายเกิดขึ้น สามเฉินเฟยเองก็มีเส้นสาย จึงสามารถทำเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเล็ก ทำเรื่องเล็กให้หายไปได้
“ฝีมือเทียบไม่ได้ ความแค้นข้าก็รอไม่ได้!” เฉินเฟยสะบัดร่างหนึ่งครั้ง ดิ่งทะยานลงเขาไป ชายสองคนเบื้องหลังเขาก็ตามมาติดๆ สามคนลงเขาไปอย่างรวดเร็ว หาเส้นทางเส้นหนึ่งที่ต้องผ่านหลังจากกลับมาจากตลาดเจอ ก็รอคอยอยู่ที่นั่น
ตลาดไม่ใหญ่นัก ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ในตลาดไม่นานเท่าไหร่ก็หาตำรับยาที่กระจัดกระจายออกเจอสองใบ หนึ่งคือเสริมพลังชีวิต อีกหนึ่งคือบำรุงพลังชีวิต ตำรับยาที่บำรุงพลังชีวิตประเภทนี้ ระดับสูงหาได้ยาก แต่ระดับต่ำกลับมีอยู่ไม่น้อย ส่วนมากแล้วไว้ให้คนธรรมดาใช้เพื่อบำรุงร่างกายให้แข็งแรง
สำหรับคนอื่นแล้วมันไม่มีประโยชน์ แต่สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนกลับเหมือนได้รับของมีค่า เขามีหม้อกระดองเต่า ยาทั่วไปเมื่อหลอมพลังจิตแล้วสามครั้ง ผลลัพธ์จะแตกต่างทันที
และหลังจากที่ใช้หินวิเศษที่เหลือซื้อพืชหญ้าหลากหลายที่ใช้สำหรับหลอมยาแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตบถุงเก็บของอย่างเบิกบานใจ ร้องเพลงคลอพลางเดินออกไปจากตลาด เดินอยู่บนทางภูเขาเส้นเล็กเพื่อกลับสำนัก ในสมองจิตนาการภาพที่ตนเองหลอมยาได้สำเร็จเป็นฉากๆ ก็ยิ่งมีความสุข
แต่เขาเพิ่งจะเดินบนทางภูเขาเส้นเล็กได้ไม่นานเท่าไหร่ พลันสีหน้าก็กระตุก ฝีเท้าหยุดชะงัก หลังจากที่ฝึกถึงขั้นหกของการรวมลมปราณ ความรู้สึกเขาว่องไวขึ้นมาเยอะมาก สัมผัสได้ถึงลมหายใจของคนสามคนที่อยู่เบื้องหน้าได้ทันที สามคนนี้ซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ เมื่อมองเห็นตนเองแล้วหัวใจก็เต้นเร็วขึ้นมาอีกเล็กน้อย
มองเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนหยุดชะงัก ร่างของพวกเฉินเฟยสามคนก็ถลาพรวดออกมายืนอยู่ตรงหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน
“ป๋ายเสี่ยวฉุน ความแค้นในปีนั้น วันนี้ควรสิ้นสุดลงได้แล้ว!” เฉินเฟยจ้องป๋ายเสี่ยวฉุน ในใจหมายมาด เอ่ยปากแสยะยิ้ม สองคนเบื้องหลังเขาก็แสยะยิ้มเช่นเดียวกัน ไม่นานก็แยกตัวตีวงล้อมเข้ามา
————-